หลายท่านคงสนใจว่าหลังจากนายดอนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดี สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ เป็นอย่างไรบ้าง
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ประมวลการเปลี่ยนแปลงด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ในยุคของนายดอนัลด์ ทรัมป์ ที่ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 และเริ่มรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560
การเปลี่ยนแปลงราคาที่อยู่อาศัย
ราคาที่อยู่อาศัยหลัง ปธน.ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 ปรากฏว่าราคาที่อยู่อาศัยทั่วสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 0.7% พอถึงเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นอีก 0.4% ทำให้ทั้งปี 2559 ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 6.2% ซึ่งน่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ประมาณ 5% ทั้งนี้เป็นข้อมูลจากองค์กรการเงินเคหะการแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Housing Finance Agency)
การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับตำแหน่งของ ปธน.ทรัมป์ เพราะเป็นห้วงของการฟื้นตัวหลังจากภาวะตกต่ำ อาจกล่าวได้ว่าราคาบ้านในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2534 และขึ้นสูงสุดในเดือนมีนาคม 2550 จากนั้นก็ตกต่ำลงมาตามลำดับจึงถึงเดือนเมษายน 2554 หรือกินเวลา 49 เดือน จึงค่อย ๆ กระเตื้องขึ้น อาจกล่าวได้ว่านับแต่เดือนมกราคม 2534 จนถึงปัจจุบัน ราคาบ้านเพิ่มขึ้นปีละ 3.5% นี่อาจถือเป็นอัตรามาตรฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงราคาบ้านในสหรัฐอเมริกา ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามหลังช่วงฟื้นตัว ตั้งแต่มกราคม 2555 จนถึงธันวาคม 2559 ราคาบ้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.2%
การสร้างบ้านใหม่ (Housing Starts)
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 - มกราคม 2560 มีการก่อสร้างบ้านใหม่ทุกประเภทในสหรัฐอเมริกาจำนวน 91,300, 91,400 และ 86,800 หน่วย โดยดูแล้วอาจจะน้อยกว่าช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2559 แต่ทั้งนี้เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว จึงอาจมีการก่อสร้างน้อยกว่าปกติบ้าง ดังนั้นการที่มีการก่อสร้างบ้านใหม่น้อยในยุคที่ นายทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 จึงไม่ได้เกี่ยวกับการการเมืองแต่อย่างใด
อาจกล่าวได้ว่าการขายบ้านในปี 2559 นั้น เป็นการขายบ้านมือสอง 5.49 ล้านหน่วย ขายบ้านมือหนึ่งเพียง 1.226 ล้านหน่วยเท่านั้น กรณีนี้อาจต่างจากประเทศไทยที่ช่วงหนึ่งการซื้อขายบ้านมือหนึ่งอาจมากกว่าบ้านมือสอง แต่ในอนาคต ไทยก็คงคล้ายสหรัฐอเมริกาที่มีการซื้อบ้านมือสองมากกว่าบ้านมือหนึ่ง ราคาบ้านมือสองในสหรัฐอเมริกาเป็นเงินหน่วยละ 232,200 เหรียญสหรัฐ หรือราว 8.127 ล้านบาท (
http://bit.ly/2mk5XeH) ในขณะที่ราคาบ้านเฉลี่ยในประเทศไทยทั่วประเทศก็คงประมาณ 2 ล้านบาท (3 ล้านบาทในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) การขายบ้านปีละ 5.49 ล้านหน่วย ถือเป็น 4.07% ของบ้านทั้งหมดราว 135 ล้านหน่วย (
http://bit.ly/2lop5Eh)
แนวโน้มในปี 2560
อาจกล่าวได้ว่า ปธน.ทรัมป์ ไม่ได้มีนโยบายด้านที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่นโยบายที่เกี่ยวข้องอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้าง (
http://bit.ly/2l0MHTl)
1. เชื่อว่าการก่อสร้างจะมีเพิ่มขึ้น เพราะรัฐบาลพรรครีพับบลิกันเน้นการลงทุนของภาคนายทุนเอกชนมากกว่ารัฐบาลที่แล้ว โดย ปธน.เน้นการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ใจกลางเมืองที่ร้างเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่
2. การลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศจะน้อยลง เนื่องจากนโยบายการกีดกันชาวต่างชาติโดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้อาจมีผู้เข้ามาซื้อที่อยู่อาศ้ยหรือลงทุนทางด้านอื่นน้อยลงไปด้วย
3. การสร้างบ้านใหม่จะมีเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเองตามแนวคิด "American Dream" ที่ส่วนหนึ่งอยู่ที่การมีบ้านเป็นเจ้าของนั่นเอง แต่ในอีกแง่หนึ่งโดยที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น อาจมีการย้ายถิ่นมากขึ้น ค่าเช่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นด้วย
โดยสรุปแล้ว ถ้า ปธน.ทรัมป์สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้นได้จริง อสังหาริมทรัพย์ก็จะเฟื่องฟูแน่นอน เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวแปรตามเศรษฐกิจนั่นเอง
ที่มา:
http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1853.htm
อสังหาฯ สหรัฐฯ หลัง ปธน.ทรัมป์รับตำแหน่ง
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้ประมวลการเปลี่ยนแปลงด้านตลาดอสังหาริมทรัพย์ในยุคของนายดอนัลด์ ทรัมป์ ที่ชนะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 และเริ่มรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2560
การเปลี่ยนแปลงราคาที่อยู่อาศัย
ราคาที่อยู่อาศัยหลัง ปธน.ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 ปรากฏว่าราคาที่อยู่อาศัยทั่วสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น 0.7% พอถึงเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นอีก 0.4% ทำให้ทั้งปี 2559 ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 6.2% ซึ่งน่าจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ประมาณ 5% ทั้งนี้เป็นข้อมูลจากองค์กรการเงินเคหะการแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Housing Finance Agency)
การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการรับตำแหน่งของ ปธน.ทรัมป์ เพราะเป็นห้วงของการฟื้นตัวหลังจากภาวะตกต่ำ อาจกล่าวได้ว่าราคาบ้านในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2534 และขึ้นสูงสุดในเดือนมีนาคม 2550 จากนั้นก็ตกต่ำลงมาตามลำดับจึงถึงเดือนเมษายน 2554 หรือกินเวลา 49 เดือน จึงค่อย ๆ กระเตื้องขึ้น อาจกล่าวได้ว่านับแต่เดือนมกราคม 2534 จนถึงปัจจุบัน ราคาบ้านเพิ่มขึ้นปีละ 3.5% นี่อาจถือเป็นอัตรามาตรฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงราคาบ้านในสหรัฐอเมริกา ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามหลังช่วงฟื้นตัว ตั้งแต่มกราคม 2555 จนถึงธันวาคม 2559 ราคาบ้านเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.2%
การสร้างบ้านใหม่ (Housing Starts)
ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 - มกราคม 2560 มีการก่อสร้างบ้านใหม่ทุกประเภทในสหรัฐอเมริกาจำนวน 91,300, 91,400 และ 86,800 หน่วย โดยดูแล้วอาจจะน้อยกว่าช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2559 แต่ทั้งนี้เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว จึงอาจมีการก่อสร้างน้อยกว่าปกติบ้าง ดังนั้นการที่มีการก่อสร้างบ้านใหม่น้อยในยุคที่ นายทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2559 จึงไม่ได้เกี่ยวกับการการเมืองแต่อย่างใด
อาจกล่าวได้ว่าการขายบ้านในปี 2559 นั้น เป็นการขายบ้านมือสอง 5.49 ล้านหน่วย ขายบ้านมือหนึ่งเพียง 1.226 ล้านหน่วยเท่านั้น กรณีนี้อาจต่างจากประเทศไทยที่ช่วงหนึ่งการซื้อขายบ้านมือหนึ่งอาจมากกว่าบ้านมือสอง แต่ในอนาคต ไทยก็คงคล้ายสหรัฐอเมริกาที่มีการซื้อบ้านมือสองมากกว่าบ้านมือหนึ่ง ราคาบ้านมือสองในสหรัฐอเมริกาเป็นเงินหน่วยละ 232,200 เหรียญสหรัฐ หรือราว 8.127 ล้านบาท (http://bit.ly/2mk5XeH) ในขณะที่ราคาบ้านเฉลี่ยในประเทศไทยทั่วประเทศก็คงประมาณ 2 ล้านบาท (3 ล้านบาทในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) การขายบ้านปีละ 5.49 ล้านหน่วย ถือเป็น 4.07% ของบ้านทั้งหมดราว 135 ล้านหน่วย (http://bit.ly/2lop5Eh)
แนวโน้มในปี 2560
อาจกล่าวได้ว่า ปธน.ทรัมป์ ไม่ได้มีนโยบายด้านที่อยู่อาศัยหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่นโยบายที่เกี่ยวข้องอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้าง (http://bit.ly/2l0MHTl)
1. เชื่อว่าการก่อสร้างจะมีเพิ่มขึ้น เพราะรัฐบาลพรรครีพับบลิกันเน้นการลงทุนของภาคนายทุนเอกชนมากกว่ารัฐบาลที่แล้ว โดย ปธน.เน้นการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ใจกลางเมืองที่ร้างเพราะเศรษฐกิจไม่ดี ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่
2. การลงทุนอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศจะน้อยลง เนื่องจากนโยบายการกีดกันชาวต่างชาติโดยเฉพาะผู้นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้อาจมีผู้เข้ามาซื้อที่อยู่อาศ้ยหรือลงทุนทางด้านอื่นน้อยลงไปด้วย
3. การสร้างบ้านใหม่จะมีเพิ่มขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเองตามแนวคิด "American Dream" ที่ส่วนหนึ่งอยู่ที่การมีบ้านเป็นเจ้าของนั่นเอง แต่ในอีกแง่หนึ่งโดยที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น อาจมีการย้ายถิ่นมากขึ้น ค่าเช่าบ้านก็อาจเพิ่มขึ้นด้วย
โดยสรุปแล้ว ถ้า ปธน.ทรัมป์สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้นได้จริง อสังหาริมทรัพย์ก็จะเฟื่องฟูแน่นอน เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นตัวแปรตามเศรษฐกิจนั่นเอง
ที่มา: http://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement1853.htm