ตอนนีเรากำลังทบทวนการดำเนินชีวิตใหม่
กำลังคิดที่จะปรับตั้งค่าใหม่
เพราะทุกวันนี้เราเฝ้ารอแต่คำว่าเงินเดือน โบนัส เงินพิเศษ ซึ้งอยุ่บนความหวังที่ต้องคอยกังวลว่าจะเป็นดั่งที่หวังไหม
เราทำงานในบริษัทที่มีนักลงทุนเป็นชาวต่างชาติ ถือว่าเป็นบริษัททื่ใหญ่ ด้านอสังหาริมทรัพย์ ต้นทุนในแต่ละที่ไม่ต่ำกว่า 4,000,000,000 บาท
ที่น่าแปลกใจ ทรัพย์กรในออฟฟิตกลับมีจำนวน เพียง 5-6 คน ภาระหน้าที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนกลับต้องเรียนรุ้และสามารถทำงานของแต่คนได้
เขาฉลาดที่จะเลือกจ่ายค่าตอบแทนที่สูง เพื่อแลกกับการจ้างคนให้น้อยลง
เราทำงานที่นี้มาตั้งแต่โครงการยังไม่ขึ้น บางครั้งทำให้คิดว่าการที่จะเปลี่ยนงานหรือตัดสินใจบางอย่าง ต้องฉุดขึ้นหนักกว่าในหลายๆที่ที่เคยผ่านมา เพราะมีแรงจูงใจคือเงินเดือน ที่หาได้ยากในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
จริงอยู่การเป็นพนักงานในออฟฟิตไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องกลัวว่างบการเงินจะขาดทุนไหม เพราะสินเดือนมาก็ได้ตัวเลขที่แน่นอนอยู่แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่เรากำลังมองว่าเรากำลังเสียไปกับการ มาทั้งทำงานเต็มวัน เจอแรงกดดันจากภาระหน้าที่ หัวหน้า ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน ถามว่าคุ้มไหมกับค่าตอบแทนที่ได้ โอเคมันคุ้ม
แต่รู้ไหมสิ่งที่เราเสียไปคืออะไร สำหรับเราเสียสุขภาพจิตที่ดีไป เพราะเวลาเราเหนื่อยจากงาน หรือในวันนึงเราเจอปัญหาที่ต้องคอยแก้ มันทำให้เราเหนื่อล้า มันส่งผลลามไปจนถึงลูก ทุกอย่างรู้สึกเหนื่อยไปหมด เพียงแค่,ลูกเข้ามาอ้อน เรากลับหงุดหงิดเพราะอยากพักผ่อน เราไม่มีเวลากินข้าวเย็นกับครอบครัว แม้กระทั้งวันหยุดเพียง 1 วัน ต่อ อาทิตย์ ก็หมดไปกับคำว่า ซักผ้า เก็บบ้าน เราแทบไม่ได้พักผ่อน
เราเสียเวลาที่สร้างความสุข เราเสียเวลาที่อยู่กับครอบครัว ใช่ทุกคนบอกว่าเรามีเวลาเท่ากันหมด ทำไมไม่รู้จักบริหารเวลาให้เป็น เราก็อยากจะบอกว่า เวลาเท่ากัน แต่การใช้เวลาของเราไม่เหมือนกัน
ในขณะที่คุณนั่งดื่มกาแฟ เราอาจจะกำลังเร่งรีบแต่งตัวลูก หาข้าวให้ลูกก่อนไปโรงเรียน เห็นไหมเพียงเท่านี้เราก็ใช้เวลาในตอนเช้าไม่เหมือนกัน
เราจึงมองว่าการเป็นพนักงานในออฟฟิตกินเวลาในการดำเนินชีวิตของเรามากเกินไป หากจะต้องศูนย์เงินในจำนวนนึงไป เพื่อแลกกับความสุข แลกกับสุขภาพจิตที่ดี เราว่าเราพร้อมแล้วน่ะ อยู่แบบพอดี อยู่แบบแข่งขันกับความสุขมากกว่าสังคมที่บีบรัด ค่าความสุขด้วยเงินตราและฐานะของบุคคล
มีใครเบื่อชีวิตมนุษย์เงินเดือนเหมือนเราบ้าง
กำลังคิดที่จะปรับตั้งค่าใหม่
เพราะทุกวันนี้เราเฝ้ารอแต่คำว่าเงินเดือน โบนัส เงินพิเศษ ซึ้งอยุ่บนความหวังที่ต้องคอยกังวลว่าจะเป็นดั่งที่หวังไหม
เราทำงานในบริษัทที่มีนักลงทุนเป็นชาวต่างชาติ ถือว่าเป็นบริษัททื่ใหญ่ ด้านอสังหาริมทรัพย์ ต้นทุนในแต่ละที่ไม่ต่ำกว่า 4,000,000,000 บาท
ที่น่าแปลกใจ ทรัพย์กรในออฟฟิตกลับมีจำนวน เพียง 5-6 คน ภาระหน้าที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนกลับต้องเรียนรุ้และสามารถทำงานของแต่คนได้
เขาฉลาดที่จะเลือกจ่ายค่าตอบแทนที่สูง เพื่อแลกกับการจ้างคนให้น้อยลง
เราทำงานที่นี้มาตั้งแต่โครงการยังไม่ขึ้น บางครั้งทำให้คิดว่าการที่จะเปลี่ยนงานหรือตัดสินใจบางอย่าง ต้องฉุดขึ้นหนักกว่าในหลายๆที่ที่เคยผ่านมา เพราะมีแรงจูงใจคือเงินเดือน ที่หาได้ยากในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้
จริงอยู่การเป็นพนักงานในออฟฟิตไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องกลัวว่างบการเงินจะขาดทุนไหม เพราะสินเดือนมาก็ได้ตัวเลขที่แน่นอนอยู่แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่เรากำลังมองว่าเรากำลังเสียไปกับการ มาทั้งทำงานเต็มวัน เจอแรงกดดันจากภาระหน้าที่ หัวหน้า ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน ถามว่าคุ้มไหมกับค่าตอบแทนที่ได้ โอเคมันคุ้ม
แต่รู้ไหมสิ่งที่เราเสียไปคืออะไร สำหรับเราเสียสุขภาพจิตที่ดีไป เพราะเวลาเราเหนื่อยจากงาน หรือในวันนึงเราเจอปัญหาที่ต้องคอยแก้ มันทำให้เราเหนื่อล้า มันส่งผลลามไปจนถึงลูก ทุกอย่างรู้สึกเหนื่อยไปหมด เพียงแค่,ลูกเข้ามาอ้อน เรากลับหงุดหงิดเพราะอยากพักผ่อน เราไม่มีเวลากินข้าวเย็นกับครอบครัว แม้กระทั้งวันหยุดเพียง 1 วัน ต่อ อาทิตย์ ก็หมดไปกับคำว่า ซักผ้า เก็บบ้าน เราแทบไม่ได้พักผ่อน
เราเสียเวลาที่สร้างความสุข เราเสียเวลาที่อยู่กับครอบครัว ใช่ทุกคนบอกว่าเรามีเวลาเท่ากันหมด ทำไมไม่รู้จักบริหารเวลาให้เป็น เราก็อยากจะบอกว่า เวลาเท่ากัน แต่การใช้เวลาของเราไม่เหมือนกัน
ในขณะที่คุณนั่งดื่มกาแฟ เราอาจจะกำลังเร่งรีบแต่งตัวลูก หาข้าวให้ลูกก่อนไปโรงเรียน เห็นไหมเพียงเท่านี้เราก็ใช้เวลาในตอนเช้าไม่เหมือนกัน
เราจึงมองว่าการเป็นพนักงานในออฟฟิตกินเวลาในการดำเนินชีวิตของเรามากเกินไป หากจะต้องศูนย์เงินในจำนวนนึงไป เพื่อแลกกับความสุข แลกกับสุขภาพจิตที่ดี เราว่าเราพร้อมแล้วน่ะ อยู่แบบพอดี อยู่แบบแข่งขันกับความสุขมากกว่าสังคมที่บีบรัด ค่าความสุขด้วยเงินตราและฐานะของบุคคล