สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
แสวงหาความสงัด พระ เรียกว่า ปลีกวิเวก โจร เรียกว่า กบดาน
เดินทางไปในที่ต่าง ๆ พระ เรียกว่า จาริกแสวงบุญ โจร เรียกว่า หนีหัวซุกหัวซุน
เดินเข้าป่าละทิ้งความวุ่นวาย พระ เรียกว่า ธุดงค์ โจร เรียกว่า หนีเข้าป่า
เดินทางไปในที่ต่าง ๆ พระ เรียกว่า จาริกแสวงบุญ โจร เรียกว่า หนีหัวซุกหัวซุน
เดินเข้าป่าละทิ้งความวุ่นวาย พระ เรียกว่า ธุดงค์ โจร เรียกว่า หนีเข้าป่า
ความคิดเห็นที่ 4
กล่าวถึงพระธรรมวินัยแบบไม่รู้เรื่อง คลุมเครือ เหมือนพระธรรมวินัยซับซ้อน เนื้อหาในกระทู้มันก้อแค่ การบิดเบือนพระธรรมวินัย เพื่อให้เข้าข้าง
ตนเอง ซึ่งแกงค์นั่นกระทำเป็น อาจิณกรรม อยู่แล้ว พระวินัย องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ชัดเจน ไม่ต้องตีความ
ยกเว้นพวกทุจริตชนมันจะบิดเบือนให้เข้าข้างตน กฎสมาคมนั่น โดยบริบทรวมก้อเพื่อรักษาพระธรรมวินัย มิใช่มาอ้างกฎสมาคมเพื่อมา
บิดเบือนพระธรรมวินัย นั่นว่าเรื่อง พระวินัย ส่วนพระธรรม ดุสิตมีเฟส สตีฟ จ็อป นิพพานเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าประชุมกันในนิพพาน ส่ง
หัวหน้าแกงค์มาปราบมาร เก่งกว่าพระพุทธเจ้าภาคโปรด อุปโลกตนเป็นภาคปราบ แม่ชีปัดนุ๊ก บุกชิงตัวผู้คนจากประตูนรก หากทำบุญกับแกงค์นั่น
ซื้อตัวดูดทรัพย์ แล้วรวย ซื้อฆ้อนไปตอกแล้วรวย ตรงไหนเป็นพุทธพจน์ จขกท รู้เรื่องไหม ใครที่มันรวย รวยจากการบิดเบือน ธรรม จาก
พระพุทธองค์มาขายจนมั่งคั่ง รวยจนจ้างพวกนักบิดไร้ยางอาย มาทำดำให้เป็นขาว ทำขาวให้เป็นดำ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
กล้าแม้กระทั่งดึงเป็นเรื่อง ต่างศาสนา
กฎหมาย อ้างกฎหมายเข้าข้างตัว ศาลยังไม่ตัดสิน ก้อมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมสิ หลบหนีทำไม ทำไมไม่ยอมรับกติกาสังคม ทำไมถึงอยู่เหนือ
กติกาของสังคม อย่ามาอ้างพระธรรมวินัย เพราะพฤติกรรมมันไร้ หิริ และโอตัปปะ อย่ามาอ้างกฎหมาย เพราะกระทำตนอยู่นอกเหนือกติกา
ของสังคม ไม่ยอมรับกติกาของสังคม นั่นคือกฎหมาย
พวกนอกกฎหมาย พวกพระนอกพระธรรมวินัย !!!!!!!!!!!
ตนเอง ซึ่งแกงค์นั่นกระทำเป็น อาจิณกรรม อยู่แล้ว พระวินัย องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ชัดเจน ไม่ต้องตีความ
ยกเว้นพวกทุจริตชนมันจะบิดเบือนให้เข้าข้างตน กฎสมาคมนั่น โดยบริบทรวมก้อเพื่อรักษาพระธรรมวินัย มิใช่มาอ้างกฎสมาคมเพื่อมา
บิดเบือนพระธรรมวินัย นั่นว่าเรื่อง พระวินัย ส่วนพระธรรม ดุสิตมีเฟส สตีฟ จ็อป นิพพานเป็นอัตตา พระพุทธเจ้าประชุมกันในนิพพาน ส่ง
หัวหน้าแกงค์มาปราบมาร เก่งกว่าพระพุทธเจ้าภาคโปรด อุปโลกตนเป็นภาคปราบ แม่ชีปัดนุ๊ก บุกชิงตัวผู้คนจากประตูนรก หากทำบุญกับแกงค์นั่น
ซื้อตัวดูดทรัพย์ แล้วรวย ซื้อฆ้อนไปตอกแล้วรวย ตรงไหนเป็นพุทธพจน์ จขกท รู้เรื่องไหม ใครที่มันรวย รวยจากการบิดเบือน ธรรม จาก
พระพุทธองค์มาขายจนมั่งคั่ง รวยจนจ้างพวกนักบิดไร้ยางอาย มาทำดำให้เป็นขาว ทำขาวให้เป็นดำ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
กล้าแม้กระทั่งดึงเป็นเรื่อง ต่างศาสนา
กฎหมาย อ้างกฎหมายเข้าข้างตัว ศาลยังไม่ตัดสิน ก้อมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมสิ หลบหนีทำไม ทำไมไม่ยอมรับกติกาสังคม ทำไมถึงอยู่เหนือ
กติกาของสังคม อย่ามาอ้างพระธรรมวินัย เพราะพฤติกรรมมันไร้ หิริ และโอตัปปะ อย่ามาอ้างกฎหมาย เพราะกระทำตนอยู่นอกเหนือกติกา
ของสังคม ไม่ยอมรับกติกาของสังคม นั่นคือกฎหมาย
พวกนอกกฎหมาย พวกพระนอกพระธรรมวินัย !!!!!!!!!!!
ความคิดเห็นที่ 8
ไม่รู้ อย่าชี้
ค่ะ ไม่ชี้ ไม่รู้ต้องถามใช่ไหมคะ
หลวงพ่อทำผิดอะไรคะ ถึงกลัวการให้ปากคำกับเจ้าพนักงาน ถึงขนาดต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน เอาหมอนเอาผ้าห่มมาปลอมตัวหลอกเจ้าหน้าที่
หลวงพ่อรู้เห็นเป็นใจให้ศิษย์เอกโกงเงินสหกรณ์มาบริจาคหรือไม่คะ
หลวงพ่อรู้เห็นเป็นใจกับการโอนถ่ายทรัพย์สิน(อันเป้นที่ตั้งอาคารบุญรักษา)จากศิษย์เอกที่โกงสหกรณ์มาเป็นชื่อบุตรสาวของศิษย์เอกผู้ชวนสาวกปิดบัญชีมาทำบุญหรือไม่คะ
ค่ะ ไม่ชี้ ไม่รู้ต้องถามใช่ไหมคะ
หลวงพ่อทำผิดอะไรคะ ถึงกลัวการให้ปากคำกับเจ้าพนักงาน ถึงขนาดต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน เอาหมอนเอาผ้าห่มมาปลอมตัวหลอกเจ้าหน้าที่
หลวงพ่อรู้เห็นเป็นใจให้ศิษย์เอกโกงเงินสหกรณ์มาบริจาคหรือไม่คะ
หลวงพ่อรู้เห็นเป็นใจกับการโอนถ่ายทรัพย์สิน(อันเป้นที่ตั้งอาคารบุญรักษา)จากศิษย์เอกที่โกงสหกรณ์มาเป็นชื่อบุตรสาวของศิษย์เอกผู้ชวนสาวกปิดบัญชีมาทำบุญหรือไม่คะ
ความคิดเห็นที่ 7
อาบัติ เป็นชื่อของโทษที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ครับ
พระที่ผิดอาบัติ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องให้ใครมาตัดสินว่า ท่านอาบัติ หรือ ไม่อาบัติ เพราะความผิดนั้นเป็นกรรม ตั้งแต่กรรมนั้นสำเร็จแล้ว
การที่มี พระ นำทรัพย์ของผู้อื่นไปใช้ในกิจที่ไม่ใช่กิจของพระ เป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง (ความจริงในศีลพระท่านก็ห้ามเรื่องพระรับเงิน พระใช้เงินอยู่แล้ว) แต่พระกลับมีธุรกิจ มีการหาประโยชน์ หากำไร จากทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน.....
ผมว่า ท่าน จขกท ไม่เข้าใจในเรื่องอาบัติพระเลย แต่ต้องการแสดงความเห็นเพื่อชักจูงความเห็นท่านอื่นนะ
อาบัติ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้สาวกรู้ว่า สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่สงฆ์ เป็นโทษ ไม่ควรทำ ไม่ควรปฏิบัติ
จะมีคนอื่นรู้หรือไม่ก็ตาม หากพระปฏิบัติย่อมผิด แต่หากมีพระที่บวชเข้ามาในศาสนาแล้ว ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษา ย่อมเป็นโทษแก่ตัวท่านเอง ดังนั้น การไม่รู้พระธรรมวินัยสำหรับสงฆ์แล้ว เป็นเรื่องที่อ้างไม่ได้ว่าไม่รู้
สำหรับกฎหมายบ้านเมือง เขาว่ากันตามหลักฐาน วินัยบ้างข้อเป็นความผิดของพระ แต่ตามกฎหมายก็ไม่ได้ผิด ดังนั้นอย่าเอามาผูกกัน
ทรัพย์เอามาเป็นของตน ถือว่า กรรมนั้นสำเร็จแล้ว การเอาทรัพย์มาคืน ไม่ใช่การแก้คืนหรือปลงอาบัติใดๆ ได้เลยนะ
อย่าเข้าใจพระธรรมวินัยผิดๆ
พระที่ผิดอาบัติ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องให้ใครมาตัดสินว่า ท่านอาบัติ หรือ ไม่อาบัติ เพราะความผิดนั้นเป็นกรรม ตั้งแต่กรรมนั้นสำเร็จแล้ว
การที่มี พระ นำทรัพย์ของผู้อื่นไปใช้ในกิจที่ไม่ใช่กิจของพระ เป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง (ความจริงในศีลพระท่านก็ห้ามเรื่องพระรับเงิน พระใช้เงินอยู่แล้ว) แต่พระกลับมีธุรกิจ มีการหาประโยชน์ หากำไร จากทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตน.....
ผมว่า ท่าน จขกท ไม่เข้าใจในเรื่องอาบัติพระเลย แต่ต้องการแสดงความเห็นเพื่อชักจูงความเห็นท่านอื่นนะ
อาบัติ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้สาวกรู้ว่า สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่สงฆ์ เป็นโทษ ไม่ควรทำ ไม่ควรปฏิบัติ
จะมีคนอื่นรู้หรือไม่ก็ตาม หากพระปฏิบัติย่อมผิด แต่หากมีพระที่บวชเข้ามาในศาสนาแล้ว ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษา ย่อมเป็นโทษแก่ตัวท่านเอง ดังนั้น การไม่รู้พระธรรมวินัยสำหรับสงฆ์แล้ว เป็นเรื่องที่อ้างไม่ได้ว่าไม่รู้
สำหรับกฎหมายบ้านเมือง เขาว่ากันตามหลักฐาน วินัยบ้างข้อเป็นความผิดของพระ แต่ตามกฎหมายก็ไม่ได้ผิด ดังนั้นอย่าเอามาผูกกัน
ทรัพย์เอามาเป็นของตน ถือว่า กรรมนั้นสำเร็จแล้ว การเอาทรัพย์มาคืน ไม่ใช่การแก้คืนหรือปลงอาบัติใดๆ ได้เลยนะ
อย่าเข้าใจพระธรรมวินัยผิดๆ
แสดงความคิดเห็น
ไม่รู้.. อย่าชี้
ว่าด้วยเรื่องวัดพระธรรมกายกับการตัดสินพระธรรมวินัย : ความแตกต่างระหว่าง “สภาพุทธบริษัท กับ มหาเถรสมาคม”
เป็นที่ทราบแล้วว่า การที่ดีเอสไอได้เสนอให้ สำนักพุทธฯ นำเรื่อง เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์ วัดพระธรรมกาย (ต่อไปขอใช้ จว.ธก.กิต.) ให้มหาเถรสมาคมตัดสินว่า เป็นอาบัติปาราชิก ในข้อกล่าวหาฟอกเงินและรับของโจร.. ในการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐.. ตามที่เป็นข่าว นั้น..
เรื่องที่ดีเอสไอเสนอ.. จะมีนัยยะซ่อนไว้ คือ ต้องการให้มีการตัดสินว่า จว.ธก.กิต. เป็นอาบัติปาราชิก ตามกล่าวหา.. เพื่อให้ท่านพ้นจากความเป็นพระ.. นัยว่า ได้รับคำแนะนำมาดีว่า.. เสนอให้ใช้กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๑ ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ..
คือ ต้องให้ จว.ธก.กิต. สึก ตาม “ธง” ที่วางไว้ให้ได้..!
จึงขอเรียนว่า มันไม่ใช่ง่ายอย่างที่ “เหล่ากุนซือ” ของหน่วยงานแนะนำ..!
เหตุเพราะศึกษามาไม่ดีพอ.. ทั้งกุนซือและหน่วยงาน.. เลยยื่นมั่วไปเลย.. ไม่ได้เป็นจดหมายผิดซอง แต่จ่าหน้าซองผิด..
จึงถือว่า เป็นผลกรรมเก่าของท่าน จว.ธก.กิต. ตามรอยอดีตหลวงพ่อพระพิมลธรรม.. ไปอีก ๑ รูป..
วัดพระธรรมกายก็เป็นวัดราษฎร์ วัดหนึ่ง เหมือนวัดอื่นๆ ในตำบลเดียวกัน..
เพื่อให้สะดวกต่อการพิจารณา ต้องขอเรียนว่า เรื่องถอดถอนสมณศักดิ์ทั้ง ๒ รูป มหาเถรสามาคมมีหน้าที่รับทราบ ตามที่สำนักพุทธฯ เสนอ.. เพราะรับสนองงานมานาน.. จึงทราบว่า เรื่องอะไรเสนอได้ มีมติได้.. เรื่องใดเสนอได้ แต่ไม่มีมติ และไม่บันทึกไว้ในรายงาน..
เมื่อถูกถอดถอนสมณศักดิ์ ประกอบกับวันที่เสนอเรื่องข้อกล่าวหา.. ทำให้ข้อกฎหมายที่ต้องใช้เปลี่ยนไป..
การที่จะเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อตัดสินว่า ท่านเป็นอาบัติปาราชิกหรือไม่ ? เกี่ยวข้องกับกฎมหาเถรสมาคม ๒ ฉบับ คือ
ฉบับที่ ๑๑ ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ต้องพิจารณาไปตามข้อกล่าวหาที่เป็นอธิกรณ์ของพระ ซึ่งมีถึง ๓ ศาล
ฉบับที่ ๒๑ ว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ
ประเด็นสำคัญ คือ
๑. ดีเอสไอต้องการ “จับตัว จว.ธก.กิต.” หรือ ต้องการ “สึก จว.ธก.กิต.” กันแน่.. เพราะที่ทำ มันเกินหน้าที่ของหน่วยงาน ที่จะต้องจับตัวท่านไปส่งศาล.. แล้ว
-ท่านใช้สิทธิ์ใดเสนอเพื่อให้สึก.. เพราะหลบหนีหมายเรียก /ค้น /จับ .. ทุกหมายที่ท่านแจ้งข้อหา.. มันมีโทษถึงต้องสึกเลยหรือ ? มันไม่น่าใช่อธิกรณ์ที่เป็นเหตุให้ต้องถึงกับสึกนะ..
-จะสึกท่านได้ ต้องจับตัวท่านได้ และไม่ให้ประกันตัว จึงจะสึกท่านได้.. แต่นี่ไม่ใช่ เพราะยังจับไม่ได้.. จะมายื่นให้สึกท่านไปทำไม.. มันใช่ภารกิจของดีเอสไอหรือ ? หรือเพียงของใครบางคน..?
-หากท่านสึกแล้ว จะจับตัวท่านได้ง่ายกว่าเป็นพระหรือ ? ตรงข้ามเลยครับ.. ยิ่งจะจับยากไปใหญ่ เพราะจะปลอมแปลงตัวได้ง่าย.. จึงบอกว่า มันไม่สมเหตุสมผล..
-แม้จะสึกท่านได้ ชาววัดพระธรรมกาย จะหมดความเชื่อถือ จว.ธก.กิต. หรือไม่ ? ตอบได้ว่า คงไม่ใช่..
-การจะถวายมาตรา ๑๕๗ แก่เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ในกรณีที่ไม่ทำตามคำสั่ง มหาเถรสมาคม นั้น.. แค่คุณคิดก็ผิดแล้ว เพราะมหาเถรสมาคมจะไม่สั่งเจ้าคณะต่างๆ ตามที่กล่าวถึง อย่างแน่นอน.. เพราะไม่ใช่หน้าที่ที่มหาเถรสมาคมจะต้องสั่ง.. ให้ไปขอดูจากรายงานการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งนั้นได้ว่า มีหรือไม่.. ผมอยู่ข้างนอกก็บอกได้ว่า “ไม่มีแน่”.. ถ้ามี ให้กระทืบด้วย..
-ตรงข้าม.. จนท. ดีเอสไอ อาจเข้าข่ายมาตรา ๑๕๗ เอง ด้วยซ้ำ.. เพราะคุณทำหน้าที่นอกเหนือจากภารกิจ.. การเสนอสึก จว.ธก.กิต. ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน.. ท่านมีหน้าที่จับตัวไปเข้ากระบวนการของกฎหมายอย่างเดียว.. และที่ประชุม มส. อยู่ที่พุทธมณฑล.. มาตรา ๔๔ จะคุ้มครองท่านหรือไม่..
-ประเด็นต่างๆ ที่เสนอมา มันไม่สอดคล้องกับที่ดีเอสไอเสนอให้สึก จว.ธก.กิต. ไม่ว่าจะโดยใช้กฎมหาเถรสมาคมฉบับไหนก็ตาม..
๒. กรณีการใช้กฎที่ ๑๑ ณ ขณะที่เสนอ หน่วยงานได้เสนอให้สำนักพุทธฯ เสนอมหาเถรสมาคมตัดสิน.. ขอเรียนว่า จว.ธก.กิต. เป็นพระลูกวัดธรรมดาแล้ว ดังนั้น ต้องเป็นหน้าที่ของ ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พิจารณา มีคณะผู้พิจารณา ๓ ศาล โดยมหาเถรสมาคมเป็นศาลฎีกา การจะให้มหาเถรสมาคมตัดสินเป็นการไม่ถูกต้องแน่นอน.. เพราะเอางานศาลชั้นต้นมาเสนอศาลฎีกาตัดสินเลย..
๓. กรณีการใช้กฎที่ ๒๑ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะกฎที่ ๒๑ ที่เสนอให้มหาเถรมาคมลงมติให้สละสมณเพศ (สึก) นั้น.. ความที่มือไม่ถึง จึงเสนอให้เป็นอาบัติปาราชิก.. และไม่ศึกษาว่า กฎ ๒๑ ใช้ในกรณีใด.. จึงทำให้หน่วยงานเสียรังวัด..และถือเป็นการ “ประหารชีวิตท่านก่อนตัดสินว่า.. ถูกหรือผิด”
ในชั้นนี้ เป็นการกล่าวหาเท่านั้น คุณจะมาใช้มหาเถรสมาคม เป็นเครื่องมือประหารท่านจากความเป็นพระ.. กิเลสที่คุณเสนอมามันอำมหิตเกินไป..หรือไม่.. คุณไม่รู้ประสีประสากับงานที่จะต้องทำกับพระธรรมวินัยของพระเลย.. แล้วดันรับงานมาทำ..
ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า หน่วยงานนี้มือไม่ถึง.. และทำงานไม่เป็น.. ในเรื่องพระ.. ท่านอาจถนัดในการสืบสวนสอบสวน (ไม่แน่ใจ).. แต่สอบตกในการปฏิบัติงานที่ต้องประสานหลายฝ่าย.. จนกลายเป็นที่วิจารณ์ว่า จะจับพระแก่เฒ่ารูปเดียว ต้องใช้กฎหมายพิเศษ.. และระดมพลจนหมดงบประมาณไปหลายสิบล้าน.. ตามที่เป็นข่าว..
ที่สำคัญ ตอนไปจับ ไปเพื่อจับคนเดียว.. แต่ขากลับ ได้ผู้ต้องหามาอีกเป็นร้อยราย.. เหมือนถือห่อข้าว เข้าป่าไปอย่างเดียว.. กับข้าว ไปหาเอาข้างหน้า.. แปลกดี..!
จะบอกให้เอาบุญก็ได้ว่า กฎฯ ๒๑ เป็นทางการ.. ใช้กับอดีตพระท่านหนึ่งเพียงคนเดียว.. และเป็นกรณีที่เข้าข่ายที่จะใช้ เช่น ล่วงละเมิดพระธรรวินัยเป็นอาจิณ คือ เป็นประจำ.. มีหลักฐานชัดเจน ในช่วงที่หาข้อมูลเสนอ มหาเถรสมาคมพิจารณา ขอย้ำว่า “ต้องมีหลักฐานชัดเจน” คือ ในสมัยนั้น จะมีสลิปบัตรเครดิต การใช้บริการสถานที่อโคจร (ที่ที่พระไม่ควรไป) เป็นต้น (ขออภัย.. ที่ต้องกล่าวถึง เพราะถ้าไม่กล่าว คนจะไม่เข้าใจ) และหลักฐานอื่นๆ ที่ประกอบ ที่ทำให้เชื่อมั่นว่า เขาผิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ มหาเถรสมาคม จึงลงมติให้สละสมณเพศ..
กรณีไม่เป็นทางการ ใช้บ่อย เช่น พระดื่มสุราเป็นประจำ อย่างนี้ เจ้าคณะตำบลที่เหตุเกิดก็สึกได้เลย..
ประเด็นสำคัญอีกประการในเรื่องนี้ คือ
๑. เรื่องถูกกล่าวหาว่า “รับของโจรและฟอกเงิน” เป็นเรื่องอธิกรณ์ (อาบัติ) หรือไม่.. หรือยัง ?
๒. ใครเป็นคนตัดสินว่าท่านผิดแล้ว.. พิสูจน์หรือยัง.. ?
คำตอบก็คือ.. ทั้งการรับของโจรและการฟอกเงิน เป็นข้อหาเท่านั้น.. การจะเป็นจริงหรือไม่ อยู่ที่ศาลตัดสิน ทั้ง ๓ ศาล ตามปกติ.. ไม่ใช่การตัดสินของดีเอสไอ.. เมื่อยังไม่มีการตัดสินว่าผิดหรือไม่ จากศาลทางโลก.. จึงต้องเป็นหลักสากลว่า “ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์” อยู่..
จึงไม่ควรนำเสนอมหาเถรสมาคมพิจารณา แต่ถ้าจะถวายรายงานเล่าให้ท่านฟังนั้นก็ได้.. แต่จะให้ตัดสินว่าถูกผิดอย่างไร มีกฎมหาเถรสมาคมกำกับไว้.. มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอก.. กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องมีลำดับการพิจารณา..
แล้วจะให้มหาเถรสมาคมตัดสินเพื่ออะไร..? เพื่อขุดหลุมให้มหาเถรสมาคมทำผิดเสียเอง.. หรือข้ออ้างต่างๆ ที่ประเคนมหาเถรสมาคม คือ ปกป้องพวกเดียวกัน.. ไม่มีน้ำยา.. ทำงานล่าช้า.. แล้วเป็นข้ออ้างในการยุบมหาเถรสมาคม.. สารพัดข้อกล่าวหาที่กล่าวมาในอดีต และจะเสนอตั้งสภาชาวพุทธขึ้นมาพิจารณาแทนหรือ ?
ประเด็น “สภาพุทธบริษัท” ความคิดของ “คนเปล่า” ทางพระพุทธศาสนา..
เป็นที่น่าเศร้าว่า “พระธรรมวินัย”.. พระท่านไม่เคยกล่าวอ้างเลยว่า พวกเราทำเพื่อรักษาพระธรรมวินัย.. แต่ถูกคนกลุ่มหนึ่งอ้างเป็น บทอาขยานประจำตัว ไว้เลยว่า “เพื่อรักษาพระธรรมวินัย ต้องกำจัดอลัชชีให้ได้”.. โดยไม่หันไปมองว่า พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้.. ที่ผ่านมา.. แสดงให้เห็นว่า รักษาพระธรรมวินัยกันไหม ? ใครที่เป็นคนหน้าด้านโหนพระธรรมวินัย (อลัชชี แปลว่า ไม่มีความละอาย /หน้าด้าน) เพื่อกำจัดคนอื่น.. กันแน่ !
ในความคิดของคนกลุ่มนี้ จึงมีความพยายามจะตั้ง “สภาพุทธบริษัท” ขึ้นมา.. เพื่อพิจารณาตัดสินคดีให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย.. ตามความต้องการของตนเองและคณะ.. และน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ในการเอา พรบ. คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ มาใช้..
สมาชิกสภาพุทธบริษัท ถ้าเดาเอา.. ในอัตราส่วนที่น่าจะพอๆ กัน .. ถ้าจะมีประมาณ ๕๐ คน.. ก็จะมีทั้งพระส่วนหนึ่ง ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา.. จึงจะครบพุทธบริษัท.. แนบเนียนไหมล่ะ ? ที่สอดแทรกภิกษุณี เข้าในสภานี้.. แบบเนียนๆ..
มันจะบ้ากันไปใหญ่.. (ถ้าไม่สุภาพก็ขอภัย) ที่จะให้คนธรรมดา มาตัดสินพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าแสดงและบัญญัติไว้.. แค่อะไรคือธรรม อะไรคือวินัย.. คุณสมาชิกสภาบางคนก็ไม่ทราบแล้วว่า ต่างกันอย่างไร..
ขอบอกไว้เลยว่า ถ้าจะตั้งได้ พวกคุณก็ใช้ตัดสินพวกคุณเองก็แล้วกัน.. อย่าเอามาบังคับใช้กับพระ.. เรื่องนี้ พระท่านคงขออยู่ ตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ได้.. ไม่ต้องเป็นภาระให้คุณต้องทำโดยไม่ได้เชิญหรอก..
ผู้ที่จะวินิจฉัยเรื่องพระธรรมวินัยได้ จะต้องเป็นพระที่จบ ป.ธ. ๖ ขึ้นไป.. ถ้าจะให้ชัวร์ต้องได้ ป.ธ. ๘ – ๙ ล้วนๆ .. เพราะจบ ป.ธ. ๖ -๗ ยังเพิ่งแตะเรื่องวินัยภาษาบาลีเบื้องต้น.. จึงจะวินิจฉัยตามหลักพระธรรมวินัยได้.. ส่วนผู้ที่ไม่ได้เรียน บอกได้คำเดียว.. เชิญป้ายหน้าเถอะพี่.. คุณนั่งฟังเขาพูดก็ไม่รู้เรื่องแล้ว.. และไม่ใช่เป็นการตัดสินพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าแสดงและบัญญัติไว้..
การตีความพระธรรมวินัยที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา คือ การตรวจสอบและวินิจฉัยว่า ข้อปฏิบัติในปัจจุบัน /หรือที่เป็นปัญหา.. ตรงหรือขัดแย้งกับพระธรรมวินัยข้อใด หรืออนุโลมตามพระธรรมวินัยข้อใดได้บ้าง.. ไม่ใช่พระธรรมวินัยผิดหรือไม่ผิด ?
จะรักษาพระธรรมวินัย.. แต่สายตาชำเลืองมอง.. จ้องที่ศาสนสมบัติ.. เขารู้ทันพวกคุณนะ..
เพราะพระที่เรียนทางโลกด้วย ย่อมเข้าใจและรู้ทันพวกคุณ.. คุณจึงต้องทำให้พระโง่.. เรียนเฉพาะพระธรรมวินัย หลับตาเทศน์.. มาประกอบพิธีกรรมอย่างเดียว..
ส่วนพวกคุณก็ยกตู้บริจาคของวัด.. คว้าย่ามพระไป..
อย่าไปคิดว่า คนอื่นเขาไม่รู้.. มันรู้ทันกันน่า..!
ที่มา: https://www.thairnews.com