พ่อผมไม่ใช่คนไทย หรือชาวต่างชาติที่เคยอยู่กัมพูชา แต่ถือว่าเป็นคนกัมพูชาโดยกำเนิด ท่านเป็นคนพระตะบอง ในสมัยนั้น กัมพูชาก็ไม่ต่างกับลาวและเวียดนาม คืออยู่ในสภาวะทุกข์เข็ญจากสงคราม และก็ทุกข์เข็ญไม่แพ้เมืองอื่น ในเวลานั้น พระตะบองเป็นเขตของกลุ่มเขมรแดงและกลุ่มต่อต้านรัฐบาลของสมเด็จพระเจ้านโรดม สีหนุ "ผู้ทรงหลงผิด" (พ่อผมเรียกท่านแบบนั้น เพราะตอนนั้นท่านหลงใหลระบอบสังคมนิยมอย่างมาก ถึงกับเคยเข้าร่วมกับเขมรแดงในยุคสาธารณรัฐเขมร) เป็นยุคที่น่ากลัวดีเหมือนกัน
เขมรแดง หรือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา แตกต่างจากพรรคคอมมิวนิสต์ในลาว,เวียดนามเหนือ,เวียดนามใต้ เพราะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีการแบ่งขั้วมหาอำนาจอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มนิยมจีน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในพรรคนี้ อีกกลุ่ม เป็นกลุ่มนิยมโซเวียต ซึ่งมีเสียงค่อนข้างน้อย แต่กลายเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในภายหลัง เพราะภายหลังได้เข้าร่วมกับเวียดนามในการขับไล่เขมรแดงให้ไปอยู่แถวชายแดน และไม่สามารถเถลิงอำนาจได้อีก แม้ว่าพลพต (อย่าอ่านผิดเชียวว่าพลพล) จะยังรบอยู่ก็ตาม
ปี 1975 มีการประกาศจากพนมเปญว่าเขมรแดงสามารถยึดพนมเปญได้แล้ว แม้ปู่มีความคิดต้องการอยากอยู่พระตะบองต่อไป แต่ย่า ซึ่งเคยเข้าวังในฐานะนางรำกับป้าของท่าน ซึ่งเคยเป็นนางสนองโอษฐ์ของเจ้านายฝ่ายในพระองค์หนึ่ง รู้สึกเป็นห่วงว่าตัวท่านและสามี อาจจะถูกจับตัวเข้า "อบรม" (คือการใช้แรงงานแบบทาส แต่คอมมิวนิสต์ชอบใช้คำนี้กัน แต่พวกแกนนำรัฐบาลมันไม่ทำนะ มันบอกว่ามันเป็นปัญญาชน เหมาะแก่การนั่งอู้ในร่มมากกว่าเหนื่อยกลางแดด) ทำให้ปู่เกิดความลังเล เอาย่า พร้อมพ่อ,ลุงและอา ออกไปอยู่ใกล้ฝั่งไทยเพื่อดูท่าทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกัมพูชา จนเมื่อเห็นว่าพระตะบองกลายเป็นแดนสังหารไปแล้ว จึงต้องไปอยู่ปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือ สระแก้ว) ในฐานะผู้ลี้ภัยก่อนที่จะย้ายไปนครราชสีมาตามคำชวนของปู่ลุงท่านหนึ่งที่อยู่ที่นั้น (ปัจจุบันไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร แต่เห็นว่าอายุรุ่นพี่ๆปู่ หรือประมาณลุงของพ่อ)
ปู่ ย่าและพ่อ ต้องอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยหลายปีจนได้สัญชาติไทยขึ้นมา แต่กว่าจะได้ก็ลำบากพอสมควร เพราะนอกจากปู่ ย่า พ่อ และปู่ลุงซึ่งเป็นพยานแล้ว ไม่มีใครเป็นญาติเลย เมื่อได้สัญชาติแล้วจึงไปตั้งบ้านอยู่แถวชานเมือง พ่อเล่าว่ามีหลายครั้งที่เล่าเรื่องของตัวเองในชั้นเรียนแล้วจะมีเพื่อนชอบล้อว่า "ไอ้เขมร" "ไอ้ต่างด้าว" แต่พ่อไม่รู้สึกอะไรต่อหน้านัก เพราะโดยจิตใจของพ่อแล้วเป็นคนตลก มองโลกในแง่ดี (ซึ่งผมเองคงติดมาอีกที ๕๕๕) พ่อมักจะคิดว่าพ่อกำลังภูมิใจที่เหมือนจะเป็นคนต่างด้าว ซึ่งดูแปลกประหลาดดีเหมือนกัน
ผ่านไปหลายปี พ่อพบเจอกับแม่ ซึ่งเป็นผู้อพยพที่หนีภัยสงครามมาเหมือนกัน แต่แม่ไม่ใช่คนเขมรเหมือนพ่อ แต่กลับกลายเป็นคนมอญที่หนีมาจากพม่า พ่อกับแม่คบหากัน และได้แต่งงานกันตามประเพณีทั้งเขมรและมอญ ผลสรุปหลังจากนั้นก็คือ พ่อได้ลูกชายกับลูกสาว 2 คน ที่เป็นลูกครึ่งเขมร-มอญ โดยตัวผมไปเกิดที่พระตะบอง ขณะที่พ่อแม่ตามปู่ย่าไปเยี่ยมญาติที่นั้น ส่วนคนน้องเกิดที่นครราชสีมา ตอนอายุ 3 ขวบ พ่อส่งผมให้ญาติในพระตะบองไปเลี้ยงดูปีหนึ่ง ก่อนจะส่งกลับมาเรียนอนุบาล 1 ตั้งแต่นั้นมา พระตะบองจึงมีโอกาสไปบ้างในทุกๆปี
ปัจจุบันปีนี้ก็อายุ 22 ปีแล้ว หากมหาวิทยาลัยปิดเทอมก็คิดว่าจะไปเยี่ยมเยียนอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกของปีนี้ด้วยครับ
พ่อเล่าประสบการณ์ตอนหนี "เขมรแดง" มาไทย
เขมรแดง หรือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา แตกต่างจากพรรคคอมมิวนิสต์ในลาว,เวียดนามเหนือ,เวียดนามใต้ เพราะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีการแบ่งขั้วมหาอำนาจอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มนิยมจีน ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในพรรคนี้ อีกกลุ่ม เป็นกลุ่มนิยมโซเวียต ซึ่งมีเสียงค่อนข้างน้อย แต่กลายเป็นกลุ่มที่มีบทบาทในภายหลัง เพราะภายหลังได้เข้าร่วมกับเวียดนามในการขับไล่เขมรแดงให้ไปอยู่แถวชายแดน และไม่สามารถเถลิงอำนาจได้อีก แม้ว่าพลพต (อย่าอ่านผิดเชียวว่าพลพล) จะยังรบอยู่ก็ตาม
ปี 1975 มีการประกาศจากพนมเปญว่าเขมรแดงสามารถยึดพนมเปญได้แล้ว แม้ปู่มีความคิดต้องการอยากอยู่พระตะบองต่อไป แต่ย่า ซึ่งเคยเข้าวังในฐานะนางรำกับป้าของท่าน ซึ่งเคยเป็นนางสนองโอษฐ์ของเจ้านายฝ่ายในพระองค์หนึ่ง รู้สึกเป็นห่วงว่าตัวท่านและสามี อาจจะถูกจับตัวเข้า "อบรม" (คือการใช้แรงงานแบบทาส แต่คอมมิวนิสต์ชอบใช้คำนี้กัน แต่พวกแกนนำรัฐบาลมันไม่ทำนะ มันบอกว่ามันเป็นปัญญาชน เหมาะแก่การนั่งอู้ในร่มมากกว่าเหนื่อยกลางแดด) ทำให้ปู่เกิดความลังเล เอาย่า พร้อมพ่อ,ลุงและอา ออกไปอยู่ใกล้ฝั่งไทยเพื่อดูท่าทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกัมพูชา จนเมื่อเห็นว่าพระตะบองกลายเป็นแดนสังหารไปแล้ว จึงต้องไปอยู่ปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือ สระแก้ว) ในฐานะผู้ลี้ภัยก่อนที่จะย้ายไปนครราชสีมาตามคำชวนของปู่ลุงท่านหนึ่งที่อยู่ที่นั้น (ปัจจุบันไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร แต่เห็นว่าอายุรุ่นพี่ๆปู่ หรือประมาณลุงของพ่อ)
ปู่ ย่าและพ่อ ต้องอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัยหลายปีจนได้สัญชาติไทยขึ้นมา แต่กว่าจะได้ก็ลำบากพอสมควร เพราะนอกจากปู่ ย่า พ่อ และปู่ลุงซึ่งเป็นพยานแล้ว ไม่มีใครเป็นญาติเลย เมื่อได้สัญชาติแล้วจึงไปตั้งบ้านอยู่แถวชานเมือง พ่อเล่าว่ามีหลายครั้งที่เล่าเรื่องของตัวเองในชั้นเรียนแล้วจะมีเพื่อนชอบล้อว่า "ไอ้เขมร" "ไอ้ต่างด้าว" แต่พ่อไม่รู้สึกอะไรต่อหน้านัก เพราะโดยจิตใจของพ่อแล้วเป็นคนตลก มองโลกในแง่ดี (ซึ่งผมเองคงติดมาอีกที ๕๕๕) พ่อมักจะคิดว่าพ่อกำลังภูมิใจที่เหมือนจะเป็นคนต่างด้าว ซึ่งดูแปลกประหลาดดีเหมือนกัน
ผ่านไปหลายปี พ่อพบเจอกับแม่ ซึ่งเป็นผู้อพยพที่หนีภัยสงครามมาเหมือนกัน แต่แม่ไม่ใช่คนเขมรเหมือนพ่อ แต่กลับกลายเป็นคนมอญที่หนีมาจากพม่า พ่อกับแม่คบหากัน และได้แต่งงานกันตามประเพณีทั้งเขมรและมอญ ผลสรุปหลังจากนั้นก็คือ พ่อได้ลูกชายกับลูกสาว 2 คน ที่เป็นลูกครึ่งเขมร-มอญ โดยตัวผมไปเกิดที่พระตะบอง ขณะที่พ่อแม่ตามปู่ย่าไปเยี่ยมญาติที่นั้น ส่วนคนน้องเกิดที่นครราชสีมา ตอนอายุ 3 ขวบ พ่อส่งผมให้ญาติในพระตะบองไปเลี้ยงดูปีหนึ่ง ก่อนจะส่งกลับมาเรียนอนุบาล 1 ตั้งแต่นั้นมา พระตะบองจึงมีโอกาสไปบ้างในทุกๆปี
ปัจจุบันปีนี้ก็อายุ 22 ปีแล้ว หากมหาวิทยาลัยปิดเทอมก็คิดว่าจะไปเยี่ยมเยียนอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นครั้งแรกของปีนี้ด้วยครับ