ขุนนางตกอับ (๒) ๒๙ ก.ค.๕๘

ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ

เอียจี้.....ขุนนางตกอับ

ตอนที่ ๒ ยังไม่พ้นเคราะห์

"เล่าเซี่ยงชุน"

เอียจี้ ได้รับราชการอยู่กับ เนียสิเกียด เจ้าเมืองปักเกียมาเป็นเวลานาน พอใกล้จะถึงวันสารทจีนเนียสิเกียดก็ปรึกษากับ นางชัวฮูหยิน ภรรยาว่า อีกไม่ช้าก็จะถึงเดือนหกขึ้นสิบค่ำ กำหนดการจัดงานแซยิดของ ชัวเกีย บิดาของนางชัวฮูหยิน ซึ่งรับราชการอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง จะได้จัดเงินทองของดีมีราคาไปช่วยงานของบิดา แต่เมื่อปีก่อนระหว่างเดินทางไป ก็ถูกพวกโจรแย่งชิงทรัพย์ สินไปครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้ยังจับตัวไม่ได้ คราวนี้ต้องหาคนดีที่มีฝีมือและสติปัญญาใจสัตย์ซื่อมั่นคง เป็นผู้คุมขบวนไป

นางชัวฮูหยินก็แนะให้ใช้เอียจี้ เนียสิเกียดก็เห็นด้วยจึงเรียกเอียจี้เข้ามาพบ แล้วสั่งให้เป็นผู้คุมขบวนเกวียนบรรทุกข้าวของ ไปช่วยงานแซยิดของพ่อตา ที่เมืองหลวง และบอกว่า

"...เราจะให้ไปเบิกเกวียนที่ ไตเม่งฮู้ สิบเล่มกับทหารจะได้กำกับเกวียนไปด้วย ของนั้นบรรทุกเกวียนละหีบ เอาธงเหลืองเขียนหนังสือยี่ห้อปักหีบว่า ของอันนี้จะไปช่วยชัวเกียไทซือทำการแซยิด ณ เมืองหลวง จะให้เจ้าคุมไปสองสามวันนี้.."

เอียจี้รีบปฏิเสธโดยชี้แจงว่า

"...มิใช่ข้าพเจ้าจะบิดเบือนนั้นหามิได้ ด้วยได้ข่าวว่าครั้งก่อน ท่านจัดทรัพย์สิ่งของไปคราวหนึ่ง โจรแย่งชิงเอาไป พวกโจรนั้นจับตัวก็ยังไม่ได้ บัดนี้ผู้ร้ายชุกชุมมากขึ้น ซึ่งจะไปตังเกียเมืองหลวงนั้น ทางน้ำก็ไปไม่ได้ต้องเดินบก.....ตำบลทางเหล่านี้มีพวกโจรผู้ร้ายตั้งซ่องสุมอยู่นั้น แต่ไปตัวเปล่าก็ยังไม่อาจเดิน นี่เงินทองสิ่งของของท่านก็มาก ถ้าไปถึงกลางทางมีโจรผู้ร้ายแย่งชิงเอาไปได้ ชีวิตของข้าพเจ้า และคนทั้งหลายซึ่งไปด้วยนั้นก็คงจะเป็นอันตราย ข้าพเจ้าเห็นการดังนี้ จึงไม่อาจรับอาสาท่านไป....."

เนียสิเกียดว่าถ้ากระนั้นก็จัดเอาคนมีฝีมือไปให้มาก เอียจี้ว่าคนเหล่านี้ไปสักหมื่นก็ใช้ไม่ได้ เพราะพอเห็นโจรก็พากันวิ่งหนีไปสิ้น พวกโจรจะได้ขนของเล่นตามสบาย เนียสิเกียดถามว่าแล้วจะทำอย่างไร เอียจี้ก็ออกความคิดให้เอาเข่งมาสิบหาบ เอาของมีค่าซ่อนไว้ใต้ของปลอมจัดให้ทหารสิบคนหามเดินไป เหมือนกับพ่อค้าขายของธรรมดา และมีผู้กำกับไปอีกคนเดียวก็พอ

เนียสิเกียดก็จัดการตามที่เอียจี้แนะนำ และเขียนหนังสือไปถึงพ่อตาฉบับหนึ่ง กับให้เอาสิ่งของของภรรยาไปฝากมารดา อีกหาบหนึ่ง พร้อมด้วยคนใช้สามคน เอียจี้ก็กลัวว่าคนใช้ของนางชัวฮูหยินจะไม่เชื่อฟังตน เนียสิเกียดก็สั่งกำชับคนใช้ให้อยู่ใน บังคับบัญชาของเอียจี้โดยเด็ดขาด

พอถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนห้าได้ฤกษ์ดี เอียจี้ก็คุมขบวนสิ่งของทั้งสิบเอ็ดหาบ ลูกหาบสิบเอ็ดคน และขุนนางคนสนิทของนางชัวฮูหยินอีกสามคน เดินทางออกจากเมืองปักเกียไปทันที

เมื่อเดินทางไปได้เจ็ดแปดวันหนทางเปลี่ยวกันดาร เอียจี้มีความวิตกกังวล ก็เร่งให้พวกลูกหาบเดินให้เร็วขึ้น แต่ขณะนั้นเป็นฤดูร้อน พวกลูกหาบก็อ่อนล้าเดินไม่ค่อยไหว จะขอเข้าพักใต้ร่มไม้ เอียจี้ก็ไม่ยอมเร่งให้เดินไปตลอด แม้คนของชัวฮูหยินจะขอร้องก็ไม่ยอมฟัง ใครเดินชักช้าเอียจี้ ก็เฆี่ยนตีเอา

จนผ่านไปได้สักสิบห้าวัน ถึงตำบลอึงนีกังพ้นหนทางเปลี่ยว ขบวนก็แวะระหว่างทางในตอนเที่ยง พวกลูกหาบทั้งหลายก็เข้าใต้ร่มไม้วางหาบแล้วก็ลงนอนแผ่โดย ที่ยังไม่ได้สั่งให้พัก เอียจี้ไม่ไว้ใจก็เฆี่ยนตีจะให้เดินต่อไป แต่พวกลูกหาบบอกว่าทนเดินต่อไปไม่ไหวแน่ จะฆ่าก็ฆ่าเสียเถิด เล่าโตวก๊วน คนของนางชัวฮูหยินก็ขอร้องอีกว่าพวกนี้เหน็ดเหนื่อยมาก ขณะนี้กำลังเที่ยงแดดร้อนนักขอให้หยุดพักพอแดดอ่อนลงจึงค่อยไปเถิด
เอียจี้ไม่รู้จะทำประการใดจึงนั่งลงบ้าง

พักอยู่สักครู่หนึ่งเอียจี้เห็นมีคนแอบหลังต้นไม้อยู่ในป่า จึงคว้ากระบี่เดินไปดู เห็นมีเกวียนจอดอยู่เล่มหนึ่ง มีคนนอนอยู่ใต้ต้นไม้เจ็ดคน จึงร้องตวาดว่าพวกนี้เป็นคนดีหรือคนร้าย

พวกที่นอนอยู่ก็ตกใจ ลุกพรวดพราดขึ้นคว้าอาวุธ แล้วร้องว่า

"....เราเจ็ดคนพี่น้องเป็นชาวเมืองฮอจิว บรรทุกของจะไปขายเมืองหลวง ครั้นเดินมาถึงนี่แดดร้อนจึงพากันเข้าอาศัยร่มไม้ เราได้ยินข่าวว่าโจรผู้ร้ายที่ตำบลนี้ชุกชุมจึงไม่วางใจ เห็นพวกท่านมาไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนร้าย....."

เอียจี้จึงคลายใจว่าเป็นพ่อค้าเหมือนกัน คิดว่าพวกท่านเป็นคนร้ายจึงได้เดินมาดู พวกชาวเกวียนก็บอกว่าเราไม่ใช่โจร เชิญมากินพุทราแก้คอแห้งด้วยกันเถิดของมีถมไป เอียจี้ก็ขอตัวกลับไปหาพรรคพวก เล่าโตวก๊วนถามว่าพวกนี้เป็นใคร เอียจี้ว่าเดินไปดูแล้วเป็นพวกค้าขายไม่ใช่โจร เล่าโตวก๊วนเยาะว่าไปถึงตำบลไหนก็ว่ามีแต่โจรผู้ร้าย นี่ทำไมไม่ใช่ผู้ร้ายเล่า

เอียจี้ก็จนปัญญาไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี จึงเอากระบี่ปักดินไว้ แล้วก็ลงนั่งพักผ่อนเอนหลัง ผึ่งหนังตาบ้าง

ขณะที่ขบวนหาบหามของ เอียจี้ และขบวนเกวียนของพี่น้องชาวฮอจิว ทั้งเจ็ดคน กำลังนอนพักผ่อนหลบแดดเที่ยง อยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ ใกล้ ๆ กันนั้นเองก็มีคนหาบถังสุราเดินร้องเพลงมา เป็นใจความว่า

".....แดดร้อนเหมือนไฟ เผาข้าวในนาตายสิ้น คนที่ทำก็ร้อน บุตรเจ้าและบุตรขุนนางทั้งหลาย นั่งอยู่ในบ้านลมพัดเย็นสบายใจ....."

แล้วก็วางหาบลงใต้ต้นไม้

พวกทหารลูกหาบของเอียจี้ ก็พากันเข้าไปล้อมถามว่า ขายสุราถังละเท่าไร คนหาบบอกว่าถังละห้าพันอีแปะ พวกลูกหาบก็เรี่ยรายเงินกันจะซื้อสุรา เอียจี้ก็ร้องตวาดว่า

"....เจ้าพวกนี้กล้าหาญหนักหนา จะทำสิ่งใดไม่บอกกล่าวเราเลย...."

แล้วก็เอา ไม้ฟาดเข้าให้คนละทีสองที พวกนั้นเถียงว่าไม่ใช่กงการของท่านพวกข้าพเจ้ามีเงินซื้อกินต้องเฆี่ยนด้วยหรือ เอียจี้ก็ว่า

"....พวกเจ้าไม่รู้จักธรรมเนียมการเดินทาง ถึงคนมีฝีมือเข้มแข็งยังถูกยาพิษกินเข้าไปตายเสียหนักหนา..."

พวกลูกหาบก็โกรธแต่กลัวฝีมือเอียจี้ จึงไม่กล้าซื้อ เจ้าของหาบก็ว่าไม่ได้มางอนง้อให้ซื้อ อย่าวิวาททุ่มเถียงกันเลย

พวกชาวเกวียนเจ็ดคนได้ยินเสียงอื้ออึง จึงพากันเดินมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นหาบสุรา ก็ขอซื้อกิน เจ้าของหาบไม่อยากจะขายให้ พวกนั้นก็อ้อนวอนว่า

"...ท่านขายให้สักหน่อยเถิด มิใช่พวกเราว่าสุราท่านใส่ยาพิษ พวกโน้นเขาว่าต่างหาก ซึ่งท่านหาบไปก็จะขายเหมือนกัน ใช่ว่าเรากินของท่านจะไม่ให้เงินเมื่อไร....."

คนขายสุราขัดไม่ได้จึงยอมขายให้หนึ่งถัง แต่ไม่มีสิ่งใดจะตักสุรา ต้องวิ่งไปเอาทะนานที่เกวียนมาได้สองใบ ใบหนึ่งใช้ตักสุราแจกกันกินจนหมดถัง

เมื่อคิดเงินให้ตามราคาแล้วก็ขอแถมอีกหนึ่งทะนาน แต่ตักแล้วเจ้าของไม่ยอมให้เข้ายื้อแย่งจนทะนานนั้นตกลงดิน อีกคนหนึ่งจึงเอาทะนานอีกใบหนึ่งจ้วงตักสุราแล้วเดินกลับไปที่เกวียน เจ้าของหาบก็วิ่งไปชิงเอามา เทคืนใส่ถังแล้วก็ทิ้งทะนานเสีย พวกเกวียนจึงพากันกลับไป

ฝ่ายพวกลูกหาบของเอียจี้ เห็นพวกขบวนเกวียนกินสุราหมดไปถังหนึ่งก็ ขอร้องเอียจี้ว่า

".....พวกเรานี้คอแห้งเหนื่อยมา อยากจะซื้อสุรากิน ด้วยพวกโน้นเขากินสิ้นถังหนึ่งแล้วไม่เห็นเป็นอันตรายสิ่งใด ท่านได้เมตตาให้ไปซื้อกินเถิด..."

เอียจี้ก็เลยต้องอนุญาต พวกลูกหาบก็เอาเงินมาซื้อสุรากิน คนขายแกล้งว่าสุรานี้ใส่ยาอย่าซื้อเลย พวกลูกหาบก็ต้องอ้อนวอนจนยอมขายให้ แต่ไม่มีทะนานจะตักสุรา จึงต้องเดินไปขอยืมทะนานจากขบวนเกวียน และก็ได้แถมพุดทรามากินแกล้มสุราด้วย

ทั้งหมดสิบเอ็ดคนซื้อสุรามาแบ่งกันกิน และเอามาฝากคนของชัวฮูหยินกับเอียจี้ด้วย ทั้งสามกินสุราไปคนละทะนาน แต่เอียจี้ขัดไม่ได้ก็กินไปเพียงครึ่งทะนาน เมื่อกินสุราหมดถังแล้ว พวกลูกหาบก็ว่า พวกคนเกวียนทำสุราหกไปครึ่งทะนาน ขอลดราคาลงบ้างเอาแค่สี่พันห้าร้อยอีแปะเถิด เจ้าของสุราก็ยินยอม แล้วก็หาบถังสุราเปล่าเดินต่อไป

ทางฝ่ายเอียจี้พักอยู่สักครู่ฤทธิ์สุรากำเริบ ก็พากันมึนเมาล้มลงนอนกลิ้งอยู่กลางดินหมดทั้งสิ้น เพราะพิษยาเบื่อที่ผสมอยู่ในถังใบที่สอง พวกคนเกวียนทั้งเจ็ดนายก็ลากเอาเกวียนออกมาขนเพ็ชรพลอยของดีมีค่าในหาบขึ้นเกวียน ต่อหน้าต่อตาของเอียจี้ ซึ่งยังไม่หมดสติแต่มืออ่อนตีนอ่อนนอนทำตาปริบ ๆ โงหัวไม่ขึ้น

พวกโจรก็ขับเกวียนลงไปจากเนิน แถมหันมาบอกว่าขอบใจท่านเหล่านี้หนักหนา เอาของมาให้เราเป็นอันมาก จะขอลาไปก่อนแล้ว

อีกพักใหญ่ ๆ เอียจี้ซึ่งกินสุราน้อยกว่าคนอื่น ก็ค่อยลุกขึ้นได้แต่ไม่รู้ว่าพวกโจรหายไปทางไหน กลัวความผิดไม่กล้าจะกลับไปหาเนียสิเกียด จะโดดภูเขาตายก็เสียดายชีวิต ว่าแต่เล็กจนโตก็ได้ฝึกหัดเพลงอาวุธต่าง ๆ มีฝีมือเข้มแข็งจะมาตายเสียนั้นไม่ควร ครั้นแลไปดูพรรคพวกอีกสิบสี่คน ก็ยังนอนไม่กระดิกกระเดี้ยอยู่ จึงพูดไปตามลมตามแล้งว่า

"..เพราะเจ้าเหล่านี้เราห้ามไม่ฟัง จึงเกิดเหตุขึ้นมาตกหนักอยู่กับเรา.."

ว่าแล้วก็ถอนใจใหญ่ ฉวยกระบี่ที่ปักดิน ออกเดินตัวเปล่าลงจากเนินเขาไปทางทิศใต้

##########

นิตยสารโล่เงิน
มิถุนายน ๒๕๔๐
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่