เมื่อพ่อของฉันหนี (เขมรแดง) มาที่ไทย

          ตั้งแต่จำความได้..ฉันแทบไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพ่อเท่าไหร่  ฉันแค่รู้ว่าฉันเป็นคนไทย เกิดอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน เป็นคนอีสานตั้งแต่เกิด
แต่เรื่องของพ่อในความคิดตอนเด็กของฉันความเป็นมามันแปลกๆ ญาติของแม่เคยพูดเกริ่นๆ  "พ่อไม่ใช่คนไทย"
แต่ฉันก็ไม่เคยใส่ใจ จนเมื่อฉันโตขึ้นฉันถึงมาพึ่งรู้ว่า พ่อของฉันเป็นคนกัมพูชาแท้ๆที่อพยพมาที่ไทยตอนเกิดสงคราม และฉันเองเป็นลูกครึ่งกัมพูชาอย่างไม่ต้องสงสัย  ฉันเคยนึกไม่ชอบว่าทำไมฉันต้องมีสายเลือดกัมพูชาด้วย เวลาที่พ่อพยายามสอนฉันพูดกัมพูชาหรือพ่อจะพาฉันไปที่กัมพูชาฉันจะบ่ายเบี่ยงและไม่ชอบใจเอามากๆ  ฉันไม่เคยรับรู้เลยว่าพ่อจะเจ็บปวดหรือรู้สึกไม่ดีแค่ไหน จนวันนึงฉันตัดสินใจถามถึงความเป็นมาของพ่อ......
  
           พ่อ...เล่าให้ฟังว่าตอนนั้นพ่ออายุประมาน5-6ขวบพ่ออพยพมาอยู่ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากสงครามสหนานาชาติที่เข้ามาช่วยเหลือใกล้ชายแดนประเทศไทยตอนนั้นระเบิดและกระสุนก็ซัดเข้ามาอีกลูกใหญ่เหล่าประชาชนและเจ้าหน้าที่ต่างก็หนีตายค่ายล่มในเวลานั้น
เหล่าทหารเวียดนามปลดแอกเตรียมสละชีวิตและสู้กับกลุ่มเขมร เพื่อปกป้องประชาชนตอนนั้นพ่อยังเด็กอยู่มากพ่อกำมือย่าไว้แน่นย่าพาพ่อวิ่งหนี ระเบิดกระสุนได้คร่าชีวิตผู้คนมากมายไปต่อหน้าต่อตา  เหล่าศัตรูจะไม่ปล่อยให้ใครรอดไปได้ผู้คนต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ชุลมุนวุ่นวาย พ่อพลัดหลงกับย่าในตอนนั้น พ่อวิ่งข้ามคลองที่มีขี้โคลนเต็มไปหมด  พ่อจมในโคลนครึ่งตัวไปไหนไม่ได้ ตอนนั้นพ่อคิดว่าตัวเองต้องตาย แต่ในขณะนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งมาดึงพ่อออกจากกองโคลนและพ่อกับผู้ชายคนนั้นต่างก็วิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เศษ เลือด และเนื้อมนุษย์ กระจัดกระจายต่อหน้าพ่อวิ่งหนีมาเรื่อยๆจนเริ่มปลอดภัยแล้วรู้สึกหิวน้ำมองไปเห็นบึงน้ำใหญ่แล้วรีบวิ่งไปจะกินน้ำแต่ภาพที่เห็นตรงหน้าคือหัวมนุษย์ ลอยเต็มน้ำไปหมดน้ำในบึงสีแดงฉาน ซากศพเน่าเปื่อย เล่ามาถึงตอนนี้ในใจฉันอยากจะร้องไห้ ฉันไม่รู้ว่าจะถามพ่อต่อไปอย่างไรดี และสภาพจิตใจท่านเป็นยังไง . ..
          หลังจากนั้นพ่อก็เดินเท้ากับชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตเดินมา100กว่ากิโลและเข้าใกล้ประเทศไทยตอนนั้นพ่อซนมากพ่อเดินเล่นคนเดียวมุดท่อน้ำเดินมาเรื่อยๆจนเข้าสู่คาบต่อชายแดนจังหวัดสระแก้วและได้เจอเด็กผู้ชายคนหนึ่งประมาณประถมกำลังเลี้ยงวัวอยู่ที่ทุ่งนาเด็กคนนั้นคุยภาษากัมพูชาได้ด้วยความสงสารเขาชวนพ่อกลับมาที่บ้านด้วย(เด็กคนนั้นต่อมาก็เป็นลุงบุญธรรมค่ะ)และปู่กับย่าบุญธรรมกับรับเลี้ยง พ่อไม่ได้เรียนหนังสือแต่พ่อสามารถอ่านออกเขียนภาษาอังกฤษได้ พอโตเข้าช่วงวัยรุ่นพ่อก็เข้ามาหางานทำที่กรุงเทพเป็นจับกังแถวสนามหลวงและก็ได้เจอแม่สาวอุบลคนงามที่เข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
***เล่าต่อ พ่อบอกอีกว่าตอนที่ยังเขมรแดงยังไม่บุกพ่อมีบ้านหลังใหญ่ มีไร่ สวนส้มอยู่หลังบ้าน
อยู่สบายร่ำรวยแต่โดนเขมรแดงยึดหมด ระบบที่ดินเงินตราไม่มีอีกต่อไป
ปัจจุบัน พ่ออายุ40กว่าๆ ส่วนฉัน อายุ22 เรียนปริญญาตรี ที่ม.เอกชนชื่อดังย่านยางเขน
สงกรานต์ที่ผ่านมาพึ่งกลับไปที่กัมพูชามาค่ะที่พระตะบองเจอหน้าย่าเป็นครั้งแรก ย่ากับญาติๆของพ่อหลายคนยังมีชีวิตอยู่แต่ปู่เสียในเหตุการณ์ครั้งนั่นย่าดีใจมากที่รู้ว่าพ่อยังมีชีวิตอยู่ ย่านึกว่าพ่อเสียไปนานแล้วตามหาพ่อตามยังไงก็ไม่เจอพ่อพึ่งจะกลับไปตามหาย่าก็เมื่อฉันอายุ20 แล้ว บ้านใหม่ในกัมพูชาเป็นบ้านไม้เก่าๆธรรมดา ผู้คนกำลังตั้งตัว ความยากจนยังมีอยู่มากบ้านไม้ฝั่งตรงข้ามพ่อบอกว่าโดนเขมรแดงเผาวอดแต่เขาสร้างขึ้นมาใหม่
ที่นี่มีหลานตัวเล็กๆค่ะ ซนมาก5-6ขวบ2คน
ถามป้าว่าเรียนไหมป้าบอกส่งเรียนแต่ส่วนมากจบแค่ประถม ม.ต้น ก็นิยมไปทำงานที่ไทยเพราะเรียนจบสูงๆไปก็ไม่มีงานทำอยู่ดี
อยากส่งหลานเรียนมากค่ะ ถ้าตัวเองเรียนจบแล้ว อยากให้หลานมาเรียนในไทยแต่ไม่ค่อยทราบรายละเอียดเท่าไหร่
   เรื่องราวในครั้งนั้นเหมือนจะผ่านมานาน
แต่ก็พึ่ง40ปีที่แล้วนี่เอง และเป็นประเทศเพื่อนบ้านเราไม่ใช่เรื่องอื่นไกล สงครามไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น ความบ้าอำนาจของคนแค่1คน ลัทธิฝั่งซ้ายแบบสุดโต่ง คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่างมากมาย อยากให้คนไทยรักกันค่ะ อย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดที่ไทยเลย.
    เรื่องที่พ่อเล่าในวันนั้น เปลื่ยนความคิดฉันในวันนี้  แค่รู้ว่าพ่อต้องสูญเสียและเจอกับอะไรมาบ้างมันก็เกินพอ ทุกวันนี้ฉันภูมิใจค่ะ ที่มีพ่อเป็นคนกัมพูชา และไม่คิดอายอีกต่อไป และอยากจะไปที่กัมพูชาอีก
"ฉันสามารถบอกกับใครๆอย่างภาคภูมิใจว่า  ฉันมีสายเลือดกัมพูชาค่ะ..."
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่