เคยได้ยินไหม เล่นหุ้น อย่าลืมดูเพื่อนๆ เขียวตัวเดียว มันเปลี่ยวหัวใจ
วันนี้จะขอแนะนำให้รู้จัก Market Breadth ซึ่งใช้เป็น indicator บอกความ bullish bearish หรือทำเป็นสัญญาณซื้อขายก็ได้ และใช้ได้ดีกับขา TFEX ที่ชอบเทรด SET50 futures
Market Breadth คือการดูพฤติกรรมของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบในตลาดที่สนใจ โดยปกติแล้ว ดัชนีหุ้น เช่น ปู่ SET มักเป็นการเรียงตาม Market Cap Weighted คือไล่จากมากไปน้อย หุ้นใหญ่ มีผลต่อตลาดมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก
เคยได้ยินกันใช่ไหม เช่น วันนี้ Delta ลงแรง กดดัชนี SET ลงไปด้วย หรือกลุ่มพลังงานลากตลาดขึ้น
แต่วิธีการของ Market Breadth จะแตกต่างออกไป
คุณอาจเคยได้ยินคำว่า หุ้นขึ้นยกแผง เขียวทั้งกระดาน เวลาเห็นแบบนี้ คนก็จะใจชื้นกว่า เขียวปี๋ 1 ตัวแล้วแดงทั้ง watchlist ใน streaming
Market Breadth คือการดู หุ้นแต่ละตัว ว่ามันขึ้นหรือลง ก่อนจะนำมาคำนวนประกอบร่าง ซึ่งมีได้หลายรูปแบบเหลือเกิน เช่น จำนวนหุ้นที่ขึ้นของวันนั้น เทียบกับจำนวนหุ้นที่ตก หรือ จำนวนหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน โดยไม่สนใจน้ำหนัก
ค่าพวกนี้ สะท้อนว่าการปรับตัวขึ้นในตลาดนั้นแข็งแกร่งมากหรือน้อย
วิธีการทำ Market Breadth นั้นมีหลากหลายวิธี เช่น
นับจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นลง
จำนวนหุ้นที่ทำ New High หรือ New Low ในรอบวันหรือสัปดาห์
มูลค่าการซื้อขายรวมที่ปรับตัวขึ้นลง
ตัวอย่างการใช้งาน ดูว่าหุ้นทั้งหมดในตลาดหรือ index นั้นมีกี่ตัวที่ขึ้น และมีกี่ตัวที่ลงโดยดูเฉพาะ Volume ของหุ้นเหล่านั้น เมื่อรวม Volume ของหุ้นที่ขึ้น และรวม Volume ของหุ้นที่ลงแล้วเอามาหักลบกันจะได้เป็น Net Volume หากค่าเป็น + แสดงว่า Volume ที่ขึ้นนั้นมีจำนวนเยอะกว่า แต่หากว่า Volume นั้นเป็น — แสดงว่าตลาดในตอนนั้นมีหุ้นที่ลงเป็น Volume เยอะกว่า
หลังจากนั้นเราก็จะมาดูว่าตลาดกำลังขึ้นหรือลงหากกำลังขึ้นและค่า Net Volume ที่คิดมาเป็น + แสดงว่าเป็นช่วงขาขึ้นที่แข็งแรง แต่หาก Net Volume เป็นลบแต่ตลาดกลับขึ้น แสดงว่าเป็นช่วงขาขึ้นที่ไม่แข็งแรง และมีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง
นี่เป็นแค่ตัวอย่างเบื้องต้นของการใช้งาน Breadth Indicator ซึ่งการใช้งานยังมีอีกหลายหลากรูปแบบ แต่จุดประสงค์หลักคือเพื่อดูภาพรวมของตลาด ซึ่งจะให้มุมมองที่แตกต่างจาก Technical Indicator ทั่วไปที่ใช้อยู่ในตลาด เพื่อช่วยให้เราสามารถ take action ในการลงทุนนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น
Investic
Market Breadth คืออะไร ?
วันนี้จะขอแนะนำให้รู้จัก Market Breadth ซึ่งใช้เป็น indicator บอกความ bullish bearish หรือทำเป็นสัญญาณซื้อขายก็ได้ และใช้ได้ดีกับขา TFEX ที่ชอบเทรด SET50 futures
Market Breadth คือการดูพฤติกรรมของหุ้นที่เป็นองค์ประกอบในตลาดที่สนใจ โดยปกติแล้ว ดัชนีหุ้น เช่น ปู่ SET มักเป็นการเรียงตาม Market Cap Weighted คือไล่จากมากไปน้อย หุ้นใหญ่ มีผลต่อตลาดมากกว่าหุ้นขนาดเล็ก
เคยได้ยินกันใช่ไหม เช่น วันนี้ Delta ลงแรง กดดัชนี SET ลงไปด้วย หรือกลุ่มพลังงานลากตลาดขึ้น
แต่วิธีการของ Market Breadth จะแตกต่างออกไป
คุณอาจเคยได้ยินคำว่า หุ้นขึ้นยกแผง เขียวทั้งกระดาน เวลาเห็นแบบนี้ คนก็จะใจชื้นกว่า เขียวปี๋ 1 ตัวแล้วแดงทั้ง watchlist ใน streaming
Market Breadth คือการดู หุ้นแต่ละตัว ว่ามันขึ้นหรือลง ก่อนจะนำมาคำนวนประกอบร่าง ซึ่งมีได้หลายรูปแบบเหลือเกิน เช่น จำนวนหุ้นที่ขึ้นของวันนั้น เทียบกับจำนวนหุ้นที่ตก หรือ จำนวนหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน โดยไม่สนใจน้ำหนัก
ค่าพวกนี้ สะท้อนว่าการปรับตัวขึ้นในตลาดนั้นแข็งแกร่งมากหรือน้อย
วิธีการทำ Market Breadth นั้นมีหลากหลายวิธี เช่น
นับจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นลง
จำนวนหุ้นที่ทำ New High หรือ New Low ในรอบวันหรือสัปดาห์
มูลค่าการซื้อขายรวมที่ปรับตัวขึ้นลง
ตัวอย่างการใช้งาน ดูว่าหุ้นทั้งหมดในตลาดหรือ index นั้นมีกี่ตัวที่ขึ้น และมีกี่ตัวที่ลงโดยดูเฉพาะ Volume ของหุ้นเหล่านั้น เมื่อรวม Volume ของหุ้นที่ขึ้น และรวม Volume ของหุ้นที่ลงแล้วเอามาหักลบกันจะได้เป็น Net Volume หากค่าเป็น + แสดงว่า Volume ที่ขึ้นนั้นมีจำนวนเยอะกว่า แต่หากว่า Volume นั้นเป็น — แสดงว่าตลาดในตอนนั้นมีหุ้นที่ลงเป็น Volume เยอะกว่า
หลังจากนั้นเราก็จะมาดูว่าตลาดกำลังขึ้นหรือลงหากกำลังขึ้นและค่า Net Volume ที่คิดมาเป็น + แสดงว่าเป็นช่วงขาขึ้นที่แข็งแรง แต่หาก Net Volume เป็นลบแต่ตลาดกลับขึ้น แสดงว่าเป็นช่วงขาขึ้นที่ไม่แข็งแรง และมีโอกาสกลับตัวเป็นขาลง
นี่เป็นแค่ตัวอย่างเบื้องต้นของการใช้งาน Breadth Indicator ซึ่งการใช้งานยังมีอีกหลายหลากรูปแบบ แต่จุดประสงค์หลักคือเพื่อดูภาพรวมของตลาด ซึ่งจะให้มุมมองที่แตกต่างจาก Technical Indicator ทั่วไปที่ใช้อยู่ในตลาด เพื่อช่วยให้เราสามารถ take action ในการลงทุนนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น
Investic