ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
เอียจี้.....ขุนนางตกอับ
ตอนที่ ๓ ทำดีกลับเป็นชั่ว
"เล่าเซี่ยงชุน"
ฝ่ายเล่าโตวก๊วนกับผู้คุมขบวน และพวกลูกหาบทั้งสิบเอ็ดคนที่ถูกวางยาเบื่อนั้น ครั้นตกดึกประมาณสองยามเศษน้ำค้างลงเย็นใจ ค่อยคลายหายเมาลุกขึ้นไม่เห็นเอียจี้ เล่าโตว ก๊วนจึงบอกพวกลูกหาบว่า เจ้าเหล่านี้ไม่เชื่อเอียจี้ห้าม จึงได้เกิดความขึ้น จะพาเรามาตายเสียด้วยดอก
พวกลูกหาบก็ว่า การเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรได้ เล่าโตวก๊วนปรึกษากับลิ่วล้อทั้งหลาย หาทางที่จะให้พวกตนทั้งหมดพ้นความผิด แล้วก็พากันไปแจ้งความแก่ขุนนางนายอำเภอตำบลนั้นว่า เอียจี้ซึ่งเป็นหัวหน้าคุมขบวนเกวียน เดินทางมาพักที่ตำบลนี้ แล้วเอียจี้ก็ไปบอกพวกโจรให้เอายาเบื่อมาวางพวกตน จนเมาหลับไปแล้วก็เก็บทรัพย์สินสิ่งของมีค่าใส่เกวียนหนีไป
นายอำเภอก็จดคำให้การไว้เป็นหลักฐาน เล่าโตวก๊วนจึงให้ขุนนางรองสองคนอยู่กับนายอำเภอ เพื่อสืบหาพวกโจร ส่วนตนเองกับลูกหาบทั้งหมด รีบเดินทางกลับไปเมืองปักเกีย แจ้งเรื่องราวให้เนียสิเกียดทราบ ทุกประการ
เนียสิเกียดได้ฟังก็ตกใจคิดโกรธยิ่งนัก ด่าเอียจี้ว่าเมื่อต้องโทษเนรเทศมา ตนได้ชุบเลี้ยงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ หามีความกตัญญูไม่ ถ้าแม้นจับตัวมาได้จะเชือดเนื้อให้สุนัขกินเสียให้หนำใจ แล้วจึงเขียนหนังสือไปถึงเจ้าเมืองเจ๋จิวฮู้ ให้สืบจับตัวโจรผู้ร้ายกับสิ่งของเหล่านั้นคืนมาให้ได้
และทำหนังสืออีกฉบับหนึ่งถึงชัวเกียบิดาภรรยา แจ้งเรื่องราวให้ทราบทุกประการ ชัวเกียทราบความแล้วจึงสั่งให้เจ้าพนักงานมีตราให้ขุนนางคนสนิท เป็นข้าหลวงถือไปจับโจรผู้ร้ายที่แขวงเมืองเจ๋จิวฮู้อีกแรงหนึ่งด้วย
ส่วนเอียจี้เดินทางไปตลอดคืน ได้ประมาณยี่สิบลี้เศษก็ถึงเวลารุ่งสว่าง เห็นมีโรงเตี๊ยมขายของอยู่ข้างทาง ก็แวะเข้าไปสั่งสุราอาหารมากิน เมื่ออิ่มแล้วก็บอกหญิงเจ้าของโรงว่า คราวนี้ลืมเอาเงินมาคราวหน้าจึงค่อยเอาเถิด แล้วก็เดินออกจากโรงไป
หญิงเจ้าของโรงเรียกลูกจ้างมาช่วยจับ เอียจี้ก็ผลักล้มระเนระนาดไป หญิงนั้นก็เรียกสามีมาช่วย สามีคว้ากระบองเข้ามาตี เอียจี้สู้รบอยู่ได้ถึงยี่สิบเพลง ชายเจ้าของโรงเตี๊ยมเห็นเอียจี้มีฝีมือเข้มแข็ง ก็ขอหยุดพักรบถามชื่อแซ่ เอียจี้ก็บอกชื่อให้
เจ้าของโรงเตี๊ยมก็รู้จักว่าเป็นขุนนางฝ่ายทหารอยู่ที่เมืองหลวง จึงวางกระบองลง คำนับ และแนะนำตนเองว่าชื่อ เชาเจง เป็นศิษย์ของครูทหารชื่อ ลิมชอง เดิมอยู่กับปู่และบิดาเป็นคนฆ่าหมูขายในเมืองหลวง ต่อมากู้เงินเศรษฐีมาขายของที่เมืองตังซัวก็ขาดทุน ไม่สามารถจะกลับไปได้จึงตั้งโรงเตี๊ยมอยู่ที่นี่
เอียจี้จึงเล่าเรื่องของลิมชอง เมื่อคราวเจอกันที่เขาเนียซัวเปาะ เชาเจงก็ขอเชิญให้พักอยู่ให้สบาย และจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงอีก
เอียจี้เล่าความเดิมของตนให้เชาเจงฟังทุกประการ จนสุดท้ายที่ไม่สามารถกลับไปหาเนียสิเกียดได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะเงินทองข้าวของสิ่งใดไม่มีติดตัวเลย เชาเจงจึงบอกให้อยู่ด้วยกัน แต่เอียจี้เกรงว่าถ้ามีนายอำเภอมาจับตัว จะพาให้เชาเจงพลอยลำบากไปด้วย
เชาเจงก็ถามว่าถ้าอย่างนั้นจะไปพักที่ไหนเล่า เอียจี้บอกว่า
"...เราคิดจะไปหาลิมชองที่เขาเนียซัวเปาะ เดิมเราเดินทางไปนั้นได้รบกับลิมชองครูท่านเป็นหนักหนา เฮงหลุนมาห้ามไว้จึงได้รู้จักกัน เฮงหลุนก็ชักชวนให้เราอยู่ด้วย เราคิดว่าจะทำราชการให้ชื่อเสียงปรากฎ จึงไม่อยู่เป็นพวกพ้องเฮงหลุนก็บัดนี้เกิดความขึ้นแล้ว จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้จำจะต้องไปอยู่กับเฮงหลุนที่เขาเนียซัวเปาะ....."
เชาเจงจึงบอกว่า
"...ซึ่งท่านคิดนั้นก็ดีดอก แต่ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือว่าเฮงหลุนนายใหญ่เป็นคนใจริษยา เมื่อลิมชองครูของข้าพเจ้าจะเข้าไปอยู่ด้วย เฮงหลุนไม่ยอมมีใจอิจฉา พวกพ้องพี่น้องว่ากล่าวอยู่หลายวันจึงได้ยอม เฮงหลุนนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ ที่เมืองเซงจิวนั้นทางก็ไม่ไกลนัก มีภูเขาอยู่แห่งหนึ่งชื่อเขายีเลงซัว บนเขานั้นมีวัดหนึ่งเรียกว่าโปจู๊ หนทางที่จะขึ้นไปมีอยู่แห่งเดียว ทางอื่นก็ไปไม่ได้ มีหลวงจีนอยู่ที่วัดประมาณสี่ห้าร้อย แต่หลวงจีนเหล่านั้นไว้ผมยาวเที่ยวตีปล้นอยู่เนือง ๆ หลวงจีนองค์ที่เป็นนายใหญ่ชื่อ เตงเหลง....ถ้าแม้นว่าท่านยอมเป็นคนอย่างพวกนั้นแล้ว ก็ไปเข้าอยู่วัดนี้ดีกว่า....."
เอียจี้เห็นด้วย จึงนอนค้างอยู่ที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเวลาเช้าก็ลาออกเดินทางต่อไป พอเวลาจวนเย็นก็ถึงเขายีเลงซัว แต่เข้าวัดไม่ได้ไม่มีใครเปิดรับจึงเดินไปหาที่พัก พบหลวงจีนองค์หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ พอเดินเข้าไปใกล้ก็รีบลุกขึ้นจับง้าวเข้าฟาดฟันทันที
เอียจี้เอากระบี่รับไว้ แล้วสู้รบกันได้ถึงห้าสิบเพลง ต่างก็เฉือนกันไม่ลง หลวงจีนจึงถอยห่างออกไป แล้วถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียม
เอียจี้ก็บอกชื่อแซ่ตามจริงและเล่าเรื่องเก่าให้ฟัง หลวงจีนนั้นถามว่า เอียจี้ที่เอากระบี่ไปขายแล้วฆ่าจูยี่ตายใช่หรือไม่ เอียจี้รับว่าใช่แล้วถามว่าทำไมจึงรู้
หลวงจีนก็แนะนำตัวว่าเดิมชื่อ ลูตัด มีคดีติดตัวจากเมืองอุยจิวจึงหนีไปบวช เปลี่ยนชื่อเป็น ลูตีซิม เมื่อไปอยู่ที่วัดเซียงก๊กยี่ได้เคยช่วยเหลือลิมชองที่ต้องโทษ แล้วจะถูกหลอกไปฆ่าให้รอดชีวิตได้
แต่ตนเองต้องหนีซุกซอนไป จนมาถึงวัดเขายีเลงซัว จะขอเข้าพักอาศัย หลวงจีน เตงหลุนไม่ยอมจึงเกิดรบกันขึ้น เตงหลุนสู้ไม่ได้พาลูกศิษย์เข้าวัดปิดประตูแน่นหนา เลยต้องถอยมาพักอยู่ที่นี่
เอียจี้ถูกใจว่าตนเองก็เป็นคนไม่มีที่อาศัยด้วยเหมือนกัน จึงเสนอว่าควรจะร่วมมือกันเข้ายึดวัดนี้เสียเลยจะดีกว่า ทั้งสองก็เดินทางกลับมาปรึกษากับเชาเจงที่โรงเตี๊ยม
พอรุ่งขึ้นเช้าอีกวันหนึ่งเชาเจงก็ออกอุบาย ให้เอียจี้แต่งตัวเป็นชาวบ้านเหมือนกับตนเองและลูกจ้างอีกสองสามคน เอาตัวหลวงจีนลูตีซิมมัดแล้วช่วยกันคุมตัวไปที่เขายีเลงซัว เรียกให้หลวงจีนลูกวัดโปจู๊ให้เปิดประตูรับ บอกว่าหลวงจีนองค์นี้มาซื้อสุรากินแล้วไม่จ่ายเงิน ทั้งคุยอีกว่าจะไปตามทหารหลวงมาจับหลวงจีนในวัดนี้ให้หมด จึงช่วยกันจับมัดมาส่งให้
พวกศิษย์วัดก็ไปแจ้งเตงหลุน ไต้อ๋องดีใจให้เปิดประตูรับเข้าไป พวกในวัดก็พาตัวผ่านประตูเหมือนกับด่านถึงสามชั้น ตามประตูมีเครื่องศัสตราวุธ และกองศิลาไว้ทั้งสี่ทิศ ภูเขานั้นสูงชันต้นไม้หนาแน่น ผู้ใดยกกองทัพปีนขึ้นไปบนเขา ก็จะถูกต่อต้านเช่นเดียวกับเข้าตีกำแพงเมืองใหญ่ และมีทางขึ้นอยู่ทางเดียวทางอื่นขึ้นไม่ได้
ศิษย์วัดพาหลวงจีนลูตีซิม และเอียจี้กับ เชาเจง มาถึงที่ว่าการของไต้อ๋อง
หลวงจีนเตงเหลงนั้นนั่งอยู่บนโต๊ะ มีหลวงจีนที่เป็นองครักษ์ยืนอยู่สองข้างซ้ายขวาหลายสิบคน เอียจี้กับเชาเจงคุมตัวลูตีซิมมาตรงหน้าหลวงจีนไต้อ๋องแล้ว ก็ยืนขนาบอยู่ข้างหลัง หลวงจีนไต้อ๋องเห็นหน้าลูตีซิมแล้วก็ว่า
“……เมื่อวันก่อนเจ้าถีบเรา ยังเจ็บป่วยอยู่ วันนี้ได้ตัวเจ้ามาจะทำให้หนำใจ…”
และสั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย เอียจี้กับเชาเจงจึงแก้มัดลูตีซิมออกแล้วส่งง้าวคู่มือให้ ทั้งสามนายก็เข้าตลุมบอนกับเตงหลุน และศิษย์ทั้งหลายอย่างเข้มแข็ง ตัวเตงหลุนถูกฆ่าตายคาที่ หลวงจีนลูกศิษย์ตายไปประมาณสิบคน ที่เหลือก็แตกตื่นวุ่นวาย เอียจี้จึงร้องประกาศว่า
“…….ถ้าผู้ใดกลัวตายก็มายอมสามิภักดิ์เสียโดยดี ถ้ามิยอมก็จะฆ่าเสีย……”
หลวงจีนอีกห้าหกร้อยคนนั้นได้ฟังก็พากันวางอาวุธ ยอมอ่อนน้อมต่อเอียจี้ทั้งสิ้น และยกให้หลวงจีนลูตีซิม กับเอียจี้ เป็นไต้อ๋องปกครองพวกตนต่อไป
เอียจี้กับหลวงจีนลูตีซิมก็ตรวจสอบทรัพย์สินเงินทองและข้าวของเสบียงอาหาร แล้วจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ใดเคยว่าตำแหน่งหน้าที่ใดก็อยู่ต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสองก็อาศัยวัดโปจู๊บนเขายีเลงซัว เป็นที่พำนักทำมาหากินเป็นโจร มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
ส่วนเชาเจงนั้นขอลากลับไปประกอบอาชีพกับครอบครัว ที่โรงเตี๊ยมของตนตามเดิม
เอียจี้ ซึ่งเคยเป็นขุนนางนายทหารที่มีใจสัตย์ซื่อ อยากจะรับราชการให้ชื่อเสียงปรากฎ แต่ทำดีทีไรก็ผิดหวังได้แต่ชั่วทุกที จนหมดปัญญาที่จะเป็นคนดีต้องยอมทนเป็นคนชั่วไปตามกรรม
และภายหลังต่อมาก็ได้ย้ายสำมะโนครัว เข้าไปรวมกลุ่มพี่น้องขบวนการเขาเนียซัวเปาะ พ้นเงื้อมมือของเนียสิเกียด ผู้เคียดแค้นอาฆาตไปจนได้ในที่สุด.
##########
นิตยสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๔๐
ขุนนางตกอับ (๓) ๓๐ ก.ค.๕๘
เอียจี้.....ขุนนางตกอับ
ตอนที่ ๓ ทำดีกลับเป็นชั่ว
"เล่าเซี่ยงชุน"
ฝ่ายเล่าโตวก๊วนกับผู้คุมขบวน และพวกลูกหาบทั้งสิบเอ็ดคนที่ถูกวางยาเบื่อนั้น ครั้นตกดึกประมาณสองยามเศษน้ำค้างลงเย็นใจ ค่อยคลายหายเมาลุกขึ้นไม่เห็นเอียจี้ เล่าโตว ก๊วนจึงบอกพวกลูกหาบว่า เจ้าเหล่านี้ไม่เชื่อเอียจี้ห้าม จึงได้เกิดความขึ้น จะพาเรามาตายเสียด้วยดอก
พวกลูกหาบก็ว่า การเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรได้ เล่าโตวก๊วนปรึกษากับลิ่วล้อทั้งหลาย หาทางที่จะให้พวกตนทั้งหมดพ้นความผิด แล้วก็พากันไปแจ้งความแก่ขุนนางนายอำเภอตำบลนั้นว่า เอียจี้ซึ่งเป็นหัวหน้าคุมขบวนเกวียน เดินทางมาพักที่ตำบลนี้ แล้วเอียจี้ก็ไปบอกพวกโจรให้เอายาเบื่อมาวางพวกตน จนเมาหลับไปแล้วก็เก็บทรัพย์สินสิ่งของมีค่าใส่เกวียนหนีไป
นายอำเภอก็จดคำให้การไว้เป็นหลักฐาน เล่าโตวก๊วนจึงให้ขุนนางรองสองคนอยู่กับนายอำเภอ เพื่อสืบหาพวกโจร ส่วนตนเองกับลูกหาบทั้งหมด รีบเดินทางกลับไปเมืองปักเกีย แจ้งเรื่องราวให้เนียสิเกียดทราบ ทุกประการ
เนียสิเกียดได้ฟังก็ตกใจคิดโกรธยิ่งนัก ด่าเอียจี้ว่าเมื่อต้องโทษเนรเทศมา ตนได้ชุบเลี้ยงแต่งตั้งให้เป็นขุนนางมียศศักดิ์ หามีความกตัญญูไม่ ถ้าแม้นจับตัวมาได้จะเชือดเนื้อให้สุนัขกินเสียให้หนำใจ แล้วจึงเขียนหนังสือไปถึงเจ้าเมืองเจ๋จิวฮู้ ให้สืบจับตัวโจรผู้ร้ายกับสิ่งของเหล่านั้นคืนมาให้ได้
และทำหนังสืออีกฉบับหนึ่งถึงชัวเกียบิดาภรรยา แจ้งเรื่องราวให้ทราบทุกประการ ชัวเกียทราบความแล้วจึงสั่งให้เจ้าพนักงานมีตราให้ขุนนางคนสนิท เป็นข้าหลวงถือไปจับโจรผู้ร้ายที่แขวงเมืองเจ๋จิวฮู้อีกแรงหนึ่งด้วย
ส่วนเอียจี้เดินทางไปตลอดคืน ได้ประมาณยี่สิบลี้เศษก็ถึงเวลารุ่งสว่าง เห็นมีโรงเตี๊ยมขายของอยู่ข้างทาง ก็แวะเข้าไปสั่งสุราอาหารมากิน เมื่ออิ่มแล้วก็บอกหญิงเจ้าของโรงว่า คราวนี้ลืมเอาเงินมาคราวหน้าจึงค่อยเอาเถิด แล้วก็เดินออกจากโรงไป
หญิงเจ้าของโรงเรียกลูกจ้างมาช่วยจับ เอียจี้ก็ผลักล้มระเนระนาดไป หญิงนั้นก็เรียกสามีมาช่วย สามีคว้ากระบองเข้ามาตี เอียจี้สู้รบอยู่ได้ถึงยี่สิบเพลง ชายเจ้าของโรงเตี๊ยมเห็นเอียจี้มีฝีมือเข้มแข็ง ก็ขอหยุดพักรบถามชื่อแซ่ เอียจี้ก็บอกชื่อให้
เจ้าของโรงเตี๊ยมก็รู้จักว่าเป็นขุนนางฝ่ายทหารอยู่ที่เมืองหลวง จึงวางกระบองลง คำนับ และแนะนำตนเองว่าชื่อ เชาเจง เป็นศิษย์ของครูทหารชื่อ ลิมชอง เดิมอยู่กับปู่และบิดาเป็นคนฆ่าหมูขายในเมืองหลวง ต่อมากู้เงินเศรษฐีมาขายของที่เมืองตังซัวก็ขาดทุน ไม่สามารถจะกลับไปได้จึงตั้งโรงเตี๊ยมอยู่ที่นี่
เอียจี้จึงเล่าเรื่องของลิมชอง เมื่อคราวเจอกันที่เขาเนียซัวเปาะ เชาเจงก็ขอเชิญให้พักอยู่ให้สบาย และจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงอีก
เอียจี้เล่าความเดิมของตนให้เชาเจงฟังทุกประการ จนสุดท้ายที่ไม่สามารถกลับไปหาเนียสิเกียดได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เพราะเงินทองข้าวของสิ่งใดไม่มีติดตัวเลย เชาเจงจึงบอกให้อยู่ด้วยกัน แต่เอียจี้เกรงว่าถ้ามีนายอำเภอมาจับตัว จะพาให้เชาเจงพลอยลำบากไปด้วย
เชาเจงก็ถามว่าถ้าอย่างนั้นจะไปพักที่ไหนเล่า เอียจี้บอกว่า
"...เราคิดจะไปหาลิมชองที่เขาเนียซัวเปาะ เดิมเราเดินทางไปนั้นได้รบกับลิมชองครูท่านเป็นหนักหนา เฮงหลุนมาห้ามไว้จึงได้รู้จักกัน เฮงหลุนก็ชักชวนให้เราอยู่ด้วย เราคิดว่าจะทำราชการให้ชื่อเสียงปรากฎ จึงไม่อยู่เป็นพวกพ้องเฮงหลุนก็บัดนี้เกิดความขึ้นแล้ว จะอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้จำจะต้องไปอยู่กับเฮงหลุนที่เขาเนียซัวเปาะ....."
เชาเจงจึงบอกว่า
"...ซึ่งท่านคิดนั้นก็ดีดอก แต่ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือว่าเฮงหลุนนายใหญ่เป็นคนใจริษยา เมื่อลิมชองครูของข้าพเจ้าจะเข้าไปอยู่ด้วย เฮงหลุนไม่ยอมมีใจอิจฉา พวกพ้องพี่น้องว่ากล่าวอยู่หลายวันจึงได้ยอม เฮงหลุนนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ ที่เมืองเซงจิวนั้นทางก็ไม่ไกลนัก มีภูเขาอยู่แห่งหนึ่งชื่อเขายีเลงซัว บนเขานั้นมีวัดหนึ่งเรียกว่าโปจู๊ หนทางที่จะขึ้นไปมีอยู่แห่งเดียว ทางอื่นก็ไปไม่ได้ มีหลวงจีนอยู่ที่วัดประมาณสี่ห้าร้อย แต่หลวงจีนเหล่านั้นไว้ผมยาวเที่ยวตีปล้นอยู่เนือง ๆ หลวงจีนองค์ที่เป็นนายใหญ่ชื่อ เตงเหลง....ถ้าแม้นว่าท่านยอมเป็นคนอย่างพวกนั้นแล้ว ก็ไปเข้าอยู่วัดนี้ดีกว่า....."
เอียจี้เห็นด้วย จึงนอนค้างอยู่ที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นเวลาเช้าก็ลาออกเดินทางต่อไป พอเวลาจวนเย็นก็ถึงเขายีเลงซัว แต่เข้าวัดไม่ได้ไม่มีใครเปิดรับจึงเดินไปหาที่พัก พบหลวงจีนองค์หนึ่งรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ พอเดินเข้าไปใกล้ก็รีบลุกขึ้นจับง้าวเข้าฟาดฟันทันที
เอียจี้เอากระบี่รับไว้ แล้วสู้รบกันได้ถึงห้าสิบเพลง ต่างก็เฉือนกันไม่ลง หลวงจีนจึงถอยห่างออกไป แล้วถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียม
เอียจี้ก็บอกชื่อแซ่ตามจริงและเล่าเรื่องเก่าให้ฟัง หลวงจีนนั้นถามว่า เอียจี้ที่เอากระบี่ไปขายแล้วฆ่าจูยี่ตายใช่หรือไม่ เอียจี้รับว่าใช่แล้วถามว่าทำไมจึงรู้
หลวงจีนก็แนะนำตัวว่าเดิมชื่อ ลูตัด มีคดีติดตัวจากเมืองอุยจิวจึงหนีไปบวช เปลี่ยนชื่อเป็น ลูตีซิม เมื่อไปอยู่ที่วัดเซียงก๊กยี่ได้เคยช่วยเหลือลิมชองที่ต้องโทษ แล้วจะถูกหลอกไปฆ่าให้รอดชีวิตได้
แต่ตนเองต้องหนีซุกซอนไป จนมาถึงวัดเขายีเลงซัว จะขอเข้าพักอาศัย หลวงจีน เตงหลุนไม่ยอมจึงเกิดรบกันขึ้น เตงหลุนสู้ไม่ได้พาลูกศิษย์เข้าวัดปิดประตูแน่นหนา เลยต้องถอยมาพักอยู่ที่นี่
เอียจี้ถูกใจว่าตนเองก็เป็นคนไม่มีที่อาศัยด้วยเหมือนกัน จึงเสนอว่าควรจะร่วมมือกันเข้ายึดวัดนี้เสียเลยจะดีกว่า ทั้งสองก็เดินทางกลับมาปรึกษากับเชาเจงที่โรงเตี๊ยม
พอรุ่งขึ้นเช้าอีกวันหนึ่งเชาเจงก็ออกอุบาย ให้เอียจี้แต่งตัวเป็นชาวบ้านเหมือนกับตนเองและลูกจ้างอีกสองสามคน เอาตัวหลวงจีนลูตีซิมมัดแล้วช่วยกันคุมตัวไปที่เขายีเลงซัว เรียกให้หลวงจีนลูกวัดโปจู๊ให้เปิดประตูรับ บอกว่าหลวงจีนองค์นี้มาซื้อสุรากินแล้วไม่จ่ายเงิน ทั้งคุยอีกว่าจะไปตามทหารหลวงมาจับหลวงจีนในวัดนี้ให้หมด จึงช่วยกันจับมัดมาส่งให้
พวกศิษย์วัดก็ไปแจ้งเตงหลุน ไต้อ๋องดีใจให้เปิดประตูรับเข้าไป พวกในวัดก็พาตัวผ่านประตูเหมือนกับด่านถึงสามชั้น ตามประตูมีเครื่องศัสตราวุธ และกองศิลาไว้ทั้งสี่ทิศ ภูเขานั้นสูงชันต้นไม้หนาแน่น ผู้ใดยกกองทัพปีนขึ้นไปบนเขา ก็จะถูกต่อต้านเช่นเดียวกับเข้าตีกำแพงเมืองใหญ่ และมีทางขึ้นอยู่ทางเดียวทางอื่นขึ้นไม่ได้
ศิษย์วัดพาหลวงจีนลูตีซิม และเอียจี้กับ เชาเจง มาถึงที่ว่าการของไต้อ๋อง
หลวงจีนเตงเหลงนั้นนั่งอยู่บนโต๊ะ มีหลวงจีนที่เป็นองครักษ์ยืนอยู่สองข้างซ้ายขวาหลายสิบคน เอียจี้กับเชาเจงคุมตัวลูตีซิมมาตรงหน้าหลวงจีนไต้อ๋องแล้ว ก็ยืนขนาบอยู่ข้างหลัง หลวงจีนไต้อ๋องเห็นหน้าลูตีซิมแล้วก็ว่า
“……เมื่อวันก่อนเจ้าถีบเรา ยังเจ็บป่วยอยู่ วันนี้ได้ตัวเจ้ามาจะทำให้หนำใจ…”
และสั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย เอียจี้กับเชาเจงจึงแก้มัดลูตีซิมออกแล้วส่งง้าวคู่มือให้ ทั้งสามนายก็เข้าตลุมบอนกับเตงหลุน และศิษย์ทั้งหลายอย่างเข้มแข็ง ตัวเตงหลุนถูกฆ่าตายคาที่ หลวงจีนลูกศิษย์ตายไปประมาณสิบคน ที่เหลือก็แตกตื่นวุ่นวาย เอียจี้จึงร้องประกาศว่า
“…….ถ้าผู้ใดกลัวตายก็มายอมสามิภักดิ์เสียโดยดี ถ้ามิยอมก็จะฆ่าเสีย……”
หลวงจีนอีกห้าหกร้อยคนนั้นได้ฟังก็พากันวางอาวุธ ยอมอ่อนน้อมต่อเอียจี้ทั้งสิ้น และยกให้หลวงจีนลูตีซิม กับเอียจี้ เป็นไต้อ๋องปกครองพวกตนต่อไป
เอียจี้กับหลวงจีนลูตีซิมก็ตรวจสอบทรัพย์สินเงินทองและข้าวของเสบียงอาหาร แล้วจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ใดเคยว่าตำแหน่งหน้าที่ใดก็อยู่ต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งสองก็อาศัยวัดโปจู๊บนเขายีเลงซัว เป็นที่พำนักทำมาหากินเป็นโจร มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
ส่วนเชาเจงนั้นขอลากลับไปประกอบอาชีพกับครอบครัว ที่โรงเตี๊ยมของตนตามเดิม
เอียจี้ ซึ่งเคยเป็นขุนนางนายทหารที่มีใจสัตย์ซื่อ อยากจะรับราชการให้ชื่อเสียงปรากฎ แต่ทำดีทีไรก็ผิดหวังได้แต่ชั่วทุกที จนหมดปัญญาที่จะเป็นคนดีต้องยอมทนเป็นคนชั่วไปตามกรรม
และภายหลังต่อมาก็ได้ย้ายสำมะโนครัว เข้าไปรวมกลุ่มพี่น้องขบวนการเขาเนียซัวเปาะ พ้นเงื้อมมือของเนียสิเกียด ผู้เคียดแค้นอาฆาตไปจนได้ในที่สุด.
##########
นิตยสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๔๐