ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าอย่าเพิ่งอ่านแค่หัวข้อกระทู้แล้วตัดสินผมนะครับ
เรื่องนี้มีที่มาที่ไป
2 เดือนก่อนหน้านี้ โรงแรมชื่อดังระดับโลกที่เปิดให้บริการในจังหวัดหนึ่งของภาคใต้
ประกาศรับสมัครพนักงานรายวันกว่า 20 ตำแหน่ง
ผมเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับเลือก
ตอนที่พี่ HR โทรมาบอกว่าเริ่มงานอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า ผมดีใจมากเพราะโรงแรมนี้แทบจะไม่ประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มเลย
ข่าวรับสมัครงานจะรู้เฉพาะพนักงานในโรงแรมเท่านั้น แล้วค่อยไปบอกต่อญาติพี่น้อง เพื่อน ฯลฯ
"เริ่มต้นเป็นพนักงานรายวันก่อนนะ ยังไม่ได้เป็นพนักงานประจำ เพราะเรายังประสบการณ์ไม่เยอะและพี่เองก็ต้องดูผลงานเราด้วย" HR บอกผมแบบนี้
แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพนักงานประจำ แต่การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมของโรงแรม 5 ดาวระดับโลกก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว
เริ่มงานอาทิตย์แรกก็ค่อยๆ เรียนรู้งานในตำแหน่ง Runner หรือพูดง่ายๆ ก็คือคอยช่วยส่งอาหารให้พนักงานเสิร์ฟที่บริการอยู่ที่บริเวณห้องอาหาร
ระบบงานและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ของงานที่ค่อนข้างละเอียดกว่าโรงแรมเดิมที่ผมเคยทำมา
ทำให้ผมรู้สึกว่า โรงแรมนี้ค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดและพิถีพิถันมาก ผมรู้สึกดีนะ เพราะก็เข้าใจได้ว่านี่เป็นมาตรฐานของเค้า
และเป็นการพัฒนาศักยภาพของตัวเราเองไปในตัวด้วย ทำให้ยิ่งได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อนร่วมงานหลายคนเป็นคนมากประสบการณ์ สอนงานดี พูดจาดี ค่อนข้างมีมารยาท
แต่อีกหลายคนก็ไม่ ok ซึ่งรวมไปถึงคนระดับสูงที่คอยดูแลแผนกที่ผมทำงานอยู่ด้วย
ผมไม่ได้อคติและตามืดบอดจนถึงขนาดที่ว่าดูคนไม่ออก อ่านคนไม่เป็น
เริ่มทำงานมาตั้งแต่สมัยเรียน ปี 1 ก็ทำให้ได้ผ่านคนมาเยอะพอสมควร เจอทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนใหญ่ไปในทางหลังซะมากกว่า
วันสุดท้ายของการทำงาน หัวหน้าแผนกและระดับสูงคนที่ผมกล่าวอ้างนี้ ให้คอมเมนท์กับผมผ่าน HR มาว่า
ทำงานได้ ทำงานเป็น ขยัน ภาษาอังกฤษแข็งแรงใช้ได้
แต่คุณไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยไป Hang Out กับเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่
สาเหตุที่ผมไม่ค่อยคุยกับเพื่อนร่วมงานในหลายๆ ครั้งหลายๆ โอกาสที่เค้าได้คุยกันก็เป็นเพราะว่า
พนักงานประจำหลายคนจะคอยเรียกใช้แต่พนักงานรายวัน ให้ช่วยทุกสิ่งอย่าง ทำให้พวกเค้ามีเวลาว่างไปจับกลุ่มนินทากันเองและนินทาลูกค้า
เรื่องนี้ผมไม่ได้ใส่ร้ายและกล่าวหาพวกเขา เพราะหลายครั้งผมได้ยินเองกับหูเวลามีเหตุให้ต้องเดินผ่านพวกเค้าในขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่
จะมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ที่ชอบจับกลุ่นนินทาเพื่อนร่วมงานกันเองและนินทาลูกค้าบ่อยมาก ซึ่งผมรับไม่ได้ทั้ง 2 อย่าง
เพราะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย และเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมงานด้วย
ต่อหน้าเราพูดจาดี มีมารยาท แต่ลับหลังเอาไปนินทาเสียหาย เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเรื่องการนินทาเนี่ย มันไม่เป็นความลับอยู่แล้ว ยังไงเรื่องมันก็ต้องมาเข้าหูเราสักวันแน่ๆ
ผมเคยได้ยินคำด่าคำนึงซึ่งแรงมาก และผมไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของพนักงานโรงแรมชื่อดังระดับโลก ซึ่งคำนั้นคือคำว่า ปลวก
ผมได้ยินเต็ม 2 รูหูว่ามีพี่คนนึงแอบด่าแขกที่มาพักว่า "บ้านนี้เนี่ย ปลวก" และอีกคนนึงที่อยู่ใกล้ๆ ก็เออออห่อหมกตามพี่คนนี้ไปด้วยว่า "ใช่ๆ ปลวกมาก"
WTF
บ่อยครั้งเข้ายิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเพิ่งเป็นแค่พนักงานรายวันและเป็นพนักงานใหม่ ขืนไปมีปากมีเสียง คนที่เสียจะเป็นเราเสียเอง
เลิกงานในแต่ละวัน ก็จะชอบชวนออกไปดื่มกันหลังเลิกงาน ซึ่งบ่อยจนถึงขนาดที่ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เงินเดือนเยอะกันขนาดไหน
ออกไปกันได้ทุกวี่วัน ผมเป็นพนักงานรายวันรายรับรายจ่ายก็แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว ถ้ายังจะให้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ พี่ๆ เค้าอยู่บ่อยๆ แบบนี้
คนที่จะเดือดร้อนก็คือตัวผมเอง ถามว่าอยากไปรึเปล่า มันก็มีบ้างเป็นบางที อยากเข้าสังคม อยากสนิทกับเพื่อนร่วมงานให้มากขึ้นบ้างไรบ้าง
แต่ทำไม่ได้ และพอเริ่มไม่ได้ไปด้วยบ่อยๆ จนกลายเป็นไม่ได้ไปด้วยเลย เพราะเค้าไม่ชวนเรา และเราเองก็ไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากไปนะ
ซึ่งจึงเป็น 2 สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ระดับสูงพิจารณาไม่ต่อสัญญา
โดยความเข้าใจของผมเป็นแบบนี้คือ
1. เวลาเพื่อนร่วมงานนินทาชาวบ้าน นินทาลูกค้า คุณไม่เคยไปร่วมวงกับพวกเค้า
ถูกประเมินว่าเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้
2. เวลาเค้าไปดื่มกัน คุณไม่ไปกับเค้า
ถูกประเมินว่าไม่เข้าสังคม ไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งถามว่าเสียใจรึเปล่า ตอบเลยว่า มาก
เคยวาดภาพไว้ในหัวตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปทำงานที่นี่ว่า โรงแรมระดับโลก พนักงานก็ต้องดีมีมาตรฐานระดับโลกแน่ๆ ด้วยเช่นกัน
สงสัยผมคงจะฝันกลางวันมากไปหน่อย
และผมเองก็เป็นคนที่ทำงานด้วยความสามารถที่มี ไม่เคยทำงานด้วยลิ้น
ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ระดับสูงไม่ชอบผมในเรื่องนี้
เพราะผมเองไม่คิดว่าโรงแรมมาตรฐานสูงจะมีคนแบบนี้ทำงานอยู่ ซึ่งเป็นระดับสูงซะด้วย
ผมเองได้ยินมาตลอดว่าที่นี่เค้าไม่ชอบคนทำงาน เค้าชอบคนเลีย
มันขัดแย้งอยู่ในใจมาตลอด และผมพยายามคิดในแง่ดีที่สุดเท่าที่จะมากได้ว่า ไม่น่า มันไม่มีเรื่องแบบนี้ที่นี่หรอก ที่นี่ดังจะตาย เค้าไม่ทำให้เสียชื่อตัวเองหรอก แต่สุดท้ายแล้วความคิดนี้ก็กลับมาทำให้ผมหน้าแตกแบบสุดๆ ในวันสุดท้ายของการทำงานที่ถูกประเมินด้วยเหตุผลข้างต้น
สิ่งที่เราพยายามมองให้เป็นบวกอยู่ตลอด กลับไม่ใช่เรื่องจริง
เรื่องลบๆ ที่เพื่อนร่วมงานหลายๆ คนพูดให้ได้ยินอยู่เกือบทุกวันกลับเป็นเรื่องจริง
หัวหน้าชอบคนเลียนะ พวกกินแรงชาวบ้าน เอาเปรียบคนอื่นเนี่ย หัวหน้าไม่เคยสนไม่เคยตำหนิหรือว่าอะไรเลย
มีแต่พวกทำงานงกๆ เนี่ยแหละ ที่โดนต่อว่าบ่อยที่สุด และมันก็จริงอย่างที่สุด เพราะผมเจอมากับตัวเอง
หลายสิ่งหลายเหตุการณ์ในชีวิตเรา ถ้าเราไม่ประสบกับตัวเอง เราจะไม่มีทางเข้าใจอย่างเด็ดขาดว่าทำไมเค้าถึงพูดแบบนี้นะ ทำไมถึงทำอย่างนั้น
ทำไมไม่มีเหตุผลเลย ทำไม ทำไม ทำไม
ผมเรียนสายวิทย์มาและผมจะติดนิสัยอยู่อย่างหนึ่งตรงเรื่อง ถ้าไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์
ซึ่งผมไม่เชื่อ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เชื่อว่าเรื่องที่เราได้ยินมามันเป็นเรื่องจริง เค้าคงพูดเพราะอารมณ์ไม่ดี พยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อน
แต่พอได้มาประสบพบเจอกับตัวเองแล้วก็ถึงกับช็อคและพูดไม่ออกไปอยู่หลายวันเลยทีเดียว
ไม่เป็นไร คิดซะว่าเป็นประสบการณ์อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาหาเราในช่วงชีวิตหนึ่ง และทำให้เราได้เติบโตขึ้นอีกนึดนึง
ใครมีเรื่องคล้ายๆ กันก็เล่าให้ฟังได้นะ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
ถูกยกเลิกสัญญาจ้างเพียงเพราะเหตุผลที่ว่า "เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้"
เรื่องนี้มีที่มาที่ไป
2 เดือนก่อนหน้านี้ โรงแรมชื่อดังระดับโลกที่เปิดให้บริการในจังหวัดหนึ่งของภาคใต้
ประกาศรับสมัครพนักงานรายวันกว่า 20 ตำแหน่ง
ผมเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับเลือก
ตอนที่พี่ HR โทรมาบอกว่าเริ่มงานอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า ผมดีใจมากเพราะโรงแรมนี้แทบจะไม่ประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มเลย
ข่าวรับสมัครงานจะรู้เฉพาะพนักงานในโรงแรมเท่านั้น แล้วค่อยไปบอกต่อญาติพี่น้อง เพื่อน ฯลฯ
"เริ่มต้นเป็นพนักงานรายวันก่อนนะ ยังไม่ได้เป็นพนักงานประจำ เพราะเรายังประสบการณ์ไม่เยอะและพี่เองก็ต้องดูผลงานเราด้วย" HR บอกผมแบบนี้
แต่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพนักงานประจำ แต่การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมของโรงแรม 5 ดาวระดับโลกก็รู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว
เริ่มงานอาทิตย์แรกก็ค่อยๆ เรียนรู้งานในตำแหน่ง Runner หรือพูดง่ายๆ ก็คือคอยช่วยส่งอาหารให้พนักงานเสิร์ฟที่บริการอยู่ที่บริเวณห้องอาหาร
ระบบงานและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ของงานที่ค่อนข้างละเอียดกว่าโรงแรมเดิมที่ผมเคยทำมา
ทำให้ผมรู้สึกว่า โรงแรมนี้ค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดและพิถีพิถันมาก ผมรู้สึกดีนะ เพราะก็เข้าใจได้ว่านี่เป็นมาตรฐานของเค้า
และเป็นการพัฒนาศักยภาพของตัวเราเองไปในตัวด้วย ทำให้ยิ่งได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อนร่วมงานหลายคนเป็นคนมากประสบการณ์ สอนงานดี พูดจาดี ค่อนข้างมีมารยาท
แต่อีกหลายคนก็ไม่ ok ซึ่งรวมไปถึงคนระดับสูงที่คอยดูแลแผนกที่ผมทำงานอยู่ด้วย
ผมไม่ได้อคติและตามืดบอดจนถึงขนาดที่ว่าดูคนไม่ออก อ่านคนไม่เป็น
เริ่มทำงานมาตั้งแต่สมัยเรียน ปี 1 ก็ทำให้ได้ผ่านคนมาเยอะพอสมควร เจอทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนใหญ่ไปในทางหลังซะมากกว่า
วันสุดท้ายของการทำงาน หัวหน้าแผนกและระดับสูงคนที่ผมกล่าวอ้างนี้ ให้คอมเมนท์กับผมผ่าน HR มาว่า
ทำงานได้ ทำงานเป็น ขยัน ภาษาอังกฤษแข็งแรงใช้ได้
แต่คุณไม่ค่อยคุย ไม่ค่อยไป Hang Out กับเพื่อนร่วมงานเท่าไหร่
สาเหตุที่ผมไม่ค่อยคุยกับเพื่อนร่วมงานในหลายๆ ครั้งหลายๆ โอกาสที่เค้าได้คุยกันก็เป็นเพราะว่า
พนักงานประจำหลายคนจะคอยเรียกใช้แต่พนักงานรายวัน ให้ช่วยทุกสิ่งอย่าง ทำให้พวกเค้ามีเวลาว่างไปจับกลุ่มนินทากันเองและนินทาลูกค้า
เรื่องนี้ผมไม่ได้ใส่ร้ายและกล่าวหาพวกเขา เพราะหลายครั้งผมได้ยินเองกับหูเวลามีเหตุให้ต้องเดินผ่านพวกเค้าในขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่
จะมีอยู่ 3 กลุ่มหลักๆ ที่ชอบจับกลุ่นนินทาเพื่อนร่วมงานกันเองและนินทาลูกค้าบ่อยมาก ซึ่งผมรับไม่ได้ทั้ง 2 อย่าง
เพราะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย และเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมงานด้วย
ต่อหน้าเราพูดจาดี มีมารยาท แต่ลับหลังเอาไปนินทาเสียหาย เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเรื่องการนินทาเนี่ย มันไม่เป็นความลับอยู่แล้ว ยังไงเรื่องมันก็ต้องมาเข้าหูเราสักวันแน่ๆ
ผมเคยได้ยินคำด่าคำนึงซึ่งแรงมาก และผมไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของพนักงานโรงแรมชื่อดังระดับโลก ซึ่งคำนั้นคือคำว่า ปลวก
ผมได้ยินเต็ม 2 รูหูว่ามีพี่คนนึงแอบด่าแขกที่มาพักว่า "บ้านนี้เนี่ย ปลวก" และอีกคนนึงที่อยู่ใกล้ๆ ก็เออออห่อหมกตามพี่คนนี้ไปด้วยว่า "ใช่ๆ ปลวกมาก"
WTF
บ่อยครั้งเข้ายิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่พูดอะไรมากไม่ได้ เพราะเพิ่งเป็นแค่พนักงานรายวันและเป็นพนักงานใหม่ ขืนไปมีปากมีเสียง คนที่เสียจะเป็นเราเสียเอง
เลิกงานในแต่ละวัน ก็จะชอบชวนออกไปดื่มกันหลังเลิกงาน ซึ่งบ่อยจนถึงขนาดที่ผมเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เงินเดือนเยอะกันขนาดไหน
ออกไปกันได้ทุกวี่วัน ผมเป็นพนักงานรายวันรายรับรายจ่ายก็แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว ถ้ายังจะให้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ พี่ๆ เค้าอยู่บ่อยๆ แบบนี้
คนที่จะเดือดร้อนก็คือตัวผมเอง ถามว่าอยากไปรึเปล่า มันก็มีบ้างเป็นบางที อยากเข้าสังคม อยากสนิทกับเพื่อนร่วมงานให้มากขึ้นบ้างไรบ้าง
แต่ทำไม่ได้ และพอเริ่มไม่ได้ไปด้วยบ่อยๆ จนกลายเป็นไม่ได้ไปด้วยเลย เพราะเค้าไม่ชวนเรา และเราเองก็ไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากไปนะ
ซึ่งจึงเป็น 2 สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ระดับสูงพิจารณาไม่ต่อสัญญา
โดยความเข้าใจของผมเป็นแบบนี้คือ
1. เวลาเพื่อนร่วมงานนินทาชาวบ้าน นินทาลูกค้า คุณไม่เคยไปร่วมวงกับพวกเค้า
ถูกประเมินว่าเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้
2. เวลาเค้าไปดื่มกัน คุณไม่ไปกับเค้า
ถูกประเมินว่าไม่เข้าสังคม ไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งถามว่าเสียใจรึเปล่า ตอบเลยว่า มาก
เคยวาดภาพไว้ในหัวตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปทำงานที่นี่ว่า โรงแรมระดับโลก พนักงานก็ต้องดีมีมาตรฐานระดับโลกแน่ๆ ด้วยเช่นกัน
สงสัยผมคงจะฝันกลางวันมากไปหน่อย
และผมเองก็เป็นคนที่ทำงานด้วยความสามารถที่มี ไม่เคยทำงานด้วยลิ้น
ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ระดับสูงไม่ชอบผมในเรื่องนี้
เพราะผมเองไม่คิดว่าโรงแรมมาตรฐานสูงจะมีคนแบบนี้ทำงานอยู่ ซึ่งเป็นระดับสูงซะด้วย
ผมเองได้ยินมาตลอดว่าที่นี่เค้าไม่ชอบคนทำงาน เค้าชอบคนเลีย
มันขัดแย้งอยู่ในใจมาตลอด และผมพยายามคิดในแง่ดีที่สุดเท่าที่จะมากได้ว่า ไม่น่า มันไม่มีเรื่องแบบนี้ที่นี่หรอก ที่นี่ดังจะตาย เค้าไม่ทำให้เสียชื่อตัวเองหรอก แต่สุดท้ายแล้วความคิดนี้ก็กลับมาทำให้ผมหน้าแตกแบบสุดๆ ในวันสุดท้ายของการทำงานที่ถูกประเมินด้วยเหตุผลข้างต้น
สิ่งที่เราพยายามมองให้เป็นบวกอยู่ตลอด กลับไม่ใช่เรื่องจริง
เรื่องลบๆ ที่เพื่อนร่วมงานหลายๆ คนพูดให้ได้ยินอยู่เกือบทุกวันกลับเป็นเรื่องจริง
หัวหน้าชอบคนเลียนะ พวกกินแรงชาวบ้าน เอาเปรียบคนอื่นเนี่ย หัวหน้าไม่เคยสนไม่เคยตำหนิหรือว่าอะไรเลย
มีแต่พวกทำงานงกๆ เนี่ยแหละ ที่โดนต่อว่าบ่อยที่สุด และมันก็จริงอย่างที่สุด เพราะผมเจอมากับตัวเอง
หลายสิ่งหลายเหตุการณ์ในชีวิตเรา ถ้าเราไม่ประสบกับตัวเอง เราจะไม่มีทางเข้าใจอย่างเด็ดขาดว่าทำไมเค้าถึงพูดแบบนี้นะ ทำไมถึงทำอย่างนั้น
ทำไมไม่มีเหตุผลเลย ทำไม ทำไม ทำไม
ผมเรียนสายวิทย์มาและผมจะติดนิสัยอยู่อย่างหนึ่งตรงเรื่อง ถ้าไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์
ซึ่งผมไม่เชื่อ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่เชื่อว่าเรื่องที่เราได้ยินมามันเป็นเรื่องจริง เค้าคงพูดเพราะอารมณ์ไม่ดี พยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อน
แต่พอได้มาประสบพบเจอกับตัวเองแล้วก็ถึงกับช็อคและพูดไม่ออกไปอยู่หลายวันเลยทีเดียว
ไม่เป็นไร คิดซะว่าเป็นประสบการณ์อีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาหาเราในช่วงชีวิตหนึ่ง และทำให้เราได้เติบโตขึ้นอีกนึดนึง
ใครมีเรื่องคล้ายๆ กันก็เล่าให้ฟังได้นะ มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน