สวัสดีค่ะ ขอเล่าประสบการณ์การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ทำมาสดๆร้อนๆ สามวันที่แล้วนี่เอง
เราอ่านข้อมูลมาสักระยะแล้วว่ามีการลดความอ้วนแบบใหม่คือการใส่ลูกบอลลูนลงในกระเพาะอาหารแบบไม่ต้องผ่าตัดเลย
โดยใช้วิธีสอดลูกโป่งพร้อมส่องกล้องลงไปในหลอดคอ ลำไส้ ไปยังกระเพาะอาหาร แล้วใส่น้ำสีฟ้าเข้าไป เพื่อให้กระเพาะเต็มไปส่วนนึง
ทีนี้กินอะไรไปได้นิดเดียว ก็จะอิ่ม
โดยที่ระยะใส่อยู่ที่ 1 ปี ครั้งแรกใส่ลงไป อีก 6 เดือนมาขยับบอลลูน อาจทำให้ลูกเล็กลง และครบ 1 ปีเอาออก
อ่านข่าวมา มีคนลดได้ตั้ง 20-40 โลแน่ะ โอ้วมันยอดมาก ที่เมืองนอกก็มีทำมาเป็นปีแล้ว
ทีนี้หาข้อมูลในอากู๋ มีลงกันดังๆที่เห็นเค้าทำกัน คือ รพ.เวชธานี ราคาประมาณ แสนเจ็ด
ก็เก็บข้อมูลไว้ในใจว่า เออ อยากทำ เพราะเคยลองไปดูดไขมันแล้วก็ยังไม่ลดเท่าไหร่ เนื่องจากยังกินเยอะอยู่
คือมีความสุขในการกินมากๆ (อย่าด่าเราเลยนะ มันห้ามใจไม่อยู่ อยากผอมทางลัด)
ดูรีวิวในเน็ต ก็น้อยจัง ไม่ค่อยมีคนมาเล่าเลย
ทีนี้เราไปทำหน้าที่คลีนิคในห้างนึง ซึ่งเราทำหน้าประจำ เทอร์มาจมั่ง โบท่อกมั่ง อะไรประมาณนี้
ก็คุยกับเซลล์ว่า อยากไปทำบอลลูนลดความอ้วน เค้าก็บอกคลีนิคเค้าก็มีทำนะ ราคาสองแสนแปด
เราก็ โห เว่อร์ เวชธานีแสนเจ็ดเอง ก็ไม่ได้สนใจอะไร
แล้วเดือนที่แล้ว เซลล์ก็บอก มีโปรจ้าพี่ ทำบอลลูนแสนแปด โปรโมชั่นเด็ด ลดเยอะเลย แต่ต้องเสียค่าดมยาสองครั้งหลังอีกครั้งละหมื่นน๊า
ง่ายๆ รวมเป็นสองแสน และก็แถมคอรส์ทำตัวไรนิดหน่อย ก็ใจอ่อนตามเคย
พอถึงวันนัดทำ 29 มีนาที่ผ่านมา เราก็ไปทำ โดยเค้าให้เรางดอาหารและน้ำ 12 ชั่วโมง
เออ ลืมบอก เค้าก็มีนัดให้มาตรวจความดัน xray ปอด ตรวจฉี่ก่อนนะก่อนทำสองวัน
ทีนี้เราเคยไปทำหน้าแต่ที่ห้าง ไม่เคยมาคลีนิคใหญ่เค้าที่แถวย่านในเมือง
พอไปเห็นสถานที่ต้องทำ เล็ก อึดอัดมาก หรือเราชินกับที่ทำศัลย์ที่เกาหลีก็ไม่รู้นะ
อันนี้เป็นบ้านเหมิอนทาวน์โฮมดัดแปลงอ่ะ ตอนทำ ได้ยินว่ามีคนทำก่อนหน้าหนึ่งคนอยู่ เราทำต่อเป็นคนที่สอง
พอถึงเวลา ก็ตื่นเต้นนิดๆ หมอให้นอนหันข้างไปทางซ้าย กอดหมอน
สายตาเรามองนาฬิกาที่เพดาน บ่ายโมงครึ่ง หมอหรือพยาบาลไม่รู้จำไม่ได้ ฉีดยาชาที่คอให้เราค่อยกลินไป ขมมาก
แล้วสักแปป เราก็สลบไปไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกที สลึมสลือแปปนึง เอ๊ะ เราไม่ได้อยู่ห้องที่ทำเมื่อกี๊แล้ว
มองขึ้นบน เป็นเพดานเตี้ยๆ เหลือบตามองนาฬิกาที่ผนัง บ่ายสองโมงครึ่ง
เอ๊ะ ตูทำเสร็จวะเนี่ย เลยถามพยาบาลที่เห็นเดินมาพอดีว่า ทำเสร็จแล้วเหรอ เค้าก็บอกเสร็จแล้ว เออ ไวดีแหะ
เรานอนให้น้ำเกลืออยู่ ในท้องไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย เรามีไอ้ลูกบอลลูนในท้องแล้วเหรอเนี่ย
ได้ยินเสียงอ๊วกๆ ข้างซ้ายของเรา หันไปมอง มีผู้หญิงคนนึงนอนให้น้ำเกลือเตียงข้างๆ
สงสัยคนที่มาทำเหมือนกัน คือห้องพักนี่เล็กมาก ขนาดน่าจะสามเมตร คูณสองเมตรครึ่ง
มีเตียงคนไข้สองเตียง ปลายเท้าเป็นตู้บิลท์อินแบบตู้เสื้อผ้า ติดประตูเป็นเก้าอี้เล็กๆ เพดานเตี้ยมาก จบข่าว
สักพัก เราชวนคุยนิดนึง เห็นเค้าอ๊วกมากๆ อ๊วกไม่หยุด น่าสงสารมาก แต่เราไม่เป็นอะไรเลยอ่ะ น้องเค้าหนัก 62 โลเอง จากสายตาที่มอง ไม่อ้วนเลยยยย เบากว่าเราตั้งเกือบเท่า มาทำ ทำม้ายยย แต่เค้าบอกว่าตอนแต่งงาน หนัก 48 เองอ่ะ คือบอกตรงๆ น้องเค้าไม่อ้วนเลย อย่างเราสิโคดอ้วน
เพื่อนเค้าเข้ามาเยี่ยม คือยืนก็เต็มห้องเลย เพราะห้องเล็กมาก เพื่อนที่มาเยี่ยม ตัวใหญ่พอๆกับเราเลย
เราก็ดันปากไวว่า น้องไม่ทำเหรอ? คือสำหรับเราคนที่น่าทำ คือคนอ้วนมากๆ ที่ทำวิธีอื่นยากอ่ะ
เราก็สายเผือก แอบฟังเค้าคุยกันเงียบๆ คือน้องเค้ามาทำโดยไม่บอกสามี ไม่บอกที่บ้าน ประมาณว่าแอบมาทำ ยอมตายดีกว่าบอกสามี
สงสัยกลัวถูกสามีด่า พูดถึงก็เหมือนเรานะ ตอนแรกก็ปิดสามี แต่พอวันทำตอนเช้า ก็ยอมบอกความจริง โดนบ่นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร (เพราะเราเคยเกริ่นๆมาแล้วไง)
ทีนี้น่าสงสารน้องเค้ามาก อ๊วกไม่หยุดเลย มีอ๊วกปนเลือดด้วย เค้าบอก แล้วความจริงต้องให้น้ำเกลือถึงหกโมงเย็น แต่เค้าต้องรีบกลับ กลัวที่บ้านรู้
เราก็ถามว่าทำเท่าไหร่ ทำไมไม่ทำเวชธานี อันนี้คุยกัน น้องก็บอกว่า เวชธานีต้องแอทมิท 1 คืน แต่ที่นี่ไม่ต้อง เลยทำที่นี่
แล้วน้องก็กลับไปพร้อมเสียงอ๊วกต่อเนื่อง
เราสินอนชิลๆ ไม่รู้สึกอะไรเลย หกโมงเย็นเราก็ขอกลับ เพราะเราแข็งแรงดี เค้ายังชมเลยว่า นี่โชคดีนะเนี่ย 80% ทุกคนจะอ๊วกหมด เค้าก็โชว์รูปให้ดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอนางพยาบาลดึงน้ำเกลือออกปุ๊ป ข้าพเจ้าเริ่มอ๊วกเลยครับ มันมาแล้วๆๆ มันหลอกให้เราดีใจ แต่มันมาแล้ว ฮือๆ
อ๊วกไปหนึ่งครั้ง ชิลๆ แล้วก็นั่งรถกลับบ้าน ในท้องก็ยังไม่รู้สึกอะไร
พอนั่งรถได้สักชั่วโมง อ๊วกมาแล้วครับอีกระลอกนึง ทีนี้เอาแระ เริ่มถี่ขึ้น
สงสัยกระเพาะตอนแรกหนา ตอนนี้มันมาแล้วววว
ท้องเริ่มจุกแบบเสียด แล้วอ๊วก คลื่นไส้ตลอด เราทรมานมาก
อ๊วกแบบนี้ไป เกือบยี่สิบถุง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ลืมบอก พยาบาลบอกว่า วันแรกให้จิบแต่น้ำเปล่าทีละนิดๆ วันสองกินน้ำข้าว วันสามค่อยนม
ให้กระเพาะค่อยๆรับสภาพ แล้วต้องกินยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะทุกวันจนหนึ่งเดือน
(เค้าบอก อาการอ๊วก จะเป็นกัน 3-7 วัน บางคนก็สองอาทิตย์ ให้อดทน ร่างกายจะปรับตัวรับมันได้)
จะกินยาได้ยังไง เราอ๊วกเป็นฟองๆตลอดเลย เราเดาว่าน่าจะเป็นน้ำย่อยเราที่มันขย้อนออกมา
เราทรมานมาก นอนไม่ได้ มือซ้ายถือถุงก็อปแก็ป มือขวาถือทิชชู่เช็ดน้ำลายเหนียวๆที่ย้อย
เราจะตายให้ได้ ทรมานโคดๆ ต้องนอนหนุนหัวสูง
จนตอนเช้า เราไม่ไหว บอกสามีเราพาไปให้น้ำเกลือ รพ.แถวบ้านหน่อย
รุปนี้ตอนให้น้ำเกลือแอทมิทที่รพ.เอกชนแถวบ้าน
เรานอนให้น้ำเกลืออีกคืน รับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น วัดความดันสูงปรี๊ดเลย
บอกหมอว่า ช่วยให้ยานอนหลับหน่อย อยากหลับ จะได้ไม่ทรมาน บอกตรงๆ ยานอนหลับก็เอาไม่อยู่
เราอ๊วกอย่างหมดอาลัยตายอยากทั้งคืน ตัดสินใจเลย ตูจะเอาบอลลูนออก!!!
เลยบอกเซลล์ว่า จะเอาออก ช่วยจัดการด่วน เซลล์ก็บอกไม่อดทนอีกสักสองวันเหรอ เผื่อร่างกายปรับได้
ไม่ทนแล้ววววว ถามเซลล์ว่าผญ.ที่ทำพร้อมเราเป็นไงบ้าง ตกลงน้องเค้าก็ต้องเข้า รพ. แอทมิทให้น้ำเกลือเหมือนกัน
เราว่าน้องเค้าหนักกว่าเรานะ คือมันทรมานมากที่สุด เกิดมาไม่เคยทรมานแบบนี้เลย
เซลล์บอกติดต่อหมอไม่ได้ ข้อเสียของคลีนิคพวกนี้คือใช้หมอนอกที่รับจ็อบ ไม่มีหมอประจำ
เวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะหมออาจติดธุระอื่นๆ
ซึ่งเซลล์บอกติดต่อหมอไม่ได้ อาจเป็นอาทิตย์ โห เราไม่รอหรอกนะ
เราเลยบอกแฟนติดต่อ รพ.เวชธานีด่วน รับเอาออกไหม คิดเท่าไหร่ ราคายังไง ทำได้ทันทีวันนี้เลยไหม
ทางเวชธานีทำให้ได้เลย คิดค่าเอาออก สามหมื่น เราบอกสามีเราช่วยจัดการเลย เราจะตายแล้ว
แล้วสามีเราก็รีบทำเรื่องย้ายรพ.ไปจากที่เราแอทมิทไปเวชธานีด่วน เสียค่าห้อง ค่าน้ำเกลือ ค่าหมอที่นี่ไปสองหมื่นกว่า
พอสักพัก เซลล์โทรมาบอกว่า หาหมอที่จะเอาออกได้แล้ว เป็นหมออีกคนทำตอนสองทุ่ม เราบอกไม่เอาแล้ว
เรายอมเสียเงินดีกว่าไปทำสถานที่แคบๆเล็กๆนั้น แล้วรอถึงสองทุ่ม เราช็อคตายก่อนแน่
แล้วเราก็นอนรถพยาบาลไปเวชธานีเลย พอไปถึง พบคุณหมอที่ทำมาพูดคุย ถามว่าเราใส่ไปกี่ cc เราบอก 600 cc
หมอตกใจเลยนะว่าใส่เยอะไป ผญ.ใส่กัน 400-500 cc เพราะถ้าใส่เยอะไป กระเพาะเหลือที่น้อย จะทำให้อึดอัด
เราตอบขำๆว่า สงสัยเห็นเราตัวใหญ่มั๊งคะ
แล้วเราก็ยังอ๊วกตลอด บอกหมอช่วยทำให้ไวที่สุดด้วยค่ะ หมอยังย้ำเลยว่าไม่เปลี่ยนใจนะ เอาออกเหลือ 400 cc ไหม
เราบอกไม่เอา เอาออกไปเลยค่ะ ไม่เสียดายเงิน ขอชีวิตที่มีความสุขคืน
หมอยังบอกว่าทำไมไม่มาทำที่นี่ล่ะ ทำมา 200 กว่าเคสแล้วนะ เราก็บอกว่า ตอนแรกตั้งใจจะทำที่นี่แหละค่ะ แต่หลงคารมเซลล์ที่คลีนิคนั้น
เรื่องระบบร่างกายภายในเป็นเรื่องสำคัญ ทำที่โรงพยาบาลใหญ่ดีกว่า มีอะไรฉุกเฉิน เค้าจะได้ดูแลได้
ความจริงจำเป็นต้องแอทมิทดูอาการอย่างใกล้ชิด 1-2 คืนอย่างต่ำนะ
เราบอก พลาดไปแล้วค่ะ ความจริงเราควรจะมาทำที่นี่ สถานที่ เครื่องมือต่างกันลิบลับเลย
พอถึงตอนทำ ครั้งนี้ไม่มีพ่นยาชาอะไรที่ปากนะ สักแปปสลบ ตื่นมาเสร็จแล้ว
ท้องเราโล่งโคดๆ เหมือนปกติเลย ไม่อยากเชื่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ อาการจุก เสียด อ๊วกหายเป็นปลิดทิ้ง
นี่รูปบอลลูน ตอนเอาออกมา
ไม่เอาแล้ว เข็ดแล้วๆ เราอ๊วกจนเสียงแหบ เจ็บคอไปหมด
เราไม่รู้คนอื่นที่เคยทำมา มีประสบการณ์ยังไง อาจทำแล้วดีมากๆ แต่เราไม่เอาแล้ว เข็ดวิธีนี้แล้ว
เราไม่รู้ว่าคนอื่นทนกันได้ไงให้ผ่านช่วงทรมานนี้
หรือว่าเพราะเราทำผิดที่ หรือว่าใส่น้ำในบอลลูนเยอะไป หรืออะไรก็แล้วแต่
เราทำไปสามวัน ผอมไปสามโลเลย แต่ประสปการณ์ครั้งนี้มันเตือนใจให้เรามีแรงมุ่งมั่นที่จะควบคุมปากตัวเองให้กินน้อยลง
วันนี้เริ่มวันแรก และก็ทำได้ และจะพยายามทำต่อไปให้ได้
วันนี้เขียนมาเล่าให้เพื่อนๆ อ่าน เพราะเห็นรีวิวเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก
ถ้าใครอยากทำจริงๆ ศึกษาสถานที่ทำให้เยอะๆ เราก็ไม่รู้ว่าถ้าใส่บอลลูนที่เวชธานีเป็นไง เพราะเราคงไม่เอาแล้ว
แต่ขอบอกว่า ดีกว่าทำที่คลีนิคเล็กๆ แน่นอน
เรื่องระบบร่างกายภายในเป็นเรื่องสำคัญ ทำที่โรงพยาบาลใหญ่ดีกว่า
ไม่รู้อาการน้องคนนั้นเป็นไงบ้าง
ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ เรื่องการทำบอลลูนนี้ให้ทุกคนพิจารณาดู
ใครทำแล้วดี ผ่านการอ๊วกทรมานกี่วันถึงปกติ มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันมั่งนะ
ปล. เมื่อเช้าหมอจากเวชธานีโทรมาว่า ตรวจพบกระเพาะเรามีเชื้อแบคทีเรีย ต้องซื้อยากินสามชนิด กินให้ครบ 10 วัน ไม่งั้นอันตราย
อาจเป็นกระเพาะอักเสบ และอาจเป็นมะเร็งกระเพาะได้ หมดค่ายาไปอีกสามพันกว่าบาท แต่เราไม่ได้กินอะไรเลย เราติดเชื้อแบคทีเรียจากอะไรอ่ะ
ปล2. สรุป หมดค่าใช้จ่ายไปทั้งหมดในการใส่บอลลูนและเอาออก ภายใน 3วันนี้ เกือบสองแสนหก!
ประสบการณ์อันแสนทรมาน จากการใส่บอลลูนในกระเพาะ!!
เราอ่านข้อมูลมาสักระยะแล้วว่ามีการลดความอ้วนแบบใหม่คือการใส่ลูกบอลลูนลงในกระเพาะอาหารแบบไม่ต้องผ่าตัดเลย
โดยใช้วิธีสอดลูกโป่งพร้อมส่องกล้องลงไปในหลอดคอ ลำไส้ ไปยังกระเพาะอาหาร แล้วใส่น้ำสีฟ้าเข้าไป เพื่อให้กระเพาะเต็มไปส่วนนึง
ทีนี้กินอะไรไปได้นิดเดียว ก็จะอิ่ม
โดยที่ระยะใส่อยู่ที่ 1 ปี ครั้งแรกใส่ลงไป อีก 6 เดือนมาขยับบอลลูน อาจทำให้ลูกเล็กลง และครบ 1 ปีเอาออก
อ่านข่าวมา มีคนลดได้ตั้ง 20-40 โลแน่ะ โอ้วมันยอดมาก ที่เมืองนอกก็มีทำมาเป็นปีแล้ว
ทีนี้หาข้อมูลในอากู๋ มีลงกันดังๆที่เห็นเค้าทำกัน คือ รพ.เวชธานี ราคาประมาณ แสนเจ็ด
ก็เก็บข้อมูลไว้ในใจว่า เออ อยากทำ เพราะเคยลองไปดูดไขมันแล้วก็ยังไม่ลดเท่าไหร่ เนื่องจากยังกินเยอะอยู่
คือมีความสุขในการกินมากๆ (อย่าด่าเราเลยนะ มันห้ามใจไม่อยู่ อยากผอมทางลัด)
ดูรีวิวในเน็ต ก็น้อยจัง ไม่ค่อยมีคนมาเล่าเลย
ทีนี้เราไปทำหน้าที่คลีนิคในห้างนึง ซึ่งเราทำหน้าประจำ เทอร์มาจมั่ง โบท่อกมั่ง อะไรประมาณนี้
ก็คุยกับเซลล์ว่า อยากไปทำบอลลูนลดความอ้วน เค้าก็บอกคลีนิคเค้าก็มีทำนะ ราคาสองแสนแปด
เราก็ โห เว่อร์ เวชธานีแสนเจ็ดเอง ก็ไม่ได้สนใจอะไร
แล้วเดือนที่แล้ว เซลล์ก็บอก มีโปรจ้าพี่ ทำบอลลูนแสนแปด โปรโมชั่นเด็ด ลดเยอะเลย แต่ต้องเสียค่าดมยาสองครั้งหลังอีกครั้งละหมื่นน๊า
ง่ายๆ รวมเป็นสองแสน และก็แถมคอรส์ทำตัวไรนิดหน่อย ก็ใจอ่อนตามเคย
พอถึงวันนัดทำ 29 มีนาที่ผ่านมา เราก็ไปทำ โดยเค้าให้เรางดอาหารและน้ำ 12 ชั่วโมง
เออ ลืมบอก เค้าก็มีนัดให้มาตรวจความดัน xray ปอด ตรวจฉี่ก่อนนะก่อนทำสองวัน
ทีนี้เราเคยไปทำหน้าแต่ที่ห้าง ไม่เคยมาคลีนิคใหญ่เค้าที่แถวย่านในเมือง
พอไปเห็นสถานที่ต้องทำ เล็ก อึดอัดมาก หรือเราชินกับที่ทำศัลย์ที่เกาหลีก็ไม่รู้นะ
อันนี้เป็นบ้านเหมิอนทาวน์โฮมดัดแปลงอ่ะ ตอนทำ ได้ยินว่ามีคนทำก่อนหน้าหนึ่งคนอยู่ เราทำต่อเป็นคนที่สอง
พอถึงเวลา ก็ตื่นเต้นนิดๆ หมอให้นอนหันข้างไปทางซ้าย กอดหมอน
สายตาเรามองนาฬิกาที่เพดาน บ่ายโมงครึ่ง หมอหรือพยาบาลไม่รู้จำไม่ได้ ฉีดยาชาที่คอให้เราค่อยกลินไป ขมมาก
แล้วสักแปป เราก็สลบไปไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกที สลึมสลือแปปนึง เอ๊ะ เราไม่ได้อยู่ห้องที่ทำเมื่อกี๊แล้ว
มองขึ้นบน เป็นเพดานเตี้ยๆ เหลือบตามองนาฬิกาที่ผนัง บ่ายสองโมงครึ่ง
เอ๊ะ ตูทำเสร็จวะเนี่ย เลยถามพยาบาลที่เห็นเดินมาพอดีว่า ทำเสร็จแล้วเหรอ เค้าก็บอกเสร็จแล้ว เออ ไวดีแหะ
เรานอนให้น้ำเกลืออยู่ ในท้องไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย เรามีไอ้ลูกบอลลูนในท้องแล้วเหรอเนี่ย
ได้ยินเสียงอ๊วกๆ ข้างซ้ายของเรา หันไปมอง มีผู้หญิงคนนึงนอนให้น้ำเกลือเตียงข้างๆ
สงสัยคนที่มาทำเหมือนกัน คือห้องพักนี่เล็กมาก ขนาดน่าจะสามเมตร คูณสองเมตรครึ่ง
มีเตียงคนไข้สองเตียง ปลายเท้าเป็นตู้บิลท์อินแบบตู้เสื้อผ้า ติดประตูเป็นเก้าอี้เล็กๆ เพดานเตี้ยมาก จบข่าว
สักพัก เราชวนคุยนิดนึง เห็นเค้าอ๊วกมากๆ อ๊วกไม่หยุด น่าสงสารมาก แต่เราไม่เป็นอะไรเลยอ่ะ น้องเค้าหนัก 62 โลเอง จากสายตาที่มอง ไม่อ้วนเลยยยย เบากว่าเราตั้งเกือบเท่า มาทำ ทำม้ายยย แต่เค้าบอกว่าตอนแต่งงาน หนัก 48 เองอ่ะ คือบอกตรงๆ น้องเค้าไม่อ้วนเลย อย่างเราสิโคดอ้วน
เพื่อนเค้าเข้ามาเยี่ยม คือยืนก็เต็มห้องเลย เพราะห้องเล็กมาก เพื่อนที่มาเยี่ยม ตัวใหญ่พอๆกับเราเลย
เราก็ดันปากไวว่า น้องไม่ทำเหรอ? คือสำหรับเราคนที่น่าทำ คือคนอ้วนมากๆ ที่ทำวิธีอื่นยากอ่ะ
เราก็สายเผือก แอบฟังเค้าคุยกันเงียบๆ คือน้องเค้ามาทำโดยไม่บอกสามี ไม่บอกที่บ้าน ประมาณว่าแอบมาทำ ยอมตายดีกว่าบอกสามี
สงสัยกลัวถูกสามีด่า พูดถึงก็เหมือนเรานะ ตอนแรกก็ปิดสามี แต่พอวันทำตอนเช้า ก็ยอมบอกความจริง โดนบ่นนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร (เพราะเราเคยเกริ่นๆมาแล้วไง)
ทีนี้น่าสงสารน้องเค้ามาก อ๊วกไม่หยุดเลย มีอ๊วกปนเลือดด้วย เค้าบอก แล้วความจริงต้องให้น้ำเกลือถึงหกโมงเย็น แต่เค้าต้องรีบกลับ กลัวที่บ้านรู้
เราก็ถามว่าทำเท่าไหร่ ทำไมไม่ทำเวชธานี อันนี้คุยกัน น้องก็บอกว่า เวชธานีต้องแอทมิท 1 คืน แต่ที่นี่ไม่ต้อง เลยทำที่นี่
แล้วน้องก็กลับไปพร้อมเสียงอ๊วกต่อเนื่อง
เราสินอนชิลๆ ไม่รู้สึกอะไรเลย หกโมงเย็นเราก็ขอกลับ เพราะเราแข็งแรงดี เค้ายังชมเลยว่า นี่โชคดีนะเนี่ย 80% ทุกคนจะอ๊วกหมด เค้าก็โชว์รูปให้ดู
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอนางพยาบาลดึงน้ำเกลือออกปุ๊ป ข้าพเจ้าเริ่มอ๊วกเลยครับ มันมาแล้วๆๆ มันหลอกให้เราดีใจ แต่มันมาแล้ว ฮือๆ
อ๊วกไปหนึ่งครั้ง ชิลๆ แล้วก็นั่งรถกลับบ้าน ในท้องก็ยังไม่รู้สึกอะไร
พอนั่งรถได้สักชั่วโมง อ๊วกมาแล้วครับอีกระลอกนึง ทีนี้เอาแระ เริ่มถี่ขึ้น
สงสัยกระเพาะตอนแรกหนา ตอนนี้มันมาแล้วววว
ท้องเริ่มจุกแบบเสียด แล้วอ๊วก คลื่นไส้ตลอด เราทรมานมาก
อ๊วกแบบนี้ไป เกือบยี่สิบถุง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ลืมบอก พยาบาลบอกว่า วันแรกให้จิบแต่น้ำเปล่าทีละนิดๆ วันสองกินน้ำข้าว วันสามค่อยนม
ให้กระเพาะค่อยๆรับสภาพ แล้วต้องกินยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะทุกวันจนหนึ่งเดือน
(เค้าบอก อาการอ๊วก จะเป็นกัน 3-7 วัน บางคนก็สองอาทิตย์ ให้อดทน ร่างกายจะปรับตัวรับมันได้)
จะกินยาได้ยังไง เราอ๊วกเป็นฟองๆตลอดเลย เราเดาว่าน่าจะเป็นน้ำย่อยเราที่มันขย้อนออกมา
เราทรมานมาก นอนไม่ได้ มือซ้ายถือถุงก็อปแก็ป มือขวาถือทิชชู่เช็ดน้ำลายเหนียวๆที่ย้อย
เราจะตายให้ได้ ทรมานโคดๆ ต้องนอนหนุนหัวสูง
จนตอนเช้า เราไม่ไหว บอกสามีเราพาไปให้น้ำเกลือ รพ.แถวบ้านหน่อย
รุปนี้ตอนให้น้ำเกลือแอทมิทที่รพ.เอกชนแถวบ้าน
เรานอนให้น้ำเกลืออีกคืน รับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น วัดความดันสูงปรี๊ดเลย
บอกหมอว่า ช่วยให้ยานอนหลับหน่อย อยากหลับ จะได้ไม่ทรมาน บอกตรงๆ ยานอนหลับก็เอาไม่อยู่
เราอ๊วกอย่างหมดอาลัยตายอยากทั้งคืน ตัดสินใจเลย ตูจะเอาบอลลูนออก!!!
เลยบอกเซลล์ว่า จะเอาออก ช่วยจัดการด่วน เซลล์ก็บอกไม่อดทนอีกสักสองวันเหรอ เผื่อร่างกายปรับได้
ไม่ทนแล้ววววว ถามเซลล์ว่าผญ.ที่ทำพร้อมเราเป็นไงบ้าง ตกลงน้องเค้าก็ต้องเข้า รพ. แอทมิทให้น้ำเกลือเหมือนกัน
เราว่าน้องเค้าหนักกว่าเรานะ คือมันทรมานมากที่สุด เกิดมาไม่เคยทรมานแบบนี้เลย
เซลล์บอกติดต่อหมอไม่ได้ ข้อเสียของคลีนิคพวกนี้คือใช้หมอนอกที่รับจ็อบ ไม่มีหมอประจำ
เวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะหมออาจติดธุระอื่นๆ
ซึ่งเซลล์บอกติดต่อหมอไม่ได้ อาจเป็นอาทิตย์ โห เราไม่รอหรอกนะ
เราเลยบอกแฟนติดต่อ รพ.เวชธานีด่วน รับเอาออกไหม คิดเท่าไหร่ ราคายังไง ทำได้ทันทีวันนี้เลยไหม
ทางเวชธานีทำให้ได้เลย คิดค่าเอาออก สามหมื่น เราบอกสามีเราช่วยจัดการเลย เราจะตายแล้ว
แล้วสามีเราก็รีบทำเรื่องย้ายรพ.ไปจากที่เราแอทมิทไปเวชธานีด่วน เสียค่าห้อง ค่าน้ำเกลือ ค่าหมอที่นี่ไปสองหมื่นกว่า
พอสักพัก เซลล์โทรมาบอกว่า หาหมอที่จะเอาออกได้แล้ว เป็นหมออีกคนทำตอนสองทุ่ม เราบอกไม่เอาแล้ว
เรายอมเสียเงินดีกว่าไปทำสถานที่แคบๆเล็กๆนั้น แล้วรอถึงสองทุ่ม เราช็อคตายก่อนแน่
แล้วเราก็นอนรถพยาบาลไปเวชธานีเลย พอไปถึง พบคุณหมอที่ทำมาพูดคุย ถามว่าเราใส่ไปกี่ cc เราบอก 600 cc
หมอตกใจเลยนะว่าใส่เยอะไป ผญ.ใส่กัน 400-500 cc เพราะถ้าใส่เยอะไป กระเพาะเหลือที่น้อย จะทำให้อึดอัด
เราตอบขำๆว่า สงสัยเห็นเราตัวใหญ่มั๊งคะ
แล้วเราก็ยังอ๊วกตลอด บอกหมอช่วยทำให้ไวที่สุดด้วยค่ะ หมอยังย้ำเลยว่าไม่เปลี่ยนใจนะ เอาออกเหลือ 400 cc ไหม
เราบอกไม่เอา เอาออกไปเลยค่ะ ไม่เสียดายเงิน ขอชีวิตที่มีความสุขคืน
หมอยังบอกว่าทำไมไม่มาทำที่นี่ล่ะ ทำมา 200 กว่าเคสแล้วนะ เราก็บอกว่า ตอนแรกตั้งใจจะทำที่นี่แหละค่ะ แต่หลงคารมเซลล์ที่คลีนิคนั้น
เรื่องระบบร่างกายภายในเป็นเรื่องสำคัญ ทำที่โรงพยาบาลใหญ่ดีกว่า มีอะไรฉุกเฉิน เค้าจะได้ดูแลได้
ความจริงจำเป็นต้องแอทมิทดูอาการอย่างใกล้ชิด 1-2 คืนอย่างต่ำนะ
เราบอก พลาดไปแล้วค่ะ ความจริงเราควรจะมาทำที่นี่ สถานที่ เครื่องมือต่างกันลิบลับเลย
พอถึงตอนทำ ครั้งนี้ไม่มีพ่นยาชาอะไรที่ปากนะ สักแปปสลบ ตื่นมาเสร็จแล้ว
ท้องเราโล่งโคดๆ เหมือนปกติเลย ไม่อยากเชื่อ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ อาการจุก เสียด อ๊วกหายเป็นปลิดทิ้ง
นี่รูปบอลลูน ตอนเอาออกมา
ไม่เอาแล้ว เข็ดแล้วๆ เราอ๊วกจนเสียงแหบ เจ็บคอไปหมด
เราไม่รู้คนอื่นที่เคยทำมา มีประสบการณ์ยังไง อาจทำแล้วดีมากๆ แต่เราไม่เอาแล้ว เข็ดวิธีนี้แล้ว
เราไม่รู้ว่าคนอื่นทนกันได้ไงให้ผ่านช่วงทรมานนี้
หรือว่าเพราะเราทำผิดที่ หรือว่าใส่น้ำในบอลลูนเยอะไป หรืออะไรก็แล้วแต่
เราทำไปสามวัน ผอมไปสามโลเลย แต่ประสปการณ์ครั้งนี้มันเตือนใจให้เรามีแรงมุ่งมั่นที่จะควบคุมปากตัวเองให้กินน้อยลง
วันนี้เริ่มวันแรก และก็ทำได้ และจะพยายามทำต่อไปให้ได้
วันนี้เขียนมาเล่าให้เพื่อนๆ อ่าน เพราะเห็นรีวิวเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก
ถ้าใครอยากทำจริงๆ ศึกษาสถานที่ทำให้เยอะๆ เราก็ไม่รู้ว่าถ้าใส่บอลลูนที่เวชธานีเป็นไง เพราะเราคงไม่เอาแล้ว
แต่ขอบอกว่า ดีกว่าทำที่คลีนิคเล็กๆ แน่นอน
เรื่องระบบร่างกายภายในเป็นเรื่องสำคัญ ทำที่โรงพยาบาลใหญ่ดีกว่า
ไม่รู้อาการน้องคนนั้นเป็นไงบ้าง
ขอฝากเป็นอุทาหรณ์ เรื่องการทำบอลลูนนี้ให้ทุกคนพิจารณาดู
ใครทำแล้วดี ผ่านการอ๊วกทรมานกี่วันถึงปกติ มาแลกเปลี่ยนความเห็นกันมั่งนะ
ปล. เมื่อเช้าหมอจากเวชธานีโทรมาว่า ตรวจพบกระเพาะเรามีเชื้อแบคทีเรีย ต้องซื้อยากินสามชนิด กินให้ครบ 10 วัน ไม่งั้นอันตราย
อาจเป็นกระเพาะอักเสบ และอาจเป็นมะเร็งกระเพาะได้ หมดค่ายาไปอีกสามพันกว่าบาท แต่เราไม่ได้กินอะไรเลย เราติดเชื้อแบคทีเรียจากอะไรอ่ะ
ปล2. สรุป หมดค่าใช้จ่ายไปทั้งหมดในการใส่บอลลูนและเอาออก ภายใน 3วันนี้ เกือบสองแสนหก!