ชีวิต ดี้ดี “ชาญชัย” รื้อคำพิพากษา มัดอธิบดีกรมสรรพากร บอกเองเรียกเก็บภาษีหุ้นชินฯ ซ้ำได้


  อดีต ส.ส.นครนายกฯ ขุดคำพิพากษามัดอธิบดีกรมสรรพากร เคยบอกออกหมายเรียกกรณีภาษีหุ้นชินคอร์ปใหม่ได้ ย้ำรัฐทำถูกต้องตามทวงเงินคืนหลวง งัดคำพิพากษา สวนลิ่วล้อแถมั่วไม่ต้องเสียภาษี ระบุชัดเงินคนละส่วนกัน แถมมีคำพิพากษาจำคุก “เบญจา” กับพวก 3 ปี ปมวินิจฉัยเอื้อ “โอ๊ค-เอม” ไม่ต้องเสียภาษี ชี้เป็นรายได้พึงประเมินตาม ม.61 ประมวลรัษฎากร
      
       วันนี้ (24 มี.ค.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ แถลงเปิดหลักฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นว่ากรมสรรพากรรับทราบมาโดยตลอดว่าสามารถออกหมายเรียกฉบับใหม่ในกรณีภาษีหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาทได้ ในกรณีที่หมายเดิมยังไม่ครอบคลุม โดยนำเอาคำให้การของนายประสงค์ พูนธเรศ อธิบดีกรมสรรพากรคนปัจจุบัน ที่เคยไปให้การไว้ในการพิจารณาคดีของศาลภาษีอากรกลาง ที่มีคำพิพากษาในปี 2553 ว่าไม่สามารถเรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้องสองได้เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของหุ้นตัวจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ระบุว่า เจ้าของหุ้นตัวจริงคือ นายทักษิณ ชินวัตร
      
       นายชาญชัยกล่าวว่า อธิบดีกรมสรรพาคนปัจจุบัน เคยไปให้การต่อศาลภาษีอากรกลางไว้ในฐานะเป็นพยานของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ว่า “ในการออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีนั้นถ้าการออกหมายเรียกเดิมยังไม่ครอบคลุมทุกประเด็นที่จะต้องตรวจสอบก็สามารถยกเลิกหมายเรียกเดิมและออกหมายเรียกฉบับใหม่เพื่อให้ครอบคลุมทุกประเด็นที่จะทำการตรวจสอบได้ ทั้งนี้ การเสียภาษีตามแหล่งเงินได้ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่งแห่งประมวลรัษฎากรนั้น นอกจากจะระบุถึงเงินได้เนื่องจากหน้าที่งาน หรือกิจการที่ทำให้ประเทศไทยด้วย และกรณีแหล่งเงินได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศก็รวมถึงเงินได้ที่เกิดจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศด้วย ตามมาตรา 41 วรรคสองในส่วนของหุ้นบริษัทชินคอร์ปเป็นทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย กรณีทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศแต่มีการทำสัญญาซื้อขายกันในต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นเงินได้ จากการซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวเป็นแหล่งเงินได้ในประเทศ ซึ่งข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดของนายประสงค์ที่เคยให้การไว้ต่อศาลภาษีอากรกลางเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2553 ทั้งสิ้น
      
       อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากรมสรรพากรรู้ตลอดเวลาว่าสามารถออกหมายเรียกใหม่ได้ ซึ่งหากมีการดำเนินการทันทีหลังศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาก็จะไม่เกิดปัญหาที่มาถกเถียงกันว่าออกหมายเรียกนายทักษิณ ไม่ได้เพราะหมดอายุความไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเรียกเก็บภาษีก้อนดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่กำลังดำเนินการเรื่องนี้ ส่วนที่ฝ่ายนายทักษิณออกมาอ้างว่าไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้เพราะเป็นเงินก้อนเดียวกับที่ถูกศาลฎีกาฯยึดทรัพย์นั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากในคำพิพากษาศาลฎีกาฯระบุชัดเจนว่า การเรียกเก็บเงินภาษีตามประมวลรัษฎากรจากการขายหุ้นนั้นต้องเก็บแยกจากกรณีการยึดอายัดทรัพย์ เพราะถือเป็นคนละส่วนกัน
      
       นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาศาลอาญาที่ตัดสินจำคุกนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง ขณะดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร และพวก รวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีคำวินิจฉัยเอื้อประโยชน์ให้กับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ว่าไม่ต้องชำระภาษีจากการซื้อหุ้นชินคอร์ปราคา 1 บาท จากแอมเพิลริชแล้วไปขายให้แก่เทมาเส็กในราคา 49.25 บาทตามราคาตลาดหลักทรัพย์ ทั้งๆ ที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 61 ประมวลรัษฎากร

http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000030179
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่