เอียจี้ (๑) ๑๓ มี.ค.๖๐

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

ชุดที่ ๔ เอียจี้.....ขุนนางตกอับ

ตอนที่ ๑ บุญมีแต่กรรมมาก

"เล่าเซี่ยงชุน"

บรรดาพี่น้องขบวนโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น ต่างคนก็มีประวัติความเป็นมา อย่างพิศดารด้วยกันทั้งสิ้น คนหนึ่งคือ เอียจี้ เดิมเป็นขุนนางฝ่ายทหารมาสามชั่วคน ตั้งแต่ชั้นปู่จนถึง บิดา

เอียจี้มีตำแหน่งเป็นที่เตียนฮูจีไซ อยู่ในตังเกียเมืองหลวง พระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้คุมขบวนเรือ ไปบรรทุกศิลาลายจากทะเลสาบ เอามาปูพื้นพระราชวัง บังเอิญเรือเดินทางมาถึง แม่น้ำอึงหอ เกิดลมพายุกล้าพัดเอาเรือขนศิลาเต็มลำ จมหายไปสิ้น ตนเองรอดชีวิตมาได้ แต่ไม่กล้ากลับมาเฝ้าฮ่องเต้ เพราะกลัวอาญาแผ่นดิน จึงหลบหนีไปทำมาค้าขายเลี้ยงชีพไปตามหัวเมืองต่าง ๆ

ครั้นอยู่มานานได้ยินข่าวว่ามีรับสั่งโปรดให้ยกโทษคดีนี้แล้ว จึงรวบรวมทรัพย์สินเงินทองเดินทางกลับเมืองหลวง โดยว่าจ้างชาวบ้านหาบทรัพย์สมบัติ เดินทางผ่านมาใกล้ตำบลเนียซัวเปาะ เจอนายโจรคนหนึ่ง คอยดักแย่งชิงเอาหาบข้าวของไป เอียจี้เดินตามมาข้างหลัง จึงสู้รบกันถึงแปดสิบเพลง ต่างคนก็มีฝีมือเข้มแข็งว่องไวด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครยอมเพลี่ยงพล้ำแก่กัน

ขณะนั้นก็มีนายโจรอีกสามคน ลงจากเขาเข้ามาห้ามไว้ และชมเชยว่าทั้งสองมีฝีมือเข้มแข็งนัก และถามไถ่ชื่อแซ่ เอียจี้ก็เล่าประวัติของตนให้ฟัง นายโจรใหญ่แนะนำว่า นายโจรที่สู้รบกันนั้นชื่อ ลิมชอง เดิมเป็นครูทหารอยู่เมืองหลวง แต่ถูกนายกลั่นแกล้ง ต้องโทษทัณฑ์หลายครั้งหลายหน ทนไม่ได้จึงมาสมัครอยู่กับกลุ่มโจรเขาเนียซัวเปาะ

สำหรับตนเองชื่อเฮงหลุน เดิมเคยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน จึงได้ยินชื่อเสียงของเอียจี้อยู่บ้าง วันนี้ได้มาพบกันก็ดีแล้ว ขอเชิญไปพักที่สำนักก่อนจะได้สนทนากัน

เอียจี้ว่าถ้ารู้จักจำได้แล้ว ก็ขอทรัพย์สินคืนเถิดจะได้เดินทางต่อไป เฮงหลุนก็อ้อนวอนขอให้ไปเสพสุราคุยกันก่อนแล้วค่อยไป

เอียจี้ขัดไม่ได้จึงลงเรือไปกับนายโจรทั้งสี่ เมื่อถึงสำนักบนเขาเนียซัวเปาะแล้ว ก็จัดโต๊ะอาหารมาเลี้ยงเป็นอันดี และพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมให้เอียจี้อยู่เป็นโจรด้วยกัน เพื่อจะได้คู่กับลิมชองซึ่งมีฝีมือทัดเทียมกัน และทิ้งท้ายว่า

".....ซึ่งท่านจะเข้าไปเมืองหลวง เอาที่ตำแหน่งเดิมนั้น มิใช่เราห้ามปรามไม่ให้เข้าไปทำราชการเมื่อไร แต่ กอไทอวยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร โปรดปรานมาก ได้ว่ากล่าวราชการ ทั้งสิ้น แจ้งว่าท่านมีฝีมือเข้มแข็ง ก็คงจะไม่ชุบเลี้ยงท่าน เราเห็นว่ามาอยู่ด้วยกันที่นี่สามพี่สี่น้องมิดีกว่าหรือ หาได้เงินทองทรัพย์สิ่งของมามากน้อยเท่าไรก็แบ่งปันให้เท่า ๆ กัน…."

เอียจี้บอกว่า

".....เราขอบใจท่านหนักหนา แต่มีธุระอยู่อย่างหนึ่งจะต้องลาท่านไป เดิมเราต้องโทษมีผู้อุปถัมภ์เราไว้ จะต้องไปตอบแทนคุณสักครั้งหนึ่งจึงจะกลับมา ท่านจงเอาทรัพย์สิ่งของมาให้เราเถิดจะได้ลาไป ถ้าท่านไม่ให้ก็จะลาไปแต่ตัวเปล่า..."

เฮงหลุนก็ขอร้องให้ค้างอยู่สักหนึ่งคืน เอียจี้ก็ยอม พอรุ่งเช้าก็ขอลาออกเดินทางต่อไป โดยจ้างชาวบ้านหาบสิ่งของเดินทางไปอีกหลายวัน จึงมาถึงตังเกียเมืองหลวง เที่ยวหาโรงเตี๊ยมพักอาศัย และเมื่อจ่ายเงินค่าจ้างให้คนหาบหามเรียบร้อยแล้ว ก็พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั้นอีกเจ็ดแปดวัน ระหว่างนั้นก็ติดต่อราชการที่ทำอยู่เดิม ต้องใช้สอยเงินทองเป็นค่าน้ำร้อนน้ำชาแก่เจ้าหน้าที่ จนหมดตัว

แต่ไม่สำเร็จเพราะกอไทอวยพิจารณาเรื่องราวแล้ว บอกว่าตามที่มีโทษนั้น ไปพร้อมกันถึงสิบนายคนอื่นเขากลับมาได้เรียบร้อย มีแต่เอียจี้คนเดียวที่ทำเรือล่มเสียหายมีโทษผิด จึงหนีราชการไป บัดนี้มีรับสั่งโปรดให้ยกโทษก็ดีหนักหนาแล้ว เรื่องที่จะกลับมารับราชการอีกนั้นไม่ได้ กอไทอวยจึงระงับเรื่องเสีย แล้วให้เจ้าหน้าที่ไล่เอียจี้ออกจากที่ว่าการไป

เอียจี้หมดปัญญาที่จะโต้เถียง ได้แต่รำพึงว่า

".....เทือกเถาของเราได้ว่าราชการเป็นนายทหารมาสามชั่วแล้ว ชื่อเสียงก็ปรากฎในแผ่นดิน ครั้นเราจะเข้าเป็นพวกพ้องเฮงหลุนนายโจรที่เนียซัวเปาะนั้น คนทั้งหลายก็จะชวนกันนินทาปู่และบิดาเรามิเสียชื่อเสียหรือ จึงมิได้เข้าอยู่เป็นพวกพ้องโจร หมายจะเข้ามาทำราชการ นานไปข้างหน้า ชื่อเสียงจะได้ปรากฎมีความสุขสืบไป ไม่แจ้งว่ากอไทอวยเป็นขุนนางกังฉิน มาแกล้งเราไม่ให้ทำราชการ เงินทองก็เสียหายไปมากสิ้นตัวไม่มีจะซื้อกิน...."

เอียจี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมต่อไปอีกสี่ห้าวัน หมดท่าเข้าก็เอากระบี่วิเศษของเก่า แต่ครั้งปู่ออกมาประกาศขาย เอียจี้เดินเร่ขายกระบี่ตามตลาดแต่ไม่มีผู้ใดสนใจ จึงเดินเลยไปจนถึงสะพาน เทียนฮันจิวเกีย เตร่ไปมาสักพักก็เห็นผู้คนพากันวิ่งเข้าตรอก ปากก็ร้องบอกกันว่าเสือมาแล้ว จงพากันหนีเสียโดยเร็วเถิด

เอียจี้คิดว่าเสือจริง ๆ ไม่น่าจะมาไล่กินคนในเมืองหลวงก็สงสัยจึงยืนดูอยู่ เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ท่าทางเมาสุราเดินเข้ามาใกล้ เอียจี้จำได้ว่าชายคนนั้นชื่อ จูยี่ เป็นอันธพาลเที่ยวข่มเหงชาวบ้านอยู่เนือง ๆ ไม่เกรงกลัวผู้ใด

เมื่อเดินมาถึงตัวเอียจี้ ก็ดึงเอากระบี่ไปจากมือ แล้วถามว่าจะขายเท่าไร

เอียจี้บอกว่าคิดราคาสามพันตำลึง จูยี่ว่าอะไรจะเอามากเท่านั้น ไปซื้อตามตลาดเล่มละสามอีแปะเท่านั้น เอียจี้ก็ว่ากระบี่ตามตลาดหาเหมือนกันไม่ กระบี่ของเราเล่มนี้เป็นของดีวิเศษไม่มีของผู้ใดเหมือน จูยี่ถามว่าอย่างไรที่เรียกว่ากระบี่วิเศษ

เอียจี้แจงสรรพคุณว่า

"....กระบี่เราเล่มนี้วิเศษดีสามอย่าง อย่างหนึ่งตัดเหล็กและทองแดงขาดไม่ยู่ไม่บิ่น อย่างหนึ่งเอาผมมาวางไว้ที่คมกระบี่เป่าทีเดียวผมนั้นก็ขาด อย่างหนึ่งฆ่าฟันคนโลหิตไม่ติด กระบี่ จึงเรียกว่าของวิเศษ....."

จูยี่ให้ทดลองดู โดยเอาอีแปะทองแดงขนาดใหญ่และหนา วางลงบนสะพาน เอียจี้ก็เอากระบี่ฟันขาดหมดทั้งสิบอัน คนที่มุงดูอยู่ก็สรรเสริญว่ากระบี่เล่มนี้คมดีจริง จูยี่ลองต่อไปอีก โดยเอาเส้นผมวางบนคมกระบี่ เอียจี้เป่าไปเส้นผมก็ขาดทุกครั้ง จูยี่ก็ให้ทดลองอย่างที่สาม

เอียจี้ว่า

".....จะให้ฆ่าคนนั้นไม่ได้ ท่านไม่เชื่อก็ไปจับสุนัขมาเถิดจะฟันให้ดู....."

จูยี่บอกว่าสัญญาฆ่าคนไม่ได้สัญญาฆ่าสุนัข เอียจี้ว่าเมื่อไม่เชื่อแล้วมายุ่งด้วยทำไม จูยี่ว่าเราไม่มีเงินแต่จะเอากระบี่เล่มนี้ให้ได้ แล้วก็เข้าไปยื้อแย่งเอาด้วยกำลัง เอียจี้ยึดไว้ไม่ยอมปล่อย ยื้อยุดกันอยู่นานจูยี่เมาสุราล้มลง แล้วก็ลุกขึ้นมาทุบตีเอียจี้จะชิงเอากระบี่ให้ได้

เอียจี้ร้องบอกคนที่มุงดูก็ไม่มีใครช่วยว่ากล่าวห้ามปราม จนเอียจี้ทนไม่ไหวกจึงถีบเอาจูยี่ล้มลงไป แต่กลับลุกขึ้นมาท้าให้ฆ่าเสียเถิด ถ้าไม่ตายจะแย่งเอากระบี่ให้ได้ เอียจี้เกิดโทสะจึงถีบซ้ำอีกครั้ง จนจูยี่ล้มลง แล้วก็ฟันด้วยกระบี่ตายคาที่ตามคำท้านั้น

เอียจี้ก็พาชาวบ้านไปที่ศาล แจ้งเรื่องราวที่เกิดวิวาทกับจูยี่ โดยอ้างชาวบ้านเป็นพยานว่าได้ถูกข่มเหงรังแกก่อน ศาลก็ปราณีว่ามีพยานรู้เห็น และไม่ได้หลบหนีเข้ามารับโทษเอง จึงสั่งให้เฆี่ยนยี่สิบทีและสักหน้าไว้กับให้เนรเทศไปอยู่เมืองปักเกีย ส่วนกระบี่วิเศษนั้น ให้ริบเอาไว้เป็นของหลวง เอียจี้ได้รับโทษแล้วก็ถูกควบคุมตัว ใส่ขื่อคาพาไปส่งที่คุกตำบลใต้เมงฮู้เมืองปักเกีย

ก่อนที่จะเดินทางไป ชาวบ้านร้านตลาดสงสารว่าถูกข่มเหงก่อน และได้ฆ่าอันธพาลตัวร้ายตายไปเสีย ชาวบ้านก็จะได้อยู่เป็นสุขจึงเที่ยวเรี่ยรายเงินทอง เอามาให้เป็นทุนไปซื้อกินตามทาง และแบ่งให้ผู้คุมทั้งสองพอสมควร กับฝากฝังให้ช่วยดูแลอย่าให้อดอยากลำบากเลย ผู้คุมก็รับคำเป็นอันดี แล้วก็พากันเดินทางไป.

เอียจี้กับผู้คุมเดินทางมาหลายวัน พอถึงเมืองปักเกียก็นำหนังสือส่งตัวเอียจี้ไปให้ เนียสิเกียดเจ้าเมือง เนียสิเกียดก็ซักถามประวัติ เพราะรู้ว่าเดิมเคยเป็นขุนนางอยู่ เอียจี้ก็เล่าความหลังตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายให้ฟังโดยละเอียด

เนียสิเกียดสงสารเห็นใจ จึงถอดออกจากเครื่องจองจำ แล้วรับเอาไว้ใช้งานที่บ้านเสียเอง

เอียจี้อยู่รับใช้เนียสิเกียดด้วยความขยันหมั่นเพียร แต่เนียสิเกียดก็ไม่ได้แต่งตั้งให้มีตำแหน่งอย่างใด เพราะกลัวจะถูกนินทา จึงเรียกเอียจี้มาบอกว่าจะให้ทดลองฝีมือกับพวกทหาร ถ้ามีฝีมือเข้มแข็งดีจริงก็จะตั้งให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ขึ้นบ้าง เอียจี้ก็ว่า

".....ตัวข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กจนใหญ่ ไม่ได้ทำสิ่งใดฝึกหัดแต่เพลงอาวุธอย่างเดียว เท่านั้น และท่านมีความเมตตาจะชุบเลี้ยงข้าพเจ้า ขอทดลองฝีมือให้ท่านดูสักครั้ง...."

เช้าวันรุ่งขึ้นเนียสิเกียดก็ลงไปในสนามฝึก ให้เอียจี้แต่งตัวสวมเกราะถืออาวุธเตรียมทดลองฝีมือ ต่อหน้าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยของเมืองปักเกีย แล้วเนียสิเกียดก็ให้ จิวกิ้น นายทหารขี่ม้าออกมารำเพลงอาวุธเป็นตัวอย่าง คนทั้งปวงที่ดูอยู่ก็พากันชมว่าจิวกิ้นมีฝีมือคล่องแคล่วว่องไวดี

เนียสิเกียดก็ให้เอียจี้ซ้อมเพลงอาวุธกับจิวกิ้น เป็นคนแรก เอียจี้ก็ถือทวนขึ้นม้าออกมากลางสนาม บุนตัด นายทหารใหญ่คนหนึ่งก็บอกว่า ให้ผู้ที่เข้าทดลองฝีมือนุ่งกางเกงดำเสื้อดำ แล้วเอาผ้าชุบน้ำปูนขาว มาหุ้มห่อปลายทวนทั้งสอง ผู้ใดมีฝีมือเข้มแข็งมากแทงถูกมาก คู่ต่อสู้มีสีขาวเปื้อนมาก ก็ถือว่าเป็นผู้ชนะ เนียสิเกียดเห็นชอบด้วย

ทั้งสองขับม้าเข้าต่อสู้กันได้ประมาณห้าสิบเพลง เอียจี้แทงถูกจิวกิ้นเป็นรอยปูนขาวไปทั้งตัว เนียสิเกียดก็ตัดสินให้จิวกิ้นแพ้ และถอดออกจากตำแหน่งเดิม จะให้เอียจี้เป็นแทน ลีเสง พวกของจิวกิ้นก็เข้าไปคำนับแล้วค้านว่า วันนี้จิวกิ้นป่วยเพลงทวนจึงไม่ว่องไว ขอให้ทดลองยิงเกาทัณฑ์ดูอีกสักครั้ง

เนียสิเกียดก็สั่งให้ทั้งสองถือเกาทัณฑ์ยิงกัน เอียจี้ก็ท้วงว่า

".....ซึ่งท่านให้ทดลองฝีมือยิงเกาทัณฑ์นั้น ถ้าจิวกิ้นยิงข้าพเจ้าตายก็ไม่เป็นไร ถ้าข้าพเจ้ายิงถูกจิวกิ้นตาย ท่านจะโปรดประการใด....."

เนียสิเกียดว่าการทดลองฝีมือจะถือกันไม่ได้ ผู้ใดคล่องแคล่วว่องไวก็รอดไป หลบไม่ทันถูกยิงก็ตายไปก็แล้วกัน ลีเสงเข้าไปคำนับอีกบอกว่าผู้ที่จะทดลองฝีมือนี้เป็นคนของเราทั้งคู่ ขอให้ถือโล่ไว้สำหรับป้องกันลูกเกาทัณฑ์ จะได้ไม่เป็นอันตราย เนียสิเกียดก็ตกลงให้ถือโล่คนละอัน และให้ยิงคนละสามลูก

เอียจี้ก็ขับม้าออกหน้าให้จิวกิ้นตามยิงก่อน จิวกิ้นยิงไปสองครั้งเอียจี้เอาโล่ปัดลูกเกาทัณฑ์ได้ พอถึงลูกที่สามเอียจี้ไม่เอาโล่ปัด แต่เอามือคว้าลูกเกาทัณฑ์ไว้ได้ จึงเข้าไปคำนับ เนียสิเกียดโดยไม่เป็นอันตราย

ต่อมาจิวกิ้นขับม้าออกหน้าให้เอียจี้ไล่ยิงบ้าง เอียจี้ก็ขับม้าตามเหนี่ยวสายเกาทัณฑ์ยิงโดยไม่ใส่ลูกถึงสองครั้ง จิวกิ้นไม่เห็นลูกเกาทัณฑ์ก็นึกว่าเอียจี้ยิงเกาทัณฑ์ไม่เป็น จึงคิดประมาท

แต่เอียจี้คิดว่าจิวกิ้นกับตนนั้น ไม่มีสาเหตุอันใดจะต้องยิงให้ตาย ครั้งที่สามจึงใส่ลูกเกาทัณฑ์ยิงถูกขาจิวกิ้นตกลงจากหลังม้า ทหารก็พาตัวไปรักษาพยาบาล

เนียสิเกียดจึงแต่งตั้งเอียจี้เป็นนายทหารในตำแหน่งของจิวกิ้น ก็มีนายทหารที่เป็นครูของจิวกิ้นชื่อ เซกเทียว ขออาสาทดลองฝีมือกับเอียจี้อีกครั้ง ถ้าแพ้ก็ขอให้แต่งตั้งเอียจี้แทนในตำแหน่งของตนได้ ลีเสงก็สนับสนุน

เนียสิเกียดเป็นห่วงเอียจี้ จึงเรียกตัวมาสอบถามว่าเซกเทียวขอทดลองฝีมือ จะว่าอย่างไร เอียจี้ก็ว่าอย่าได้วิตกหาเป็นไรไม่ จะขอทดลองให้ดู เนียสิเกียดชอบใจจึงอนุญาตให้ใช้ม้าประจำตัว ออกไปทดลองฝีมือแทนม้าตัวเก่าซึ่งเหนื่อยแล้ว ลีเสงก็นำม้าของตนมาให้เซกเทียวแล้วบอกว่าท่านเป็นครูของจิวกิ้น จะทดลองฝีมือกับเอียจี้ต้องตั้งใจให้ดี อย่าประมาทพลาดพลั้งให้ เอียจี้ดูถูกฝีมือพวกเราได้

พอเสียงกลองสัญญาณดังขึ้น ทั้งสองก็เข้าสู้รบกันโดยใช้อาวุธจริง เอียจี้ถือทวน เซกเทียวถือขวาน สู้กันอยู่หลายสิบเพลงก็ไม่สามารถเอาชนะแก่กันได้ ต่างคนก็มีฝีมือคล่องแคล่วว่องไวด้วยกันทั้งคู่ คนทั้งปวงก็สรรเสริญว่าสองนายนี้มีฝีมือเข้มแข็งพอกัน ผู้อื่นนั้นเปรียบไม่ได้ ตั้งแต่ทำราชการมาก็ยังไม่เคยเห็นฝีมือเหมือนคนคู่นี้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่