เทวทัตพ.ศ.๒๕๖๐เกิดขึ้นแล้วจริงมั้ย? ฟังจากตัวแทนคณะศิษย์ฯหลวงตาพระมหาบัว

❖แถลงการณ์ฉบับที่ ๒/๒๕๖๐  

เรื่อง แนวคิดผลักดัน “กฎหมาย” ขึ้นเหยียบย่ำ “พระธรรมวินัย” หาใช่ “การปฏิรูปสงฆ์” ไม่
เป็นได้เพียงอุบายวิธีของ “เทวทัต” และ “มหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา” เท่านั้น
จึงไม่อาจยอมรับ “ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทุกฉบับ” ของนายไพบูลย์ได้
----------------
ด้วยนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นตัวตั้งตัวตีในการผลักดัน “ร่างพ.ร.บ.ที่แทรกแซงพระพุทธศาสนาหลายฉบับ” โดยแสดงความเห็นที่บิดเบือนหลักพระธรรมวินัย อันจะส่งผลเสียหายร้ายแรงชักพาให้ประชาชนจำนวนมากพลอยหลงเชื่อเข้าใจผิดคิดว่าน่าจะดีต่อพระศาสนา ซึ่งหากรัฐบาล หรือ สนช.ยอมรับร่างกฎหมายดังกล่าว ย่อมเป็นอัปมงคลแก่ชาติบ้านเมือง ยังความเดือดร้อนวุ่นวายไปทั่วสังฆมณฑลประหนึ่งมี “เทวทัต” เกิดขึ้นในสมัยปัจจุบันฉะนั้น

เพื่อป้องกันมิให้ “พระธรรมวินัย” หัวใจของพระพุทธศาสนาต้องถูกกระทบกระเทือนด้วยวิธีการของ “เทวทัต” และ “มหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา” เช่นนี้  คณะศิษยานุศิษย์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งมีเจตนารมณ์   แน่วแน่ในการสืบทอดปณิธานและหลักธรรมคำสอนขององค์หลวงตา จึงขอน้อมนำหลักพระธรรมวินัย ข้อกฎหมาย และจารีตประเพณี ที่สงฆ์กรรมฐานนำโดยองค์หลวงตา ได้พิจารณาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ออกชี้แจงให้พุทธศาสนิกชนได้รับทราบความจริงโดยทั่วกัน ดังต่อไปนี้

๑. นายไพบูลย์ นิติตะวัน มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เลือกกล่าวถึงพระวินัยเรื่องเงินทองเพียง “ต้นบัญญัติ”  แต่กลับจงใจปิดบังอำพราง “อนุบัญญัติ” ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตไว้แล้ว

สืบเนื่องจากรายการ “ถามตรง ๆ” ทางไทยรัฐทีวี เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๐ ในหัวข้อ “จัดระเบียบ ทรัพย์สินพระ” และรายการอื่น ๆ จำนวนมากก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ได้กล่าวอ้างพระวินัยจำเพาะในส่วน “ต้นบัญญัติ” เท่านั้นว่า ไม่ให้พระมายุ่งกับเงินทองอย่างเด็ดขาด แต่กลับจงใจจะปิดบังซ่อนเร้นไม่อ้างถึงพระวินัยข้อเดียวกันในส่วน “อนุบัญญัติ” ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ผ่อนผันแล้วตามคำขอของ “เมณฑกเศรษฐี” พฤติการณ์ที่กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องเดียวกันในหลายรายการ ย่อมส่อให้เห็นชัดเจนถึงจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์และไม่ซื่อตรง มีเจตนาร้ายหวังบิดเบือนมิให้มหาชนได้ล่วงรู้หลักพระธรรมวินัยที่แท้จริงในประเด็นดังกล่าว พฤติการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้ยังความคลางแคลงใจไม่สบายใจแก่คณะศิษย์เป็นอย่างยิ่งว่า ลักษณะเช่นนี้หาใช่ผู้หวังดีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงไม่

อนึ่ง หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นพระกรรมฐานผู้ศึกษาปริยัติจนรู้จริงและปฏิบัติเคร่งครัดตามหลักพระธรรมวินัยเพียบพร้อมในสิกขาบทน้อยใหญ่เกิดปฏิเวธธรรมสมความตั้งใจในการบำเพ็ญสมณธรรม สำหรับการปฏิบัติต่อเงินทองก็สอดคล้องตรงตามหลักพระวินัย “นิสสัคคียปาจิตตีย์ข้อ ๑๘” อย่างเข้มงวดไม่มีข้อด่างพร้อย องค์หลวงตาจึงทำหน้าที่ในฐานะประธานโครงการช่วยชาติได้อย่างองอาจสมเป็น “ศากยบุตรพุทธชิโนรส” ที่กอปรด้วยเมตตาธรรม องค์หลวงตารับปัจจัยบริจาคทั้ง “ดอลลาร์และทองคำ” จากน้ำใจคนไทยทั้งชาติ รวมเป็นทองคำ ๑๓,๐๐๐ กิโลกรัมเข้าคลังหลวง เป็นหลักประกันค้ำความมั่นคงของชาติ และยังนำเงินบาทไปสงเคราะห์โรงพยาบาล หน่วยราชการ สถานสงเคราะห์ ทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้ประเทศเพื่อนบ้าน รวม ๒๒๕ แห่ง และยังสงเคราะห์โรงเรียน ผู้ประสบภัยอีกจำนวนนับไม่ถ้วนด้วย หากจะนับมูลค่าการสงเคราะห์โลกไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นล้าน ทั้งนี้ในการรับบริจาคมีทั้งถวายโดยตรงต่อองค์หลวงตาและโอนผ่านบัญชีขององค์หลวงตาฯ สำหรับการจับต้องปัจจัยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้น องค์หลวงตาได้มอบหมายให้ไวยาวัจกรเป็นผู้กระทำการแทน การปฏิบัติต่อเงินทองขององค์หลวงตาจึงเป็นไปตามพระวินัยโดยเคร่งครัดที่ทรงมีพุทธบัญญัติอนุญาตตามคำขอของ “เมณฑกเศรษฐี” ทุกประการ

องค์หลวงตาพระมหาบัว เมตตาแสดงธรรมเกี่ยวกับพระวินัยข้อนี้ เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๕ ดังนี้

“พระวินัยนี้มีทั้งต้นบัญญัติ มีทั้งอนุบัญญัติ นี้ดูมาหมดแล้วนี่นะ ต้นบัญญัติตัดขาดเรื่องเงินเรื่องทองไม่ให้มายุ่งเลย ขาดสะบั้นไปเลย เป็นภัยต่อการบำเพ็ญสมณธรรมของพระ  นั่นฟังซิ  พระพุทธเจ้าตัดขาดหมดเลยพุทธบัญญัติ  โย ปน ภิกฺขุ ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ นี้เป็นต้นบัญญัติ

ภิกษุรูปใดรับเงินและทองเองก็ดี ให้เขาเก็บไว้เพื่อตนก็ดี เป็นนิสสัคคีย์ ของนั้นต้องเสียสละออกไป เจ้าของแสดงอาบัติปาจิตตีย์ เป็นอาบัติแล้ว นั่นบอกไว้แล้วอย่างนี้ นี้ต้นพุทธบัญญัติห้ามไม่ให้พระสงฆ์เกี่ยวกับเงินกับทองเลย นี่พุทธบัญญัติสวดอยู่ในปาฏิโมกข์ทุกอุโบสถ มีหรือไม่มีธรรมวินัย เห็นอยู่ทุกคนบรรดาพระที่บวชมาร่วมอุโบสถสังฆกรรมไม่เห็นอันนี้ไม่ได้ เป็นพระวินัยของพระ เห็นอยู่อย่างนี้ นี่ละบัญญัติต้น

ครั้นต่อมาบรรดาผู้มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสทุกชั้นทุกภูมิตั้งแต่มหากษัตริย์ลงมา มาขอบวชในพุทธศาสนา ชาติชั้นวรรณะมันก็ต่างกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมีหยาบมีละเอียด ทีนี้กษัตริย์ออกมาบวชจะให้ทำเหมือนประชาชนทั่วๆ ไป เหมือนตาสีตาสาตามท้องนาอย่างนี้มันก็ลำบาก เมณฑกเศรษฐีเป็นปู่ของนางวิสาขาไปขอความผ่อนผันจากพระพุทธเจ้า  ขอให้ทรงอนุญาตผ่อนผันลงในการตัดขาดเรื่องเงินเรื่องทอง ทั้งเก็บไว้ด้วยตนเองก็ดี ทั้งคนอื่นเก็บก็ดี ห้ามเด็ดขาด ขอให้ลดหย่อนผ่อนผันลง ให้คนอื่นเก็บไว้ให้บ้าง เก็บไว้เพื่อท่านจะต้องการอะไรก็ให้ไปเอาของจำเป็นที่ท่านต้องการนั้นมาถวายพระ

เมณฑกเศรษฐีขอผ่อนผันพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงผ่อนผัน ยังเหน็บไว้ด้วยนะ ผ่อนผันแล้วก็ยังเหน็บไว้อีกด้วย คือผ่อนผันว่าให้ผู้อื่นเก็บแทนได้ แต่ให้ยินดีในกัปปิยะที่ของนี้จะไปซื้อไปแลกเปลี่ยนมาเท่านั้น ไม่ให้ยินดีในเงินและทอง ถ้ายังยินดีนี้ปรับอาบัติอีกโน่นฟังซิ ถึงอนุโลมผ่อนผันแล้วยังมีปรับไว้อีก มีข้อเหน็บไว้อีก นี่ละที่มีผ่อนผันนี่มันทำให้จุ้นจ้านอยู่ทุกวันนี้ จนไม่มีความหมายเลยพระวินัยข้อนี้ แหลกเหลวไปหมดมานมนานสักเท่าไรพี่น้องทั้งหลายก็เห็นกัน นี่พระวินัยมีอย่างนี้"
…(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในภาพ)


๒. แนวคิดของนายไพบูลย์ นิติตะวัน เหยียบย่ำพระธรรมวินัย และขาดความเคารพยำเกรงต่อคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ในเรื่อง “ภิกษุณี”

กล่าวคือ เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อขอให้จัดทำรายงานเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีให้แก้ไขพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ มาตรา ๕ ทวิ เพื่อให้แก้ไขกฎหมายให้มีการบวชภิกษุณีในประเทศไทยได้ โดยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับ ว่า

“เป็นการตรวจสอบของตน ยืนยันว่าการปฏิบัติของภิกษุณีในเรื่องการบวชไม่ถือว่าผิดพระธรรมวินัย เพราะในพุทธประวัติก็มีภิกษุณี และไม่ผิดกฎหมาย เพียงแต่ในทางกฎหมายยังไม่มีการรับรองเท่านั้น จึงอยากให้กรรมการสิทธิฯ จัดทำรายงานเพื่อเสนอครม. ให้แก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีก” นั้น

ข้อเสนอของนายไพบูลย์ นิติตะวัน ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดแย้งอย่างรุนแรงต่อข้อปฏิบัติได้จริงตามหลักพระธรรมวินัย กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการเหยียบย่ำพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ยังขาดความเคารพยำเกรงต่อคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจาก ทรงออกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๗๑ ห้ามพระเณรบวชหญิงเป็นภิกษุณีหรือสามเณรี ดังนี้ …(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในภาพ)

๓. “ร่างกฎหมายนายไพบูลย์” เลวร้ายกว่า “ร่างกฎหมายเทวทัต ๕ มาตรา”

ครั้งพุทธกาล พระเทวทัตได้ “ร่างกฎหมาย ๕ มาตรา” เสนอต่อพระพุทธเจ้าหวังให้มีผลบังคับใช้ โดยอ้างว่าร่างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุในศาสนามีความสันโดษมักน้อยยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ประกอบด้วย

(๑) ภิกษุทั้งหลาย ต้องอยู่ป่าตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่มีความผิด
(๒) ภิกษุทั้งหลาย ต้องเที่ยวบิณฑบาตตลอดชีวิต รูปใดรับกิจนิมนต์มีความผิด
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ต้องถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต รูปใดใช้ผ้าคหบดีมีความผิด
(๔) ภิกษุทั้งหลาย ต้องอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต รูปใดอยู่ที่มุงที่บังมีความผิด
(๕) ภิกษุทั้งหลาย ต้องไม่ฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันมีความผิด

ปรากฏว่า พระสงฆ์และชาวพุทธเป็นอันมากในครั้งนั้น เริ่มเห็นคล้อยไปตาม “ร่างกฎหมายเทวทัต ๕ มาตรา” ต่างสำคัญผิดคิดว่า “ร่างกฎหมาย” นี้สอดคล้องตาม “หลักพระธรรมวินัย” อย่างยิ่งยวด หากมีผลบังคับใช้จริง จักทำให้พระสงฆ์ในสังฆมณฑลเจริญในสมณธรรมบรรลุมรรคผลได้เร็วขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม พระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ “ร่างกฎหมายเทวทัต” อย่างสิ้นเชิง และยังกล่าวตำหนิติเตียนอย่างรุนแรงอีกด้วย มีนัยยะสำคัญโดยสรุปก็คือ ห้ามบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติ และห้ามถอนสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว

คณะศิษย์พิจารณากรณีนี้แล้ว เห็นพ้องต้องกันว่า ร่างกฎหมายที่เสนอขึ้นมาโดยคนที่ยังมีกิเลสหมักดองเน่าเฟะอยู่ภายในใจแม้จะมีเนื้อหาสาระดูดีเพียงใดก็ตาม ก็เป็นได้แต่เพียง “ร่างกฎหมายเทวทัต” หรือ “ร่างกฎหมายของมหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา” เท่านั้น  ทั้งนี้เนื่องจากพฤติการณ์ของ “เทวทัต” และ “มหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา” เท่านั้น ที่บังอาจคิดกระทำในสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติ และบังอาจถอนในสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว เฉกเช่นกรณีเดียวกับ “ร่างกฎหมายทุกฉบับ” ที่นายไพบูลย์และพวกกำลังเสนออยู่ในห้วงเวลานี้  

๔. พระพุทธเจ้าปฏิเสธคำขอของพระเทวทัตที่ขอ “ปกครองสงฆ์” แทนพระพุทธเจ้า พระเทวทัตอ้างว่า พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุมากแล้ว

โดยพระพุทธเจ้ามิได้ยกให้การปกครองสงฆ์เป็นของพระรูปใดรูปหนึ่ง แม้จะเป็นพระสารีบุตร หรือพระโมคคัลลานะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ‘อานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต’ โดยได้มีพระพุทธบัญญัติ มิให้ฆราวาสก้าวก่ายในการปกครองสงฆ์ ดังนั้น การจะยกอำนาจในการออกประกาศใด ๆ ในการปกครองสงฆ์ไปให้ฆราวาสคนใด หรือคณะบุคคลใด ก็คือ การเหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัยอย่างซึ่ง ๆ หน้า นั่นเอง

๕. การเหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัย เป็นกรรมชั่วเหมือนขับรถชนภูเขา

องค์หลวงตาพระมหาบัว ได้เทศน์เตือนสติบุคคลผู้กำลังหลงผิดคิดเหยียบย่ำทำลายพระธรรมวินัยไว้ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ว่า

“เรานี่เท่ากับรถคันหนึ่งๆ อย่าเอาไปชนภูเขาคือธรรม อย่าฝืนธรรม อย่าเหยียบย่ำทำลายธรรม เท่ากับทำลายตนเอง อย่าขับรถชนภูเขา พังทั้งคนทั้งรถนั่นแหละไม่มีชิ้นดีเลย ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วเหมือนขับรถชนภูเขานั่นแหละ อย่าเลยอย่าฝืนพระพุทธเจ้านะ ไม่มีผู้ใดที่จะให้ความสงบร่มเย็นโดยถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก         สอนโลกไม่มีผิดเลย”

ด้วยเหตุที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งไม่แจ้งชัดหรือแสร้งไม่แจ้งชัดในหลักพระธรรมวินัย แต่กลับหาญกล้าให้สัมภาษณ์ในที่ต่าง ๆ หลายกรรมหลายวาระซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเป็นผู้รู้จัดเจนในหลักธรรมหลักวินัยเป็นอย่างดี จึงชักพาประชาชนผู้ด้อยปัญญาในทางธรรมจำนวนหนึ่งให้หลงเชื่อ ถึงขั้นกล่าวสนับสนุนว่า “สนับสนุนคุณไพบูลย์ ต้องถือตามพระธรรมวินัย..ไม่โอนอ่อนไปเองตามกิเลสคน เพราะผู้บัญญัติพระธรรมวินัย คือพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้ซึ่งกิเลสแล้ว จะมาให้ผู้มีกิเลสมาบัญญัติใหม่ได้อย่างไร”  

บัดนี้ คณะศิษย์ได้ทราบชัดเจนแล้วว่า แท้จริง นายไพบูลย์ นิติตะวัน หาได้มีความรู้จริงในหลักธรรมหลักวินัยไม่ หรือเลวร้ายกว่านั้นเป็นผู้มีความรู้แต่มีเจตนาเป็นอกุศลจงใจปกปิดบิดเบือนให้เข้าใจเป็นอื่น เพื่อจะได้บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ทรงบัญญัติ และได้รื้อถอนในสิ่งที่ทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว คณะศิษย์จึงเห็นพ้องต้องกัน ให้ออกแถลงการณ์ฉบับนี้ขึ้นเพื่อกรุณาทราบโดยทั่วกันว่า ไม่อาจยอมรับ “ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาทุกฉบับ” ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นผู้เสนอหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเด็ดขาด

ศาสตราจารย์ ดร.รัตนา ศิริพานิช
ในนามคณะศิษยานุศิษย์ผู้รักษาปณิธานขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐

#แถลงการณ์ฉบับที่๒/๒๕๖๐  
=======
www.facebook.com/siangdhamluangta
Line ID : siangdham, siangdhamfb
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่