กระทรวงยุติธรรม เข้าให้ความช่วยเหลือแพะในคดีปล้นรถกระบะป้ายแดงเมื่อปี 49 ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
หลังผู้ต้องขังชายส่งจดหมายสารภาพว่าเป็นผู้กระทำ แต่ตำรวจจับคนร้ายผิดตัว ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกนานถึง 5 ปี
หนังสือที่ส่งออกมาจากเรือนจำถึง พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจาก นักโทษ
ชายสาคร ขาวพันธุ์ ผู้ต้องขังชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ต้องโทษอยู่ในเรือนจำแห่งนี้ โดยขณะถูกคุมขังได้พบกับ นายกมล
แพเขียว ชาวเมืองชัยนาท ซึ่งเป็นนักโทษชายเหมือนกัน จึงได้เข้าไปพูดคุยถามไถ่ว่าติดคุกข้อหาอะไร นายกมล บอกกับ
นักโทษชายสาคร ว่าติดคุกในข้อหาปล้นทรัพย์รถกระบะป้ายแดงแต่ว่าตนไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ
นักโทษชายสาคร จำได้ว่าตัวเองเป็นผู้ก่อเหตุปล้นรถกระบะ จึงเกิดความสงสารที่ทำให้นายกมลต้องเข้ามาติดคุกตั้งแต่
ปี 2555ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดส่งไปที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้เข้า
มาช่วยเหลือนายกมล และตัวเองก็ยินดีที่จะรับโทษในคดีนี้ด้วย
เมื่อกระทรวงยุติธรรมได้รับหนังสือ ก็ไม่รอช้า ส่งนายชาติชาย โทสินธิติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางไปที่เรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี ไปพูดคุยกับนักโทษชายสาคร ขาวพันธุ์ ให้ทดลองว
าดแผนที่จุดเกิดเหตุที่คนร้าย 4 คน บุกเข้าไปในบ้านที่ 252 ต.ปลายนา อ.ศรีประจันทร์ จ.สุพรรณบุรี เพื่อปล้นทรัพย์สิน
และรถกระบะโตโยต้าป้ายแดง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549 ปรากฎว่านักโทษชายสาครกับพวก วาดแผนที่ได้เหมือนกับ
การก่อเหตุที่เกิดขึ้น
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยกับทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า ภายหลังจากได้รับหนังสือ
จากนักโทษชายสาคร ขาวพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังชายอยู่ในเรือนจำกลางเขาบิน จึงได้ส่งทีมไปสอบปากคำนักโทษชายสาคร
ปรากฎว่านักโทษชายสาคร และ พวกสามารถวาดแผนที่จุดเกิดเหตุเมื่อปี 2549 ได้ตรงกับคดีการปล้นรถกระบะป้ายแดง
ทำให้เชื่อได้ว่านักโทษชายสาครเป็นคนร้ายตัวจริง ไม่ใช่ นายกมล แพเขียว โดยหลังจากนี้ได้ร่วมกับ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์
วงษ์ปิ่นผบช.ภ.7 เร่งสรุปสำนวนส่งศาล นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่ต้องรออะไรอีก ซึ่งตามขั้นตอนนั้นจะต้องร
อให้ศาลตัดสินอีกครั้งว่านายกมล แพเขียว ไม่ใช่คนร้าย ภายหลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการเยียวยาได้ โดยจะพยายาม
เร่งรัดคดีให้จบโดยเร็ว คาดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้น่าจะแล้วเสร็จ โดยเบื้องต้นนายกมล แพเขียว จะต้องได้รับการเยียวยาตาม
กระบวนการยุติธรรมทางด้านจิตใจ และ เป็นทรัพย์สิน เพราะกระทบกับอาชีพการงานที่เคยทำ ซึ่งทราบว่านายกมล เป็น
ภารโรงอยู่ จะต้องชดใช้เป็นเงิน 5,000บาท นอกจากนี้ยังมีเงินรายวันอีกวันละ 300 บาท ตามจำนวนวันที่ต้องเข้าไปอยู่
ในเรือนจำ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเยียวยาเบื้องต้นเท่านั้น ต้องดูรายละเอียดเพื่อนำสู่การพิจารณาเยียวยาอย่างเต็มที่ที่สุด
แพะอีกแล้ว .... กระทรวงยุติธรรม เข้าให้ความช่วยเหลือแพะในคดีปล้นรถเมื่อ ปี 49 .../sao..เหลือ..noi
หลังผู้ต้องขังชายส่งจดหมายสารภาพว่าเป็นผู้กระทำ แต่ตำรวจจับคนร้ายผิดตัว ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกนานถึง 5 ปี
หนังสือที่ส่งออกมาจากเรือนจำถึง พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจาก นักโทษ
ชายสาคร ขาวพันธุ์ ผู้ต้องขังชาวจังหวัดสุพรรณบุรี ต้องโทษอยู่ในเรือนจำแห่งนี้ โดยขณะถูกคุมขังได้พบกับ นายกมล
แพเขียว ชาวเมืองชัยนาท ซึ่งเป็นนักโทษชายเหมือนกัน จึงได้เข้าไปพูดคุยถามไถ่ว่าติดคุกข้อหาอะไร นายกมล บอกกับ
นักโทษชายสาคร ว่าติดคุกในข้อหาปล้นทรัพย์รถกระบะป้ายแดงแต่ว่าตนไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ
นักโทษชายสาคร จำได้ว่าตัวเองเป็นผู้ก่อเหตุปล้นรถกระบะ จึงเกิดความสงสารที่ทำให้นายกมลต้องเข้ามาติดคุกตั้งแต่
ปี 2555ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ จึงตัดสินใจเขียนจดหมายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดส่งไปที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้เข้า
มาช่วยเหลือนายกมล และตัวเองก็ยินดีที่จะรับโทษในคดีนี้ด้วย
เมื่อกระทรวงยุติธรรมได้รับหนังสือ ก็ไม่รอช้า ส่งนายชาติชาย โทสินธิติ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ เดินทางไปที่เรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี ไปพูดคุยกับนักโทษชายสาคร ขาวพันธุ์ ให้ทดลองว
าดแผนที่จุดเกิดเหตุที่คนร้าย 4 คน บุกเข้าไปในบ้านที่ 252 ต.ปลายนา อ.ศรีประจันทร์ จ.สุพรรณบุรี เพื่อปล้นทรัพย์สิน
และรถกระบะโตโยต้าป้ายแดง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549 ปรากฎว่านักโทษชายสาครกับพวก วาดแผนที่ได้เหมือนกับ
การก่อเหตุที่เกิดขึ้น
พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยกับทีมข่าวเที่ยงวันทันเหตุการณ์ว่า ภายหลังจากได้รับหนังสือ
จากนักโทษชายสาคร ขาวพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังชายอยู่ในเรือนจำกลางเขาบิน จึงได้ส่งทีมไปสอบปากคำนักโทษชายสาคร
ปรากฎว่านักโทษชายสาคร และ พวกสามารถวาดแผนที่จุดเกิดเหตุเมื่อปี 2549 ได้ตรงกับคดีการปล้นรถกระบะป้ายแดง
ทำให้เชื่อได้ว่านักโทษชายสาครเป็นคนร้ายตัวจริง ไม่ใช่ นายกมล แพเขียว โดยหลังจากนี้ได้ร่วมกับ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์
วงษ์ปิ่นผบช.ภ.7 เร่งสรุปสำนวนส่งศาล นำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยไม่ต้องรออะไรอีก ซึ่งตามขั้นตอนนั้นจะต้องร
อให้ศาลตัดสินอีกครั้งว่านายกมล แพเขียว ไม่ใช่คนร้าย ภายหลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการเยียวยาได้ โดยจะพยายาม
เร่งรัดคดีให้จบโดยเร็ว คาดว่าไม่เกินสิ้นปีนี้น่าจะแล้วเสร็จ โดยเบื้องต้นนายกมล แพเขียว จะต้องได้รับการเยียวยาตาม
กระบวนการยุติธรรมทางด้านจิตใจ และ เป็นทรัพย์สิน เพราะกระทบกับอาชีพการงานที่เคยทำ ซึ่งทราบว่านายกมล เป็น
ภารโรงอยู่ จะต้องชดใช้เป็นเงิน 5,000บาท นอกจากนี้ยังมีเงินรายวันอีกวันละ 300 บาท ตามจำนวนวันที่ต้องเข้าไปอยู่
ในเรือนจำ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเยียวยาเบื้องต้นเท่านั้น ต้องดูรายละเอียดเพื่อนำสู่การพิจารณาเยียวยาอย่างเต็มที่ที่สุด