ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
ชุดที่ ๒ ลูตีซิม.....หลวงจีนจอมสุรา
ตอนที่ ๓ พลังร้ายแต่ใจจริง
" เล่าเซี่ยงชุน "
หลวงจีนลูตีซิม ซึ่งผ่านการผจญภัยที่วัดร้างเมืองปักเกีย และแยกทางกับซือจิน เพื่อนเก่าแล้ว ก็แบกง้าวคอนห่อสมบัติถือไม้เท้าเหล็ก เดินทางต่อไปได้อีกประมาณแปดเก้าวัน ก็ถึงเมืองตังเกียซึ่งเป็นเมืองหลวง มีความเจริญรุ่งเรืองบ้านช่องร้านค้ามากมาย ลูตีซิมเที่ยวถามชาวบ้านเรื่อยไปว่าวัดไต้เซียงก๊กยี่อยู่ทางไหน ชาวบ้านก็ชี้ให้ว่าอยู่ทางสะพานจิวเกี๋ย เป็นวัดที่ใหญ่โต งดงามมาก พอลูตีซิมเข้าไปในวัดก็พบหลวงจีนซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับเชิญเข้าไปข้างใน
ลูตีซิมเอาหนังสือฝากฝังของ หลวงจีนตีจิน เจ้าอาวาสวัดเงาไทซัวออกมาส่งให้ หลวงจีนผู้ต้อนรับก็บอกให้วางอาวุธไว้ก่อน แล้วจุดธูปเทียนให้ถือรออยู่สักครู่ หลวงจีนเชงเซียนซือ เจ้าอาวาสจึงออกมาพบ ลูตีซิมก็คุกเข่าลงคำนับ ท่านก็โอภาปราศรัยว่าเพิ่งเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จงไปหาอาหารกินเสียก่อน แล้วสั่งให้ศิษย์พาไปที่โรงอาหาร เจ้าอาวาสก็ปรึกษากับศิษย์วัดทั้งหลายว่า
".......หลวงจีนตีจิน อาจารย์เอาไว้ไม่ได้ จึง
ไสมาให้เรา ในหนังสือมีมาว่าให้เอาเป็นธุระจงมาก ถ้าหลวงจีนลูตีซิมมาทำวุ่นวายขึ้น ก็จะพากันลำบาก ครั้นจะไม่รับไว้ท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัวก็จะแค้นเคืองว่าไม่มีกตัญญูต่อท่าน ถ้าเรารับไว้หลวงจีนลูตีซิมทำการทุจริตต่าง ๆขึ้น เราจะทำประการใด....."
เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็ปรารภว่า ดูหน้าตาหลวงจีนลูตีซิมไม่ใช่คนดี ถ้าให้อยู่ในวัดนี้ก็คงจะเกิดเรื่องเข้าสักวันหนึ่ง หลวงจีนอาวุโสองค์หนึ่งจึงได้แนะนำว่า ควรจะให้ไปเฝ้าสวนผักของวัดที่นอกประตูชวนจอหมง แทนหลวงจีนผู้เฒ่าที่ได้เฝ้าอยู่เดิม เพราะว่ากล่าวผู้ใดไม่ได้ ปล่อยให้ทหารและราษฎรที่เดินทางไปมา เก็บผักในสวน หรือปล่อยโคกระบือเข้าไปกินผักอยู่เนือง ๆ หลวงจีนลูตีซิมมีฝีมือเข้มแข็งดุร้าย คงจะป้องกันคนพาล และจัดการกับโคกระบือที่บุกรุก เข้ามาเหยียบย่ำทำลายสวนผักได้ดี
หลวงจีนเชงเซียนซือกับลูกวัดทั้งหลายก็เห็นด้วย
หลวงจีนเจ้าอาวาสวัดไต้เซียงก๊กยี่จึงมอบหมายให้ลูตีซิมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสวนผักของวัด ที่นอกประตูชวนจอหมง และให้เก็บผักมาส่งวันละสิบหาบอย่าให้ขาด ส่วนที่เหลือนอกนั้นจะเอาไปขาย หรือทำอะไรเป็นส่วนตัวก็ได้ ลูตีซิมก็แย้งว่า
"...ท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัว ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน ปรารถนาจะได้เป็นขุนนาง ว่ากล่าวราชการฝ่ายหลวงจีนสืบไปภายหน้า ชื่อเสียงจะได้ปรากฎกับเขาบ้าง ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวสวนผัก เป็นคนลับชื่อเสียงนั้น ข้าพเจ้าไม่ยอมไป...."
เจ้าอาวาสก็บอกว่า ยังไม่ได้ทำความชอบสิ่งใด มาถึงจะเป็นขุนนางว่าราชการใหญ่โตนั้นไม่ได้ หลวงจีนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับก็ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวท่านเองเมื่อมาอยู่ใหม่ ๆ ก็ต้องทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วจึงเลื่อนขึ้นมาทีละขั้น จนเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับได้ ขุนนางที่อยู่ในวัดนี้มีตำแหน่งเป็นลำดับกัน อย่างลูตีซิมก็เป็นขุนนางพนักงานผัก ถ้าได้ทำกิจการให้ดีมีผลประโยชน์ก็ค่อยเลื่อนไป อาจได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการวัดนี้ก็ได้ อย่าวิตกไปนักเลย ลูตีซิมก็หลงคารม ยินยอมไปรักษาสวนผักตามคำสั่งของเจ้าอาวาส
พอวันรุ่งขึ้น ลูตีซิมไปรายงานตัวต่อหลวงจีนชราผู้รักษาสวนผักคนเก่า แล้วก็รักษาหน้าที่นั้นแทน ในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีอันธพาลสองคนคือ เตียซา กับ ลีสี และสมัครพรรคพวกอีกประมาณสามสิบคน เที่ยวตีชิงวิ่งราวฉกลักของชาวบ้านอยู่เนือง ๆ ตั้งก๊วนซ่องสุมอยู่ที่ศาลเจ้า ใกล้สวนผักของวัดใต้เซียงก๊กยี่ ได้สมคบกันลักผักในสวนไปขาย เอาเงินมาเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวัน
หลวงจีนคนเก่าว่ากล่าวห้ามปรามก็ไม่ฟัง พอรู้ข่าวว่าได้หลวงจีนคนใหม่มาอยู่แทน ก็คิดจะกำจัดเสีย จึงพาพรรคพวกมาคุยด้วย ถ้าเผลอก็จะได้จับโยนลงบ่อน้ำเสียเลย
แต่ลูตีซิมรู้ทันคอยระวังตัวอยู่ พอเห็นพวกอันธพาลห้อมล้อมเข้ามาใกล้ เตียซากับลีสีก็เข้ามากอดลูตีซิมไว้คนละข้าง ทำทีอ่อนน้อมสนิทสนม ลูตีซิมก็เลยถีบทั้งสองตกลงไปในบ่อขึ้นไม่ได้ พรรคพวกตกใจจะพากันวิ่งหนี
ลูตีซิมก็ร้องตวาดว่า ใครหนีแล้วจับได้จะโยนลงบ่อทุกคน พวกนั้นเลยยืนนิ่งอยู่กับที่ ตัวนายสองคนที่หล่นลงไปในบ่อก็ร้องขอความช่วยเหลือ ลูตีซิมจึงให้ลูกน้องเหล่านั้นช่วยฉุดขึ้นมาจากบ่อ แล้วไต่ถามเรื่องราว
ทั้งหมดก็สารภาพว่า ได้ทำการลักเอาผักในสวนไปขายเป็นประจำ โดยไม่เกรงกลัวหลวงจีนชราคนเก่า แต่สำหรับท่านที่มาใหม่มีฝีมือเข้มแข็งนัก จึงขอยอมเป็นลิ่วล้อให้ใช้สอยไม่คิดร้ายอีกต่อไป
ลูตีซิมจึงรับเอาไว้เป็นพรรคพวก และเล่าความหลังให้ฟังว่าได้เคยเป็นทหารอยู่ที่เมืองเอียนอันฮู้ แล้วเกิดคดีฆ่าคนตายที่เมืองอุยจิว จึงได้บวชเป็นหลวงจีนและสำทับว่า
".....ก็พวกเจ้าสามสิบคนเท่านี้ ที่ไหนจะสู้เราได้ แต่ทหารตั้งพันตั้งหมื่นก็ยัง ปราชัยล้มตายแตกหนีไปสิ้น เจ้าไม่ได้ข่าวเขาเล่า ลือชื่อเสียงเราบ้างหรือ....."
สองอันธพาลกับพวกพ้องก็กลัวเกรงลูตีซิมยิ่งนัก ชวนกันไปซื้อหาหมูเป็ดไก่กับสุราอย่างดี เอามาเลี้ยงต้อนรับ ทั้งหมดก็ตั้งวงสุราอยู่ในสวนผักนั้นเอง
ในบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาครึ้ม ก็มีนกกามาทำรังอาศัยอยู่มาก ต่างก็ส่งเสียงร้อง เซ็งแซ่อยู่ พวกของเตียซาถือว่าเป็นลางไม่ดี ก็ร้องขึ้นว่าโพยภัยสิ่งใดขอให้สูญหายไป
ลูตีซิมถามว่ามีเหตุผลอันใด เจ้าคนร้องก็บอกว่านกการ้องเซ็งแซ่ โบราณว่าจะมีเหตุให้ทุ่มเถียงกัน ลูตีซิมก็ว่าถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปไล่นกทำลายรังเสีย มันจะได้หยุดร้อง พวกเหล่านั้นก็ขึ้นต้นไม้ไม่ได้เพราะลำต้นใหญ่มาก ลูตีซิมก็ว่าแค่รังนกกาก็ทำลายไม่ได้ ว่าแล้วก็ใช้พละกำลังถอนต้นไม้ขึ้นจากดินวางให้นอนลง นกกาก็แตกตื่นตกใจบินหนีไปหมด
กลุ่มอันธพาลทั้งหลายก็สรรเสริญว่าลูตีซิมนี้มีกำลังหนักหนา เห็นจะเป็นดาวบนฟ้าลงมาเกิด ลูตีซิมเลยคุยต่อไปว่าเจ้าเหล่านี้ยังไม่เห็นฝีมือเรา แล้วก็สั่งให้ลิ่วล้อไปเอาไม้เท้าเหล็กมาจะรำเพลงอาวุธให้ดู พวกนั้นยกไม้เท้าไม่ขึ้น ลูตีซิมก็หัวเราะว่าไม้เท้าของเรานี้หนักเพียงหกสิบชั่งเท่านั้นเอง ว่าแล้วก็เอาไม้เท้ามารำเพลงอาวุธอวดแก่พวกพ้อง จนอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน
ขณะที่หลวงจีนลูตีซิมกำลังรำเพลงอาวุธอวดลูกน้องอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งแวะมายืนดูอยู่ด้วยแล้วชมว่า หลวงจีนองค์นี้ฝีมือเข้มแข็งยากที่ใครจะสู้ได้ ลูตีซิมก็หยุดรำวางไม้เท้าถามว่าท่านเป็นใคร ลูกน้องก็ตอบแทนว่าเป็นครูฝึกทหารถึงแปดสิบหมื่น อยู่ในเมืองหลวงนี้ มีชื่อว่า ลิมชอง ลูตีซิมจึงเชิญนั่งแล้วโอภาปราศรัยไต่ถามกันและกัน
ลูตีซิมเล่าประวัติของตนที่แล้วมาให้ฟังโดยตลอด แล้วบอกว่าเคยได้ยินชื่อเสียงบิดาลิมชองอยู่ ทั้งคู่ก็สนทนากันอย่างสนิทสนม ลิมชองบอกว่าวันนี้พาภรรยากับคนใช้มาไหว้เจ้าที่ศาลใกล้แถวนี้ แต่ให้ภรรยากับคนใช้เดินไปก่อน เพราะอยากจะชมฝีมือท่าน เดี๋ยวจึงจะตามไป
พอดีคนใช้วิ่งกลับมาบอกว่า ภรรยาของลิมชองมีเรื่องราวกับคนที่ศาลเจ้า ลิมชองจึงลาลูตีซิมรีบไปที่ศาลเจ้าตังงักตี
ลูตีซิมก็ฉวยไม้เท้านำพวกพ้องตามไปถึงที่เกิดเหตุ พบลิมชองกับภรรยา ถามว่าจะไปไหนกัน ก็บอกว่าจะมาช่วยปราบคนพาลเกเรให้ ลิมชองก็ขอร้องว่าไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โต เพราะคนที่มาหยอกเย้าภรรยานั้น คือ กอเงไหล บุตรเลี้ยงของ กอกิว ขุนนางนายทหารใหญ่ที่กอไทอวย ผู้บัญชาการทหารทั้งปวงของเมืองตังเกีย โดยไม่รู้ว่าเป็นภรรยาของตน บัดนี้เข้าใจกันแล้ว ลูตีซิมจึงพาพรรคพวกกลับสวนผักของตน
ตั้งแต่นั้นมาลูตีซิมกับลิมชองก็คบหาสมาคมกัน เป็นที่รักใคร่สนิทสนม กินโต๊ะสุราอาหารกันทุกวันมิได้ขาด วันหนึ่งขณะกลับจากเสพสุราจะกลับบ้าน มีคนขายกระบี่เข้ามาถามว่า มีกระบี่วิเศษอยู่เล่มหนึ่งจะขายให้ ลิมชองสนใจก็ขอดูแล้วส่งให้ลูตีซิมช่วยดูด้วย ลูตีซิมก็ว่าเป็นของดีจงซื้อไว้เถิด ลิมชองถามว่าราคาเท่าใด คนขายบอกว่าสามพันตำลึง แล้วก็ลดให้เหลือสองพันตำลึง ลิมชองต่อจนเหลือเพียงพันตำลึง จึงตกลงซื้อไว้แล้วก็แยกทางกันกลับบ้าน
ต่อมาไม่นานลูตีซิมได้ข่าวว่า ลิมชองถูกกอไทอวยกลั่นแกล้ง กล่าวหาว่าถือกระบี่เข้าไปในที่พำนักของตนเพื่อจะทำร้าย จึงเอาตัวไปจำคุก แล้วเนรเทศไปอยู่เมืองชองจิว ก็คิดจะช่วยเหลือ จึงมาดักอยู่ตามทางที่จะต้องผ่าน พอผู้คุมสองนายพาตัวลิมชองเดินทางผ่านมาถึงที่เปลี่ยว เตรียมจะฆ่าลิมชองเสีย เพราะได้รับค่าจ้างจากนายทหารคนสนิทของกอไทอวย ลูตีซิม ก็ออกจากที่ซุ่มมาขัดขวางไว้ แล้วร้องตวาดว่า
"……แกล้งพาน้องเรามาฆ่าดังนี้ ชีวิตเจ้าทั้งสองไม่ได้กลับคืนแล้ว....."
ลูตีซิมเงื้อไม้เท้าจะฟาดกระบาลเสีย ผู้คุมทั้งสองกำลังตกตลึง ลิมชองก็ร้องห้ามไว้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่มีความผิดอันใด เพียงแต่ต้องทำตามที่กอไทอวยสั่งมาเท่านั้น ลูตีซิมจึงแก้โซ่ที่มือและเท้าลิมชองออกพยุงให้นั่งพัก แล้วเล่าว่า
".....วันที่น้องซื้อกระบี่แล้วจากกันมา ได้ยินข่าวว่าต้องโทษ ไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด ครั้นแจ้งว่าเขาจะเนรเทศไปเมืองชองจิวก็ไปหาน้องที่ไคฮองฮู้ก็ไม่พบ ได้ข่าวว่าน้องอยู่ในคุกพี่ก็เที่ยวสืบข่าวไป เห็นชายที่ขายสุราไปเรียกผู้คุมสองคนนี้มาที่โรงสุรา พี่มีความวิตกถึงน้อง กลัวเขาจะคิดอุบายฆ่าเสีย จึงได้ไปแอบฟังที่โรงเตี๊ยม ได้ยินขุนนางนั้นกับผู้คุมสองคนคิดอ่านจะฆ่าน้องให้ตายเสียตามทาง ในขณะนั้นพี่คิดจะฆ่าผู้คุมทั้งสองนี้เสีย เห็นผู้คนมากกลัวจะเกิดความจึงไม่ได้ทำ สู้อดใจไว้ จะช่วยน้องในขณะนั้นไม่ได้ ครั้นแจ้งความถี่ถ้วนแล้ว พี่ออกจากโรงเตี๊ยมรีบมาคอยท่าช่วยน้อง กับ จะฆ่าผู้คุมสองคนเสีย ซึ่งผู้คุมทั้งสองพาน้องมาถึงป่าจะฆ่า พี่จึงออกมาช่วยไว้ เราฆ่าสองคนนี้เสียเถิดหรือ....."
ลิมชองก็ขอบคุณแล้วขอร้องว่าอย่าฆ่าเลย เขาคิดร้ายเพราะนายสั่ง ลูตีซิมจึงให้ผู้คุมทั้งสองพยุงลิมชองซึ่งเท้าพองเดินลำบาก ออกเดินทางพ้นจากป่าไปประมาณห้าลี้ ก็แวะพักที่โรงขายสุรา หาสุราอาหารกิน ผู้คุมอยากจะรู้จักชื่อเอาไว้ฟ้องนายก็ถามดู ลูตีซิมก็ว่า
"....เจ้ามาถามชื่อเราทำไม ซึ่งกอไทอวยนั้น มีคนกลัวมากเราหากลัวไม่ ถ้าแม้นเราได้พบปะกอไทอวยที่ไหนจะทุบเสียให้ตาย ให้สมกับทำข่มเหงน้องเรา ถึงตัวเจ้าทั้งสองก็ทำให้ดี ถ้าทีหลังทำกับน้องเราอีก ชีวิตเจ้าทั้งสองก็ไม่พ้นมือเรา....."
ผู้คุมทั้งสองก็ไม่กล้าตอแยต่อไปอีก เมื่ออิ่มหนำดีแล้ว ลูตีซิมก็พาทั้งหมดเดินทางต่อไป ลิมชองถามว่าพี่จะไปไหนด้วยหรือ ลูตีซิมตอบว่า
"....ฆ่าคนต้องให้เห็นโลหิตคิดจะช่วยก็ต้องช่วยให้ตลอด พี่มาช่วยน้องแล้วจะต้องไปส่งให้ถึงเมืองชองจิว…….."
แล้วก็เดินทางไปอีกสิบเจ็ดวัน จึงถึงชานเมืองชองจิว มีบ้านเรือนผู้คนแน่นหนาไม่เป็นป่าเปลี่ยวเหมือนที่ผ่านมา ลูตีซิมก็จะขอแยกทางกลับ จึงมอบเงินไว้ให้ลิมชองสิบตำลึง และ ให้ผู้คุมทั้งสองสามตำลึง กำชับให้พาตัวลิมชองไปส่งให้เรียบร้อย แล้วก็แสดงกำลังเอาไม้เท้าเหล็กหวดกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ขาดเป็นสองท่อนเหมือนฟันด้วยมีด แถมท้ายว่าถ้าเจ้าทำอันตรายน้องเรา ตัวเจ้าสองคนก็คงเหมือนต้นไม้นี้ แล้วก็ลาลิมชองกลับไปเมืองตังเกีย
ต่อมากอไทอวยรู้เรื่องจากผู้คุมทั้งสองที่กลับมาแล้ว ก็สั่งให้คนไปเที่ยวหาตัวลูตีซิม มาลงโทษ ลูตีซิมจึงหนีออกจากสวนผักของวัดไต้เซียงก๊กยี่เดินทางไปถึงเมืองเชงจิว ขณะที่พักเสพสุราอยู่ที่โรงแห่งหนึ่งถูกภรรยาเจ้าของโรงสุราชื่อ ซึงยีเหนีย เอายาเบื่อใส่สุราให้กินจนสลบไป นางจึงมัดไว้และริบเอาเงินทองไปหมด แล้วจะได้ฆ่าเสีย แต่ยังเคราะห์ดีสามีของนางชื่อ เตียเชง เกิดถูกชตาจึงห้ามภรรยาไว้
เมื่อแก้ไขฟื้นขึ้นไต่ถามชื่อแซ่แล้วก็พูดจาสาบานเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองผัวเมียเป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็ง จึงได้พักอาศัยอยู่ด้วยสี่ห้าวัน แล้วก็เดินทางต่อมาถึงวัดเขายีเลงซัว ตั้งใจจะขอพักอาศัยอยู่ด้วย แต่หลวงจีนหัวหน้าวัดไม่ยอมรับ จึงเกิดสู้รบกันขึ้น หัวหน้าวัดสู้ไม่ได้ โดนลูตีซิม เหยียบอกไว้จะฆ่าเสีย แต่พวกลูกวัดเข้ามาช่วยแก้ไขทัน แล้วก็พากันเข้าไปอยู่ข้างในปิดประตูเสีย
แน่นหนา
ลูตีซิมพังเข้าไปไม่ได้ จึงถอยออกมานั่งพักอยู่ที่โคนต้นไม้
ลูตีซิม (๓) ๗ มี.ค.๖๐
ชุดที่ ๒ ลูตีซิม.....หลวงจีนจอมสุรา
ตอนที่ ๓ พลังร้ายแต่ใจจริง
" เล่าเซี่ยงชุน "
หลวงจีนลูตีซิม ซึ่งผ่านการผจญภัยที่วัดร้างเมืองปักเกีย และแยกทางกับซือจิน เพื่อนเก่าแล้ว ก็แบกง้าวคอนห่อสมบัติถือไม้เท้าเหล็ก เดินทางต่อไปได้อีกประมาณแปดเก้าวัน ก็ถึงเมืองตังเกียซึ่งเป็นเมืองหลวง มีความเจริญรุ่งเรืองบ้านช่องร้านค้ามากมาย ลูตีซิมเที่ยวถามชาวบ้านเรื่อยไปว่าวัดไต้เซียงก๊กยี่อยู่ทางไหน ชาวบ้านก็ชี้ให้ว่าอยู่ทางสะพานจิวเกี๋ย เป็นวัดที่ใหญ่โต งดงามมาก พอลูตีซิมเข้าไปในวัดก็พบหลวงจีนซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับเชิญเข้าไปข้างใน
ลูตีซิมเอาหนังสือฝากฝังของ หลวงจีนตีจิน เจ้าอาวาสวัดเงาไทซัวออกมาส่งให้ หลวงจีนผู้ต้อนรับก็บอกให้วางอาวุธไว้ก่อน แล้วจุดธูปเทียนให้ถือรออยู่สักครู่ หลวงจีนเชงเซียนซือ เจ้าอาวาสจึงออกมาพบ ลูตีซิมก็คุกเข่าลงคำนับ ท่านก็โอภาปราศรัยว่าเพิ่งเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จงไปหาอาหารกินเสียก่อน แล้วสั่งให้ศิษย์พาไปที่โรงอาหาร เจ้าอาวาสก็ปรึกษากับศิษย์วัดทั้งหลายว่า
".......หลวงจีนตีจิน อาจารย์เอาไว้ไม่ได้ จึงไสมาให้เรา ในหนังสือมีมาว่าให้เอาเป็นธุระจงมาก ถ้าหลวงจีนลูตีซิมมาทำวุ่นวายขึ้น ก็จะพากันลำบาก ครั้นจะไม่รับไว้ท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัวก็จะแค้นเคืองว่าไม่มีกตัญญูต่อท่าน ถ้าเรารับไว้หลวงจีนลูตีซิมทำการทุจริตต่าง ๆขึ้น เราจะทำประการใด....."
เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็ปรารภว่า ดูหน้าตาหลวงจีนลูตีซิมไม่ใช่คนดี ถ้าให้อยู่ในวัดนี้ก็คงจะเกิดเรื่องเข้าสักวันหนึ่ง หลวงจีนอาวุโสองค์หนึ่งจึงได้แนะนำว่า ควรจะให้ไปเฝ้าสวนผักของวัดที่นอกประตูชวนจอหมง แทนหลวงจีนผู้เฒ่าที่ได้เฝ้าอยู่เดิม เพราะว่ากล่าวผู้ใดไม่ได้ ปล่อยให้ทหารและราษฎรที่เดินทางไปมา เก็บผักในสวน หรือปล่อยโคกระบือเข้าไปกินผักอยู่เนือง ๆ หลวงจีนลูตีซิมมีฝีมือเข้มแข็งดุร้าย คงจะป้องกันคนพาล และจัดการกับโคกระบือที่บุกรุก เข้ามาเหยียบย่ำทำลายสวนผักได้ดี
หลวงจีนเชงเซียนซือกับลูกวัดทั้งหลายก็เห็นด้วย
หลวงจีนเจ้าอาวาสวัดไต้เซียงก๊กยี่จึงมอบหมายให้ลูตีซิมเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลสวนผักของวัด ที่นอกประตูชวนจอหมง และให้เก็บผักมาส่งวันละสิบหาบอย่าให้ขาด ส่วนที่เหลือนอกนั้นจะเอาไปขาย หรือทำอะไรเป็นส่วนตัวก็ได้ ลูตีซิมก็แย้งว่า
"...ท่านอาจารย์วัดเขาเงาไทซัว ให้ข้าพเจ้ามาหาท่าน ปรารถนาจะได้เป็นขุนนาง ว่ากล่าวราชการฝ่ายหลวงจีนสืบไปภายหน้า ชื่อเสียงจะได้ปรากฎกับเขาบ้าง ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวสวนผัก เป็นคนลับชื่อเสียงนั้น ข้าพเจ้าไม่ยอมไป...."
เจ้าอาวาสก็บอกว่า ยังไม่ได้ทำความชอบสิ่งใด มาถึงจะเป็นขุนนางว่าราชการใหญ่โตนั้นไม่ได้ หลวงจีนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับก็ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวท่านเองเมื่อมาอยู่ใหม่ ๆ ก็ต้องทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วจึงเลื่อนขึ้นมาทีละขั้น จนเป็นเจ้าหน้าที่ต้อนรับได้ ขุนนางที่อยู่ในวัดนี้มีตำแหน่งเป็นลำดับกัน อย่างลูตีซิมก็เป็นขุนนางพนักงานผัก ถ้าได้ทำกิจการให้ดีมีผลประโยชน์ก็ค่อยเลื่อนไป อาจได้เป็นถึงผู้สำเร็จราชการวัดนี้ก็ได้ อย่าวิตกไปนักเลย ลูตีซิมก็หลงคารม ยินยอมไปรักษาสวนผักตามคำสั่งของเจ้าอาวาส
พอวันรุ่งขึ้น ลูตีซิมไปรายงานตัวต่อหลวงจีนชราผู้รักษาสวนผักคนเก่า แล้วก็รักษาหน้าที่นั้นแทน ในบริเวณใกล้เคียงนั้นมีอันธพาลสองคนคือ เตียซา กับ ลีสี และสมัครพรรคพวกอีกประมาณสามสิบคน เที่ยวตีชิงวิ่งราวฉกลักของชาวบ้านอยู่เนือง ๆ ตั้งก๊วนซ่องสุมอยู่ที่ศาลเจ้า ใกล้สวนผักของวัดใต้เซียงก๊กยี่ ได้สมคบกันลักผักในสวนไปขาย เอาเงินมาเลี้ยงชีวิตอยู่ทุกวัน
หลวงจีนคนเก่าว่ากล่าวห้ามปรามก็ไม่ฟัง พอรู้ข่าวว่าได้หลวงจีนคนใหม่มาอยู่แทน ก็คิดจะกำจัดเสีย จึงพาพรรคพวกมาคุยด้วย ถ้าเผลอก็จะได้จับโยนลงบ่อน้ำเสียเลย
แต่ลูตีซิมรู้ทันคอยระวังตัวอยู่ พอเห็นพวกอันธพาลห้อมล้อมเข้ามาใกล้ เตียซากับลีสีก็เข้ามากอดลูตีซิมไว้คนละข้าง ทำทีอ่อนน้อมสนิทสนม ลูตีซิมก็เลยถีบทั้งสองตกลงไปในบ่อขึ้นไม่ได้ พรรคพวกตกใจจะพากันวิ่งหนี
ลูตีซิมก็ร้องตวาดว่า ใครหนีแล้วจับได้จะโยนลงบ่อทุกคน พวกนั้นเลยยืนนิ่งอยู่กับที่ ตัวนายสองคนที่หล่นลงไปในบ่อก็ร้องขอความช่วยเหลือ ลูตีซิมจึงให้ลูกน้องเหล่านั้นช่วยฉุดขึ้นมาจากบ่อ แล้วไต่ถามเรื่องราว
ทั้งหมดก็สารภาพว่า ได้ทำการลักเอาผักในสวนไปขายเป็นประจำ โดยไม่เกรงกลัวหลวงจีนชราคนเก่า แต่สำหรับท่านที่มาใหม่มีฝีมือเข้มแข็งนัก จึงขอยอมเป็นลิ่วล้อให้ใช้สอยไม่คิดร้ายอีกต่อไป
ลูตีซิมจึงรับเอาไว้เป็นพรรคพวก และเล่าความหลังให้ฟังว่าได้เคยเป็นทหารอยู่ที่เมืองเอียนอันฮู้ แล้วเกิดคดีฆ่าคนตายที่เมืองอุยจิว จึงได้บวชเป็นหลวงจีนและสำทับว่า
".....ก็พวกเจ้าสามสิบคนเท่านี้ ที่ไหนจะสู้เราได้ แต่ทหารตั้งพันตั้งหมื่นก็ยัง ปราชัยล้มตายแตกหนีไปสิ้น เจ้าไม่ได้ข่าวเขาเล่า ลือชื่อเสียงเราบ้างหรือ....."
สองอันธพาลกับพวกพ้องก็กลัวเกรงลูตีซิมยิ่งนัก ชวนกันไปซื้อหาหมูเป็ดไก่กับสุราอย่างดี เอามาเลี้ยงต้อนรับ ทั้งหมดก็ตั้งวงสุราอยู่ในสวนผักนั้นเอง
ในบริเวณนั้นมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาครึ้ม ก็มีนกกามาทำรังอาศัยอยู่มาก ต่างก็ส่งเสียงร้อง เซ็งแซ่อยู่ พวกของเตียซาถือว่าเป็นลางไม่ดี ก็ร้องขึ้นว่าโพยภัยสิ่งใดขอให้สูญหายไป
ลูตีซิมถามว่ามีเหตุผลอันใด เจ้าคนร้องก็บอกว่านกการ้องเซ็งแซ่ โบราณว่าจะมีเหตุให้ทุ่มเถียงกัน ลูตีซิมก็ว่าถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปไล่นกทำลายรังเสีย มันจะได้หยุดร้อง พวกเหล่านั้นก็ขึ้นต้นไม้ไม่ได้เพราะลำต้นใหญ่มาก ลูตีซิมก็ว่าแค่รังนกกาก็ทำลายไม่ได้ ว่าแล้วก็ใช้พละกำลังถอนต้นไม้ขึ้นจากดินวางให้นอนลง นกกาก็แตกตื่นตกใจบินหนีไปหมด
กลุ่มอันธพาลทั้งหลายก็สรรเสริญว่าลูตีซิมนี้มีกำลังหนักหนา เห็นจะเป็นดาวบนฟ้าลงมาเกิด ลูตีซิมเลยคุยต่อไปว่าเจ้าเหล่านี้ยังไม่เห็นฝีมือเรา แล้วก็สั่งให้ลิ่วล้อไปเอาไม้เท้าเหล็กมาจะรำเพลงอาวุธให้ดู พวกนั้นยกไม้เท้าไม่ขึ้น ลูตีซิมก็หัวเราะว่าไม้เท้าของเรานี้หนักเพียงหกสิบชั่งเท่านั้นเอง ว่าแล้วก็เอาไม้เท้ามารำเพลงอาวุธอวดแก่พวกพ้อง จนอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน
ขณะที่หลวงจีนลูตีซิมกำลังรำเพลงอาวุธอวดลูกน้องอยู่นั้น มีชายคนหนึ่งแวะมายืนดูอยู่ด้วยแล้วชมว่า หลวงจีนองค์นี้ฝีมือเข้มแข็งยากที่ใครจะสู้ได้ ลูตีซิมก็หยุดรำวางไม้เท้าถามว่าท่านเป็นใคร ลูกน้องก็ตอบแทนว่าเป็นครูฝึกทหารถึงแปดสิบหมื่น อยู่ในเมืองหลวงนี้ มีชื่อว่า ลิมชอง ลูตีซิมจึงเชิญนั่งแล้วโอภาปราศรัยไต่ถามกันและกัน
ลูตีซิมเล่าประวัติของตนที่แล้วมาให้ฟังโดยตลอด แล้วบอกว่าเคยได้ยินชื่อเสียงบิดาลิมชองอยู่ ทั้งคู่ก็สนทนากันอย่างสนิทสนม ลิมชองบอกว่าวันนี้พาภรรยากับคนใช้มาไหว้เจ้าที่ศาลใกล้แถวนี้ แต่ให้ภรรยากับคนใช้เดินไปก่อน เพราะอยากจะชมฝีมือท่าน เดี๋ยวจึงจะตามไป
พอดีคนใช้วิ่งกลับมาบอกว่า ภรรยาของลิมชองมีเรื่องราวกับคนที่ศาลเจ้า ลิมชองจึงลาลูตีซิมรีบไปที่ศาลเจ้าตังงักตี
ลูตีซิมก็ฉวยไม้เท้านำพวกพ้องตามไปถึงที่เกิดเหตุ พบลิมชองกับภรรยา ถามว่าจะไปไหนกัน ก็บอกว่าจะมาช่วยปราบคนพาลเกเรให้ ลิมชองก็ขอร้องว่าไม่อยากให้มีเรื่องราวใหญ่โต เพราะคนที่มาหยอกเย้าภรรยานั้น คือ กอเงไหล บุตรเลี้ยงของ กอกิว ขุนนางนายทหารใหญ่ที่กอไทอวย ผู้บัญชาการทหารทั้งปวงของเมืองตังเกีย โดยไม่รู้ว่าเป็นภรรยาของตน บัดนี้เข้าใจกันแล้ว ลูตีซิมจึงพาพรรคพวกกลับสวนผักของตน
ตั้งแต่นั้นมาลูตีซิมกับลิมชองก็คบหาสมาคมกัน เป็นที่รักใคร่สนิทสนม กินโต๊ะสุราอาหารกันทุกวันมิได้ขาด วันหนึ่งขณะกลับจากเสพสุราจะกลับบ้าน มีคนขายกระบี่เข้ามาถามว่า มีกระบี่วิเศษอยู่เล่มหนึ่งจะขายให้ ลิมชองสนใจก็ขอดูแล้วส่งให้ลูตีซิมช่วยดูด้วย ลูตีซิมก็ว่าเป็นของดีจงซื้อไว้เถิด ลิมชองถามว่าราคาเท่าใด คนขายบอกว่าสามพันตำลึง แล้วก็ลดให้เหลือสองพันตำลึง ลิมชองต่อจนเหลือเพียงพันตำลึง จึงตกลงซื้อไว้แล้วก็แยกทางกันกลับบ้าน
ต่อมาไม่นานลูตีซิมได้ข่าวว่า ลิมชองถูกกอไทอวยกลั่นแกล้ง กล่าวหาว่าถือกระบี่เข้าไปในที่พำนักของตนเพื่อจะทำร้าย จึงเอาตัวไปจำคุก แล้วเนรเทศไปอยู่เมืองชองจิว ก็คิดจะช่วยเหลือ จึงมาดักอยู่ตามทางที่จะต้องผ่าน พอผู้คุมสองนายพาตัวลิมชองเดินทางผ่านมาถึงที่เปลี่ยว เตรียมจะฆ่าลิมชองเสีย เพราะได้รับค่าจ้างจากนายทหารคนสนิทของกอไทอวย ลูตีซิม ก็ออกจากที่ซุ่มมาขัดขวางไว้ แล้วร้องตวาดว่า
"……แกล้งพาน้องเรามาฆ่าดังนี้ ชีวิตเจ้าทั้งสองไม่ได้กลับคืนแล้ว....."
ลูตีซิมเงื้อไม้เท้าจะฟาดกระบาลเสีย ผู้คุมทั้งสองกำลังตกตลึง ลิมชองก็ร้องห้ามไว้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่มีความผิดอันใด เพียงแต่ต้องทำตามที่กอไทอวยสั่งมาเท่านั้น ลูตีซิมจึงแก้โซ่ที่มือและเท้าลิมชองออกพยุงให้นั่งพัก แล้วเล่าว่า
".....วันที่น้องซื้อกระบี่แล้วจากกันมา ได้ยินข่าวว่าต้องโทษ ไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใด ครั้นแจ้งว่าเขาจะเนรเทศไปเมืองชองจิวก็ไปหาน้องที่ไคฮองฮู้ก็ไม่พบ ได้ข่าวว่าน้องอยู่ในคุกพี่ก็เที่ยวสืบข่าวไป เห็นชายที่ขายสุราไปเรียกผู้คุมสองคนนี้มาที่โรงสุรา พี่มีความวิตกถึงน้อง กลัวเขาจะคิดอุบายฆ่าเสีย จึงได้ไปแอบฟังที่โรงเตี๊ยม ได้ยินขุนนางนั้นกับผู้คุมสองคนคิดอ่านจะฆ่าน้องให้ตายเสียตามทาง ในขณะนั้นพี่คิดจะฆ่าผู้คุมทั้งสองนี้เสีย เห็นผู้คนมากกลัวจะเกิดความจึงไม่ได้ทำ สู้อดใจไว้ จะช่วยน้องในขณะนั้นไม่ได้ ครั้นแจ้งความถี่ถ้วนแล้ว พี่ออกจากโรงเตี๊ยมรีบมาคอยท่าช่วยน้อง กับ จะฆ่าผู้คุมสองคนเสีย ซึ่งผู้คุมทั้งสองพาน้องมาถึงป่าจะฆ่า พี่จึงออกมาช่วยไว้ เราฆ่าสองคนนี้เสียเถิดหรือ....."
ลิมชองก็ขอบคุณแล้วขอร้องว่าอย่าฆ่าเลย เขาคิดร้ายเพราะนายสั่ง ลูตีซิมจึงให้ผู้คุมทั้งสองพยุงลิมชองซึ่งเท้าพองเดินลำบาก ออกเดินทางพ้นจากป่าไปประมาณห้าลี้ ก็แวะพักที่โรงขายสุรา หาสุราอาหารกิน ผู้คุมอยากจะรู้จักชื่อเอาไว้ฟ้องนายก็ถามดู ลูตีซิมก็ว่า
"....เจ้ามาถามชื่อเราทำไม ซึ่งกอไทอวยนั้น มีคนกลัวมากเราหากลัวไม่ ถ้าแม้นเราได้พบปะกอไทอวยที่ไหนจะทุบเสียให้ตาย ให้สมกับทำข่มเหงน้องเรา ถึงตัวเจ้าทั้งสองก็ทำให้ดี ถ้าทีหลังทำกับน้องเราอีก ชีวิตเจ้าทั้งสองก็ไม่พ้นมือเรา....."
ผู้คุมทั้งสองก็ไม่กล้าตอแยต่อไปอีก เมื่ออิ่มหนำดีแล้ว ลูตีซิมก็พาทั้งหมดเดินทางต่อไป ลิมชองถามว่าพี่จะไปไหนด้วยหรือ ลูตีซิมตอบว่า
"....ฆ่าคนต้องให้เห็นโลหิตคิดจะช่วยก็ต้องช่วยให้ตลอด พี่มาช่วยน้องแล้วจะต้องไปส่งให้ถึงเมืองชองจิว…….."
แล้วก็เดินทางไปอีกสิบเจ็ดวัน จึงถึงชานเมืองชองจิว มีบ้านเรือนผู้คนแน่นหนาไม่เป็นป่าเปลี่ยวเหมือนที่ผ่านมา ลูตีซิมก็จะขอแยกทางกลับ จึงมอบเงินไว้ให้ลิมชองสิบตำลึง และ ให้ผู้คุมทั้งสองสามตำลึง กำชับให้พาตัวลิมชองไปส่งให้เรียบร้อย แล้วก็แสดงกำลังเอาไม้เท้าเหล็กหวดกับต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ขาดเป็นสองท่อนเหมือนฟันด้วยมีด แถมท้ายว่าถ้าเจ้าทำอันตรายน้องเรา ตัวเจ้าสองคนก็คงเหมือนต้นไม้นี้ แล้วก็ลาลิมชองกลับไปเมืองตังเกีย
ต่อมากอไทอวยรู้เรื่องจากผู้คุมทั้งสองที่กลับมาแล้ว ก็สั่งให้คนไปเที่ยวหาตัวลูตีซิม มาลงโทษ ลูตีซิมจึงหนีออกจากสวนผักของวัดไต้เซียงก๊กยี่เดินทางไปถึงเมืองเชงจิว ขณะที่พักเสพสุราอยู่ที่โรงแห่งหนึ่งถูกภรรยาเจ้าของโรงสุราชื่อ ซึงยีเหนีย เอายาเบื่อใส่สุราให้กินจนสลบไป นางจึงมัดไว้และริบเอาเงินทองไปหมด แล้วจะได้ฆ่าเสีย แต่ยังเคราะห์ดีสามีของนางชื่อ เตียเชง เกิดถูกชตาจึงห้ามภรรยาไว้
เมื่อแก้ไขฟื้นขึ้นไต่ถามชื่อแซ่แล้วก็พูดจาสาบานเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองผัวเมียเป็นผู้มีฝีมือเข้มแข็ง จึงได้พักอาศัยอยู่ด้วยสี่ห้าวัน แล้วก็เดินทางต่อมาถึงวัดเขายีเลงซัว ตั้งใจจะขอพักอาศัยอยู่ด้วย แต่หลวงจีนหัวหน้าวัดไม่ยอมรับ จึงเกิดสู้รบกันขึ้น หัวหน้าวัดสู้ไม่ได้ โดนลูตีซิม เหยียบอกไว้จะฆ่าเสีย แต่พวกลูกวัดเข้ามาช่วยแก้ไขทัน แล้วก็พากันเข้าไปอยู่ข้างในปิดประตูเสีย
แน่นหนา
ลูตีซิมพังเข้าไปไม่ได้ จึงถอยออกมานั่งพักอยู่ที่โคนต้นไม้