MGR Online – ผู้ว่าฯ สตง. เผย ประชุมร่วม “วิษณุ - อธิบดีสรรพากร” เมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) ยืนยันรัฐบาลต้องสั่งการให้กรมสรรพากรเก็บภาษีหุ้นชินฯ 1.2 หมื่นล้าน ก่อนคดีหมดอายุความสิ้นเดือนมีนาคมนี้ มิฉะนั้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
วันนี้ (12 มี.ค.) นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยืนยันให้รัฐบาลสั่งการให้กรมสรรพากรเก็บภาษี นายทักษิณ ชินวัตร จำนวน 12,000 ล้านบาท จากการหลีกเลี่ยงภาษีในการขายหุ้นของชินคอร์ปให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยให้ใช้มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากรภายใน 31 มี.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของอายุความ 10 ปี กรณีนี้กรมสรรพากรสามารถทำหนังสือแจ้งการประเมินภาษีนายทักษิณได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบก่อน เพราะมาตรา 61 มิได้บังคับให้ออกหมายเรียกก่อนประเมินภาษีเหมือนมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากรที่บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าต้องออกหมายเรียกตรวจสอบก่อนจึงจะประเมินได้
หากกรมสรรพากรเกรงว่าเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เนื่องจากไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบก่อน สตง. ก็เห็นว่า กรมสรรพากรเคยออกหมายเรียกตรวจสอบ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร เมื่อ 3 ส.ค. 50 ซึ่งบุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนของนายทักษิณผู้มีเงินได้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่ 242-243/2555 การออกหมายเรียกตรวจสอบตัวแทนทั้งสอง จึงมีผลผูกพันกับนายทักษิณซึ่งเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มตรา 797 และ 821 มีผลเท่ากับได้มีการออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณไปแล้วกรมสรรพากรจึงมีอำนาจประเมินให้นายทักษิณเสียภาษี 12,000 ล้านบาท ได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบอีก ซึ่งการส่งหนังสือแจ้งการประเมินกรมสรรพากรสามารถส่งโดยวิธีปิดหนังสือดังกล่าวไว้ที่บ้าน ซึ่งนายทักษิณมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร ตามมาตรา 8 แห่งปรัมวลรัษฎากรซึ่งมีผลทันทีตามกฎหมายเนื่องจากนายทักษิณอยู่นอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการประชุมระหว่าง สตง. นายวิษณุ เครืองาม และ อธิบดีกรมสรรพากรแล้ว ซึ่ง สตง. ยืนยันกับรัฐบาลในเรื่องดังกล่าว โดยขอให้รัฐบาลสั่งการให้กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษี 12,000 ล้านบาท ภายใน 31 มี.ค. 60 นี้ หากไม่มีการดำเนินการและคดีขาดอายุความ รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000025203
สตง.จี้ รัฐบาลเร่งสั่งให้กรมสรรพากรเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป 12,000 ล้าน ก่อนหมดอายุความ 31 มี.ค.นี้
วันนี้ (12 มี.ค.) นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่า ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยืนยันให้รัฐบาลสั่งการให้กรมสรรพากรเก็บภาษี นายทักษิณ ชินวัตร จำนวน 12,000 ล้านบาท จากการหลีกเลี่ยงภาษีในการขายหุ้นของชินคอร์ปให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยให้ใช้มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากรภายใน 31 มี.ค. 2560 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของอายุความ 10 ปี กรณีนี้กรมสรรพากรสามารถทำหนังสือแจ้งการประเมินภาษีนายทักษิณได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบก่อน เพราะมาตรา 61 มิได้บังคับให้ออกหมายเรียกก่อนประเมินภาษีเหมือนมาตรา 49 แห่งประมวลรัษฎากรที่บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าต้องออกหมายเรียกตรวจสอบก่อนจึงจะประเมินได้
หากกรมสรรพากรเกรงว่าเป็นการประเมินที่ไม่ชอบ เนื่องจากไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบก่อน สตง. ก็เห็นว่า กรมสรรพากรเคยออกหมายเรียกตรวจสอบ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร เมื่อ 3 ส.ค. 50 ซึ่งบุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนของนายทักษิณผู้มีเงินได้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่ 242-243/2555 การออกหมายเรียกตรวจสอบตัวแทนทั้งสอง จึงมีผลผูกพันกับนายทักษิณซึ่งเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มตรา 797 และ 821 มีผลเท่ากับได้มีการออกหมายเรียกตรวจสอบนายทักษิณไปแล้วกรมสรรพากรจึงมีอำนาจประเมินให้นายทักษิณเสียภาษี 12,000 ล้านบาท ได้โดยไม่ต้องออกหมายเรียกตรวจสอบอีก ซึ่งการส่งหนังสือแจ้งการประเมินกรมสรรพากรสามารถส่งโดยวิธีปิดหนังสือดังกล่าวไว้ที่บ้าน ซึ่งนายทักษิณมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร ตามมาตรา 8 แห่งปรัมวลรัษฎากรซึ่งมีผลทันทีตามกฎหมายเนื่องจากนายทักษิณอยู่นอกราชอาณาจักร
ทั้งนี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการประชุมระหว่าง สตง. นายวิษณุ เครืองาม และ อธิบดีกรมสรรพากรแล้ว ซึ่ง สตง. ยืนยันกับรัฐบาลในเรื่องดังกล่าว โดยขอให้รัฐบาลสั่งการให้กรมสรรพากรประเมินเรียกเก็บภาษี 12,000 ล้านบาท ภายใน 31 มี.ค. 60 นี้ หากไม่มีการดำเนินการและคดีขาดอายุความ รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000025203