**ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ**
T2 | Trainspotting 2
ภาคต่อหนังแก๊งเพื่อนขี้ยาสารเล/วที่แทบจะก็อปปี้ซีนขายและสไตล์จากภาคแรกมาหมด ลดดีกรีความห่ามลง เลยเป็นบทสรุปที่จืดเจื่อนไปนิด
ชั้นเชิงการเล่าเรื่องของแดนนี บอ์ลย แม้ไม่วุ่นวายซับซ้อนแต่ก็ชวนให้ขบคิดในทุกๆซีน สำหรับคนดูจำเป็นที่จะต้องเคยดูภาคแรกมาก่อน เพราะตัวหนังภาคต่อเองก็ทำจากหนังสือเล่มต่อของ Triansportting ฉบับนิยายเช่นกัน นั่นคือ Porno ของ Irvine Welsh ซึ่งในส่วนของตัวหนังนั้น มีการเล่าถึงเหตุการณ์จากภาคแรกค่อนข้างเยอะ ถึง เหตุผลที่เคืองแค้น เหตุผลที่ยังคงรัก และเหตุผลที่กลับมา
ภาคนี้เล่าเรื่องหลังจากภาคแรก 20 ปี แต่ละคนต่างมีชีวิตของตัวเอง แล้วมีเหตุการณ์นำพาให้มารวมแก๊งกันอีกครั้ง แต่นี่ไม่หนังรียูเนียนเพื่อนวัยเฮ้วธรรมดาแบบหนังเรื่องอื่น ที่จะเต็มไปด้วยมิตรภาพและฉากชวนซึ้ง กลับกัน มันเต็มไปด้วยความอึดอัด น่าหวาดหวั่น และรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง แม้จะมีซีนขำๆแทรกมาตลอดก็ตามที แต่เรากลับชอบการที่หนังแสดงให้เห็นว่า 20 ปีมันนานมากพอจะเปลี่ยนอะไรๆในชีวิตคนหนึ่งได้มากขนาดไหน
ส่วนที่งานกำกับทำได้ดีคือ การคงสเน่ห์ทางการแสดงของแต่ละคาแร็คเตอร์ไว้ ที่จริงตัวละครในเรื่องมันไม่ควรจะเป็นตัวละครที่เรารักหรือคิดถึง แต่พอได้เห็นการรวมตัวของพวกเขา เราก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาจริงๆ คิดถึงการนอนพี้ยาด้วยกันบนพื้นห้อง คิดถึงการวิ่งหนีตำรวจ คิดถึงการสบถด่ากันอย่างหยาบคาย คิดถึงการต่อยตีจนร้านพังพินาศ แม้จะเป็นเรื่องราวเลวๆ แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกอินกับสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและแนบแน่นของเพื่อนกลุ่มนี้
มุมมองของเหล่าตัวละครในหนังภาคแรก คือ การพูดถึง "Choose Life" หรือชีวิตที่ต้องเลือก การเกิดมาแล้วต้องเลือกทุกอย่างในชีวิต เลือกที่จะทำแบบนั้น เลือกสิ่งนี้ เลือกที่จะดีกว่านี้ เลือกที่จะทำไอ้นี่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลกับสิ่งนี้ แต่ต้องกังวลกับสิ่งนั้นแทน ใดๆก็ตาม เรนท์ (Ewan Mcgragor) มองว่ามันเป็นหนทางที่บัดซบ และเขาเลือกที่จะไม่เลือกห่านอะไรเลย แล้วขอหลุดพ้นจากทุกสิ่งด้วยการพี้ยาต่อไป
ที่จริงการเลือกและแนวความคิดของ เรนท์ นั้นคล้ายกับ คริส แมคแคนเลส ใน Into The Wild อยู่บ้าง คือเบื่อกฏเกณฑ์ ทุนนิยม ระบอบสังคม และความสัมพันธ์ เลยเลือกที่จะทิ้งทั้งหมด ไม่สนอะไรทั้งสิ้น คริสหนีเข้าป่า แต่เรนท์ เลือกพี้ยาแทน (Into The Wild สร้างจากเหตุการณ์จริง แต่ Trainspotting เป็นเรื่องแต่ง)
เหตุที่ต้องเทียบแบบนั้น เพราะแนวคิดนี้มันถูกเปลี่ยนได้เมื่อเราเติบโตขึ้น และยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้น แม้ถูกเหวี่ยงกลับมาในโลกที่เรากลายเป็นพวกขี้แพ้ แต่เราก็ยังต้องดิ้นรนทำทุกอย่างให้มีชีวิตรอดในสังคมแบบทุกวันนี้ ใน T2 แนวคิด Choose Life ถูกนำมาพูดใหม่ในท่าทีที่เกรี้ยวกราดกว่าเดิม และมันยิ่งทำให้เราสะท้อนใจว่า แม้จะผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด สิ่งที่เปลี่ยนก็มีแค่ เรื่องที่เราต้อง "เลือก" มันมีมากขึ้นเท่านั้นเอง
แฟน Trainspotting อาจกรี๊ดกับภาคต่อนี้มาก เพราะมันขนซีนขายเดิมๆจากภาคแรกมาเกือบทั้งหมด ฉากหลังในความทรงจำ ที่ที่เคยยืน ที่ที่เคยไปด้วยกัน แม้แต่การตัดต่อ หรือสัญญะอะไรต่อมิอะไรก็มาครบถ้วน รวมทั้งตัวละครสำคัญเกือบทั้งหมดในภาคแรกด้วย แม้แต่ตัวละครที่ตายไปแล้วก็ตาม
Ewen Bremmer (Spud) กับ Robert Carlyle (Franco) มอบการแสดงที่เป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดของหนัง โคตรเก่งงงงงงงงงเลย พลัง 80% ของหนังมาจากการแสดงของ 2 คนนี้ เรนท์กับซิกบอย นี่หงอยไปเลย อิอิ
T2 จึงไม่ใช่แค่การรียูเนียนของกลุ่มเพื่อนรัก แต่มันเป็นการสะสางเรื่องราวทั้งหมด ความสัมพันธ์ที่เคยผิดเพี้ยนจะต้องถูกปรับให้เข้าที่ เพื่อนคนที่เคยไม่สำคัญ จะกลายมาเป็นคนสำคัญที่สุด และบทสรุปของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกัน 20 ปี มันจะเป็นการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เคยพังไปแล้วเท่านั้น
หากใครเคยอ่านการ์ตูนนักเลงของญี่ปุ่น (เช่น อีกา) จะพบว่ามันให้แง่คิดและบทสรุปที่คล้ายๆกัน คือ แม้ตอนวัยรุ่น สมัยเรียนในโรงเรียน เราจะเป็นหัวหน้าแก๊งโฉดชั่ว มีลูกน้องเป็นร้อย อวดดีอวดเก่งไปตีกับโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้มามากแค่ไหน แต่หลังจากเราเรียนจบ โลกแห่งความจริงมันพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น จากคนเคยเจ๋งที่สุดในโรงเรียน ไปที่ไหนใครก็กลัวเกรง คุณจะกลายมาเป็นแค่พนักงานออฟฟิสที่ต้องก้มหัวให้เจ้านาย ทำงาน 9 ชั่วโมงต่อวันเพื่อเงินเดือนอันน้อยนิดแต่ก็มากพอจะหาความสุขเล็กๆให้ชีวิตได้ แต่นั่นคือชีวิต แม้อะไรจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่เราก็ต้องอยู่ต่อให้ได้..
เพราะบางครั้งคุณคิดว่ามันจบแล้ว
แต่จริงๆมันอาจพึ่งเริ่มต้น...
FB Page : www.facebook.com/poprockonfilm
Twitter : @alfredpoprock
T2 | Trainspotting 2 การพบกันอีกครั้งของกลุ่มเพื่อนลัก
T2 | Trainspotting 2
ภาคต่อหนังแก๊งเพื่อนขี้ยาสารเล/วที่แทบจะก็อปปี้ซีนขายและสไตล์จากภาคแรกมาหมด ลดดีกรีความห่ามลง เลยเป็นบทสรุปที่จืดเจื่อนไปนิด
ชั้นเชิงการเล่าเรื่องของแดนนี บอ์ลย แม้ไม่วุ่นวายซับซ้อนแต่ก็ชวนให้ขบคิดในทุกๆซีน สำหรับคนดูจำเป็นที่จะต้องเคยดูภาคแรกมาก่อน เพราะตัวหนังภาคต่อเองก็ทำจากหนังสือเล่มต่อของ Triansportting ฉบับนิยายเช่นกัน นั่นคือ Porno ของ Irvine Welsh ซึ่งในส่วนของตัวหนังนั้น มีการเล่าถึงเหตุการณ์จากภาคแรกค่อนข้างเยอะ ถึง เหตุผลที่เคืองแค้น เหตุผลที่ยังคงรัก และเหตุผลที่กลับมา
ภาคนี้เล่าเรื่องหลังจากภาคแรก 20 ปี แต่ละคนต่างมีชีวิตของตัวเอง แล้วมีเหตุการณ์นำพาให้มารวมแก๊งกันอีกครั้ง แต่นี่ไม่หนังรียูเนียนเพื่อนวัยเฮ้วธรรมดาแบบหนังเรื่องอื่น ที่จะเต็มไปด้วยมิตรภาพและฉากชวนซึ้ง กลับกัน มันเต็มไปด้วยความอึดอัด น่าหวาดหวั่น และรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง แม้จะมีซีนขำๆแทรกมาตลอดก็ตามที แต่เรากลับชอบการที่หนังแสดงให้เห็นว่า 20 ปีมันนานมากพอจะเปลี่ยนอะไรๆในชีวิตคนหนึ่งได้มากขนาดไหน
ส่วนที่งานกำกับทำได้ดีคือ การคงสเน่ห์ทางการแสดงของแต่ละคาแร็คเตอร์ไว้ ที่จริงตัวละครในเรื่องมันไม่ควรจะเป็นตัวละครที่เรารักหรือคิดถึง แต่พอได้เห็นการรวมตัวของพวกเขา เราก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาจริงๆ คิดถึงการนอนพี้ยาด้วยกันบนพื้นห้อง คิดถึงการวิ่งหนีตำรวจ คิดถึงการสบถด่ากันอย่างหยาบคาย คิดถึงการต่อยตีจนร้านพังพินาศ แม้จะเป็นเรื่องราวเลวๆ แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกอินกับสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและแนบแน่นของเพื่อนกลุ่มนี้
มุมมองของเหล่าตัวละครในหนังภาคแรก คือ การพูดถึง "Choose Life" หรือชีวิตที่ต้องเลือก การเกิดมาแล้วต้องเลือกทุกอย่างในชีวิต เลือกที่จะทำแบบนั้น เลือกสิ่งนี้ เลือกที่จะดีกว่านี้ เลือกที่จะทำไอ้นี่เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลกับสิ่งนี้ แต่ต้องกังวลกับสิ่งนั้นแทน ใดๆก็ตาม เรนท์ (Ewan Mcgragor) มองว่ามันเป็นหนทางที่บัดซบ และเขาเลือกที่จะไม่เลือกห่านอะไรเลย แล้วขอหลุดพ้นจากทุกสิ่งด้วยการพี้ยาต่อไป
ที่จริงการเลือกและแนวความคิดของ เรนท์ นั้นคล้ายกับ คริส แมคแคนเลส ใน Into The Wild อยู่บ้าง คือเบื่อกฏเกณฑ์ ทุนนิยม ระบอบสังคม และความสัมพันธ์ เลยเลือกที่จะทิ้งทั้งหมด ไม่สนอะไรทั้งสิ้น คริสหนีเข้าป่า แต่เรนท์ เลือกพี้ยาแทน (Into The Wild สร้างจากเหตุการณ์จริง แต่ Trainspotting เป็นเรื่องแต่ง)
เหตุที่ต้องเทียบแบบนั้น เพราะแนวคิดนี้มันถูกเปลี่ยนได้เมื่อเราเติบโตขึ้น และยอมรับความเป็นจริงได้มากขึ้น แม้ถูกเหวี่ยงกลับมาในโลกที่เรากลายเป็นพวกขี้แพ้ แต่เราก็ยังต้องดิ้นรนทำทุกอย่างให้มีชีวิตรอดในสังคมแบบทุกวันนี้ ใน T2 แนวคิด Choose Life ถูกนำมาพูดใหม่ในท่าทีที่เกรี้ยวกราดกว่าเดิม และมันยิ่งทำให้เราสะท้อนใจว่า แม้จะผ่านมา 20 ปีแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิด สิ่งที่เปลี่ยนก็มีแค่ เรื่องที่เราต้อง "เลือก" มันมีมากขึ้นเท่านั้นเอง
แฟน Trainspotting อาจกรี๊ดกับภาคต่อนี้มาก เพราะมันขนซีนขายเดิมๆจากภาคแรกมาเกือบทั้งหมด ฉากหลังในความทรงจำ ที่ที่เคยยืน ที่ที่เคยไปด้วยกัน แม้แต่การตัดต่อ หรือสัญญะอะไรต่อมิอะไรก็มาครบถ้วน รวมทั้งตัวละครสำคัญเกือบทั้งหมดในภาคแรกด้วย แม้แต่ตัวละครที่ตายไปแล้วก็ตาม
Ewen Bremmer (Spud) กับ Robert Carlyle (Franco) มอบการแสดงที่เป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดของหนัง โคตรเก่งงงงงงงงงเลย พลัง 80% ของหนังมาจากการแสดงของ 2 คนนี้ เรนท์กับซิกบอย นี่หงอยไปเลย อิอิ
T2 จึงไม่ใช่แค่การรียูเนียนของกลุ่มเพื่อนรัก แต่มันเป็นการสะสางเรื่องราวทั้งหมด ความสัมพันธ์ที่เคยผิดเพี้ยนจะต้องถูกปรับให้เข้าที่ เพื่อนคนที่เคยไม่สำคัญ จะกลายมาเป็นคนสำคัญที่สุด และบทสรุปของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกัน 20 ปี มันจะเป็นการเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เคยพังไปแล้วเท่านั้น
หากใครเคยอ่านการ์ตูนนักเลงของญี่ปุ่น (เช่น อีกา) จะพบว่ามันให้แง่คิดและบทสรุปที่คล้ายๆกัน คือ แม้ตอนวัยรุ่น สมัยเรียนในโรงเรียน เราจะเป็นหัวหน้าแก๊งโฉดชั่ว มีลูกน้องเป็นร้อย อวดดีอวดเก่งไปตีกับโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้มามากแค่ไหน แต่หลังจากเราเรียนจบ โลกแห่งความจริงมันพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น จากคนเคยเจ๋งที่สุดในโรงเรียน ไปที่ไหนใครก็กลัวเกรง คุณจะกลายมาเป็นแค่พนักงานออฟฟิสที่ต้องก้มหัวให้เจ้านาย ทำงาน 9 ชั่วโมงต่อวันเพื่อเงินเดือนอันน้อยนิดแต่ก็มากพอจะหาความสุขเล็กๆให้ชีวิตได้ แต่นั่นคือชีวิต แม้อะไรจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่เราก็ต้องอยู่ต่อให้ได้..
เพราะบางครั้งคุณคิดว่ามันจบแล้ว
แต่จริงๆมันอาจพึ่งเริ่มต้น...
FB Page : www.facebook.com/poprockonfilm
Twitter : @alfredpoprock