คอลัมน์: หุ้นส่วนประเทศไทย
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2559
“5 ความเสี่ยงหางอ้วน” ต้นเหตุ...หุ้นตกหนัก ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety
เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปแล้วถึงเรื่องความเสี่ยงหางอ้วน (Fat Tail Risk) ซึ่งในที่นี้ก็คือ
เหตุการณ์ที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้น โดยผมขออนุญาตเรียงลำดับจากรุนแรงน้อยสุดไปมากสุด เริ่มจาก เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปแล้วถึงเรื่องความเสี่ยงหางอ้วน (Fat Tail Risk) ซึ่งในที่นี้ก็คือ เหตุการณ์ที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้น โดยผมขออนุญาตเรียงลำดับจากรุนแรงน้อยสุดไปมากสุด เริ่มจาก อันดับที่ 5 ปัญหาการก่อการร้าย ผลต่อ...ตลาดหุ้น และ อันดับที่ 4 Brexit & The next country วันนี้ผมจะขอคุยต่อเลย ดังนี้ครับ
อันดับที่ 3 เฟด...ขึ้นดอกเบี้ย
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ Brexit เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นมาต่างชาติก็เข้ามาทยอยเก็บหุ้นบ้านเราคิดเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นบ้านเรามีความผันผวนสูงขึ้นไปอีก เพราะเงินร้อนของต่างชาติพร้อมที่จะไหลไปที่อื่นหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าไว้ว่างใจ โดยเฉพาะเหตุการณ์คลุมเครือที่ผ่านมาแล้วหลายปีและคอยหลอกหลอนนักลงทุนชาวไทยนั่นคือ “เมื่อไร? เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก”
การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ถือได้ว่าเป็นความเสี่ยงหางอ้วนของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจของทั้งโลกยังอยู่ช่วงเปราะบาง เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ญี่ปุ่นและฟากฝั่งยูโรโซนยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อจูงใจให้นักลงทุนลงทุนสร้างโรงงานสร้างงานให้แก่ผู้คนกันอย่างแท้จริง หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยจริงๆก็จะทำให้เงินทุนระหว่างประเทศไหลกลับไปเข้าสหรัฐอเมริกา ก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศในการลงทุนของโลกเริ่มไม่สดใสอีกครั้งหนึ่ง
การประชุมเฟดในรอบต่อไปคือ วันที่ 20 – 21 กันยายนนี้ ซึ่งในขณะที่คุณผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คงจะประกาศออกมาแล้ว แต่การประชุมในปีนี้ยังไม่หมดครับ ยังเหลืออีก 2 ครั้งคือ วันที่ 1-2 พฤศจิกายน และวันที่ 13-14 ธันวาคม 2559
จดบันทึกไว้ให้ดีนะครับ เพราะ “ความเสี่ยงหางอ้วน” ตัวนี้ ยังคงจะมาเยี่ยมเยียนเราอีกหลายปี
อันดับที่ 2 หนี้ก้อนโตใต้พรมของจีน...รอเวลาระเบิด
สิ้นไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา หนี้สินของประเทศจีนทั้งประเทศไต่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 237% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP) ระดับหนี้ที่สูงมากนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นกลับไม่ใช่จำนวนหนี้สินก้อนมหึมา แต่กลับเป็นอัตราความเร็วในการก่อหนี้ของจีนต่างหาก หากเราย้อนกลับไปตรวจดูขนาดหนี้สินของจีนในสิ้นปี 2550 จะพบว่าในขณะนั้นหนี้สินของจีนอยู่ที่ 148% ของจีดีพีเท่านั้นเอง
หนักที่สุดคือ...ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน หากเราลองถอดจีดีพีของจีนออกมาเป็นส่วนๆ เราจะพบว่าประกอบไปด้วย ภาคอสังหาริมทรัพย์ 15% การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ 15% การจ้างงานในเมือง 15% และการกู้ยืมสถาบันการเงินอีก 15%
ถ้าเป็นแค่นี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่น่าจะมีบทบาทมากจนทำให้จีนมีปัญหามากมายขนาดนี้ ในความเป็นจริง หากภาคอสังหาฯ เกิดมีปัญหาขึ้นมา อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ผูกพันกับอุตสาหกรรมอื่นๆและการจ้างงานเป็นจำนวนมาก เวลามันมีปัญหาขึ้นมา มันจึงส่งผลเป็นเท่าทวีคูณต่อภาคอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ต่อเศรษฐกิจของจีนและประชาชนเป็นจำนวนมาก
ภาพบน: ไม่ใช่...ปารีส แต่เป็นเมืองเทียนตูเฉิง (ใกล้หังโจว) หนึ่งใน Ghost City ของจีน
ข้อมูลที่ได้จากสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนคาดการณ์ว่า
ในเวลานี้จีนมีบ้านเก่าและบ้านสร้างใหม่รวมแล้วสามารถรองรับประชากรเข้าไปอยู่อาศัยได้ถึง 3.4 พันล้านคน ในขณะที่จีนมีจำนวนประชากรทั้งประเทศเพียง 1.4 พันล้านคน แล้วที่อยู่อาศัยที่เกินมาที่จะพอรองรับจำนวนคนตั้ง 2 พันล้านคนไปไหนล่ะ?
คำตอบก็คือ ส่วนใหญ่ได้กลายเป็น...เมืองผี (Ghost Cities) ไปหมดแล้ว และก็ทำให้เกิดหนี้เสียในภาคสถาบันการเงินของจีนเพิ่มขึ้นทุกวัน และได้กลายเป็น “ระเบิดเวลา” รอเวลาที่จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง จึงนับได้ว่าหนี้เสียของจีนเป็น “ความเสี่ยงหางอ้วน” อันดับที่ 2 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
อันดับที่ 1 ทรัมป์...จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
บริษัทวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์อ็อกฟอร์ดอีโคโนมิคส์ (Oxford Economics) ออกมาคาดการณ์ว่า
หากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็จะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกามีแนวโน้มที่จะหดตัวลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับจีดีพีของสหรัฐอเมริกาที่ประมาณ 17 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นมากกว่า 5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
ทรัมป์สัญญาว่า จะฟื้นฟูคำว่า “Made in USA” ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยยกตัวอย่าง แอปเปิ้ล ที่มีการผลิตไอโฟนและอุปกรณ์อื่นๆในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทรัมป์ก็จะเจรจาและให้สิทธิพิเศษ เพื่อให้แอปเปิ้ลตัดสินใจหันกลับมาผลิตภายในประเทศให้จงได้ แค่ข่าวนี้ออกไปเพียงข่าวเดียว ก็ทำให้หุ้นของบริษัทอิเลกทรอนิกส์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแอปเปิ้ลพากันร่วงลงมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงนโยบายห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ การสร้างกำแพงกั้นผู้อพยพจากเม็กซิโกเข้าประเทศ การยุบเขตการค้าเสรี มาตรการภาษีที่จะใช้กีดกันการค้าอย่างเข้มข้น นอกจากนั้นยังจะมีมาตรการเซอร์ไพรส์ที่ออกมาเขย่าขวัญตลาดหุ้นโลกตามสไตล์ของทรัมป์ บริษัทวิจัยอ็อกฟอร์ดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 2560 จะโตประมาณปีละ 2% และจะไต่ถึงระดับ 18.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2564
แต่ถ้าหากทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแล้ว และใช้นโยบายตามที่กล่าวมาข้างต้นจริงๆ ผลกระทบจะทำให้ทั้งโลกมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา..เศรษฐกิจจะอาจจะเติบโตที่ 0% (ไม่เติบโตเลย) ในปี 2562 และนั่นจะทำให้ในปี 2564 ขนาดเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 17.5 ล้านล้านดอลลาร์ ลดไป 1 ล้านล้านดอลลาร์...เทียบกับกรณีที่ทรัมป์ไม่ได้รับเลือก
หนึ่งในคนที่กลัวทรัมป์จะมาเป็นประธานาธิบดีมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ
นักลงทุนและมหาเศรษฐีระดับโลก วอร์เรน บัฟเฟตต์ โดยบัฟเฟตต์ได้พูดถึงทรัมป์ในลักษณะที่ว่า “หากทรัมป์เป็นหุ้น ก็จะเป็นหุ้นที่ไม่คุ้มเสี่ยงเอาเสียเลย” สะท้อนให้เห็นถึงการไม่ยอมรับทรัมป์อย่างชัดเจน
ดังนั้น... ทรัมป์ จึงได้รับเลือกเป็น...ความเสี่ยงหางอ้วน อันดับที่ 1 นั่นคือ ถ้าไม่ได้รับเลือกก็แล้วไป แต่ถ้าได้รับเลือกละก็...ตลาดหุ้นไทยคงเหนื่อยแน่ครับ
หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมที่
www.docotorwe.com
“5 ความเสี่ยงหางอ้วน” ต้นเหตุ...หุ้นตกหนัก ตอนจบ
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2559
“5 ความเสี่ยงหางอ้วน” ต้นเหตุ...หุ้นตกหนัก ตอนจบ
ดร.วีรพงษ์ ชุติภัทร์
วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
www.CsiSociety.com
Add Line: @CsiSociety
เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปแล้วถึงเรื่องความเสี่ยงหางอ้วน (Fat Tail Risk) ซึ่งในที่นี้ก็คือ
เหตุการณ์ที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้น โดยผมขออนุญาตเรียงลำดับจากรุนแรงน้อยสุดไปมากสุด เริ่มจาก เมื่อวานนี้ เราได้คุยกันไปแล้วถึงเรื่องความเสี่ยงหางอ้วน (Fat Tail Risk) ซึ่งในที่นี้ก็คือ เหตุการณ์ที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อตลาดหุ้น โดยผมขออนุญาตเรียงลำดับจากรุนแรงน้อยสุดไปมากสุด เริ่มจาก อันดับที่ 5 ปัญหาการก่อการร้าย ผลต่อ...ตลาดหุ้น และ อันดับที่ 4 Brexit & The next country วันนี้ผมจะขอคุยต่อเลย ดังนี้ครับ
อันดับที่ 3 เฟด...ขึ้นดอกเบี้ย
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ Brexit เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นมาต่างชาติก็เข้ามาทยอยเก็บหุ้นบ้านเราคิดเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นบ้านเรามีความผันผวนสูงขึ้นไปอีก เพราะเงินร้อนของต่างชาติพร้อมที่จะไหลไปที่อื่นหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่น่าไว้ว่างใจ โดยเฉพาะเหตุการณ์คลุมเครือที่ผ่านมาแล้วหลายปีและคอยหลอกหลอนนักลงทุนชาวไทยนั่นคือ “เมื่อไร? เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก”
การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ถือได้ว่าเป็นความเสี่ยงหางอ้วนของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจของทั้งโลกยังอยู่ช่วงเปราะบาง เศรษฐกิจยังไม่สามารถฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ญี่ปุ่นและฟากฝั่งยูโรโซนยังคงใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบเพื่อจูงใจให้นักลงทุนลงทุนสร้างโรงงานสร้างงานให้แก่ผู้คนกันอย่างแท้จริง หากเฟดขึ้นดอกเบี้ยจริงๆก็จะทำให้เงินทุนระหว่างประเทศไหลกลับไปเข้าสหรัฐอเมริกา ก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศในการลงทุนของโลกเริ่มไม่สดใสอีกครั้งหนึ่ง
การประชุมเฟดในรอบต่อไปคือ วันที่ 20 – 21 กันยายนนี้ ซึ่งในขณะที่คุณผู้อ่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คงจะประกาศออกมาแล้ว แต่การประชุมในปีนี้ยังไม่หมดครับ ยังเหลืออีก 2 ครั้งคือ วันที่ 1-2 พฤศจิกายน และวันที่ 13-14 ธันวาคม 2559
จดบันทึกไว้ให้ดีนะครับ เพราะ “ความเสี่ยงหางอ้วน” ตัวนี้ ยังคงจะมาเยี่ยมเยียนเราอีกหลายปี
อันดับที่ 2 หนี้ก้อนโตใต้พรมของจีน...รอเวลาระเบิด
สิ้นไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา หนี้สินของประเทศจีนทั้งประเทศไต่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 237% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP) ระดับหนี้ที่สูงมากนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมากสำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นกลับไม่ใช่จำนวนหนี้สินก้อนมหึมา แต่กลับเป็นอัตราความเร็วในการก่อหนี้ของจีนต่างหาก หากเราย้อนกลับไปตรวจดูขนาดหนี้สินของจีนในสิ้นปี 2550 จะพบว่าในขณะนั้นหนี้สินของจีนอยู่ที่ 148% ของจีดีพีเท่านั้นเอง
หนักที่สุดคือ...ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน หากเราลองถอดจีดีพีของจีนออกมาเป็นส่วนๆ เราจะพบว่าประกอบไปด้วย ภาคอสังหาริมทรัพย์ 15% การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ 15% การจ้างงานในเมือง 15% และการกู้ยืมสถาบันการเงินอีก 15%
ถ้าเป็นแค่นี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็คงไม่น่าจะมีบทบาทมากจนทำให้จีนมีปัญหามากมายขนาดนี้ ในความเป็นจริง หากภาคอสังหาฯ เกิดมีปัญหาขึ้นมา อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่ผูกพันกับอุตสาหกรรมอื่นๆและการจ้างงานเป็นจำนวนมาก เวลามันมีปัญหาขึ้นมา มันจึงส่งผลเป็นเท่าทวีคูณต่อภาคอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ต่อเศรษฐกิจของจีนและประชาชนเป็นจำนวนมาก
ภาพบน: ไม่ใช่...ปารีส แต่เป็นเมืองเทียนตูเฉิง (ใกล้หังโจว) หนึ่งใน Ghost City ของจีน
ข้อมูลที่ได้จากสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนคาดการณ์ว่า
ในเวลานี้จีนมีบ้านเก่าและบ้านสร้างใหม่รวมแล้วสามารถรองรับประชากรเข้าไปอยู่อาศัยได้ถึง 3.4 พันล้านคน ในขณะที่จีนมีจำนวนประชากรทั้งประเทศเพียง 1.4 พันล้านคน แล้วที่อยู่อาศัยที่เกินมาที่จะพอรองรับจำนวนคนตั้ง 2 พันล้านคนไปไหนล่ะ?
คำตอบก็คือ ส่วนใหญ่ได้กลายเป็น...เมืองผี (Ghost Cities) ไปหมดแล้ว และก็ทำให้เกิดหนี้เสียในภาคสถาบันการเงินของจีนเพิ่มขึ้นทุกวัน และได้กลายเป็น “ระเบิดเวลา” รอเวลาที่จะระเบิดออกมาเท่านั้นเอง จึงนับได้ว่าหนี้เสียของจีนเป็น “ความเสี่ยงหางอ้วน” อันดับที่ 2 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
อันดับที่ 1 ทรัมป์...จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
บริษัทวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์อ็อกฟอร์ดอีโคโนมิคส์ (Oxford Economics) ออกมาคาดการณ์ว่า
หากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็จะทำให้เศรษฐกิจของอเมริกามีแนวโน้มที่จะหดตัวลง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เทียบกับจีดีพีของสหรัฐอเมริกาที่ประมาณ 17 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นมากกว่า 5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่จะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
ทรัมป์สัญญาว่า จะฟื้นฟูคำว่า “Made in USA” ให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยยกตัวอย่าง แอปเปิ้ล ที่มีการผลิตไอโฟนและอุปกรณ์อื่นๆในต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทรัมป์ก็จะเจรจาและให้สิทธิพิเศษ เพื่อให้แอปเปิ้ลตัดสินใจหันกลับมาผลิตภายในประเทศให้จงได้ แค่ข่าวนี้ออกไปเพียงข่าวเดียว ก็ทำให้หุ้นของบริษัทอิเลกทรอนิกส์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับแอปเปิ้ลพากันร่วงลงมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมถึงนโยบายห้ามคนมุสลิมเข้าประเทศ การสร้างกำแพงกั้นผู้อพยพจากเม็กซิโกเข้าประเทศ การยุบเขตการค้าเสรี มาตรการภาษีที่จะใช้กีดกันการค้าอย่างเข้มข้น นอกจากนั้นยังจะมีมาตรการเซอร์ไพรส์ที่ออกมาเขย่าขวัญตลาดหุ้นโลกตามสไตล์ของทรัมป์ บริษัทวิจัยอ็อกฟอร์ดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่ปี 2560 จะโตประมาณปีละ 2% และจะไต่ถึงระดับ 18.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2564
แต่ถ้าหากทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแล้ว และใช้นโยบายตามที่กล่าวมาข้างต้นจริงๆ ผลกระทบจะทำให้ทั้งโลกมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา..เศรษฐกิจจะอาจจะเติบโตที่ 0% (ไม่เติบโตเลย) ในปี 2562 และนั่นจะทำให้ในปี 2564 ขนาดเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 17.5 ล้านล้านดอลลาร์ ลดไป 1 ล้านล้านดอลลาร์...เทียบกับกรณีที่ทรัมป์ไม่ได้รับเลือก
หนึ่งในคนที่กลัวทรัมป์จะมาเป็นประธานาธิบดีมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ
นักลงทุนและมหาเศรษฐีระดับโลก วอร์เรน บัฟเฟตต์ โดยบัฟเฟตต์ได้พูดถึงทรัมป์ในลักษณะที่ว่า “หากทรัมป์เป็นหุ้น ก็จะเป็นหุ้นที่ไม่คุ้มเสี่ยงเอาเสียเลย” สะท้อนให้เห็นถึงการไม่ยอมรับทรัมป์อย่างชัดเจน
ดังนั้น... ทรัมป์ จึงได้รับเลือกเป็น...ความเสี่ยงหางอ้วน อันดับที่ 1 นั่นคือ ถ้าไม่ได้รับเลือกก็แล้วไป แต่ถ้าได้รับเลือกละก็...ตลาดหุ้นไทยคงเหนื่อยแน่ครับ
หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมที่ www.docotorwe.com