อารัมภบท
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
........วันเวลาผ่านไปเมื่อไรฉันจำไม่ได้ แต่ฉันกลับจำสายตาคู่นั้นได้อยู่เสมอ ระลึกขึ้นมาคราใดก็ทำเอาใจหายทุกที........
........เช้าวันหนึ่งในปีพุทธศักราช 2518 เมื่อสายลมบางๆยังคงลอยเรี่ยที่ผิวน้ำ มองเห็นได้เพียงแต่ไอหมอกขาวโพลนลอยปกคลุมดั่งฉากกั้น เงาของร่มไม้ที่แผ่ปกคลุมท้องน้ำดูเข้มชัดขึ้น เมื่อดวงตะวันกลมแดงเริ่มแผ่รัศมีแรงจ้าบนท้องฟ้านั่น แต่ลมหนาวที่อำเภอสังขะยังคงพัดหวีดหวิววังเวงจิต มันคงจะหอบเอาละอองน้ำเข้าปกคลุมเทือกเขาพนมดงรักด้วยก็ไม่ปาน ต้นไม้ดงดิบชื้นในป่าใหญ่ที่เคยขึ้นเขียวขจี บัดนี้ ปลายยอดกลับแตกละเอียดเพราะแรงกระชากจากกระสุนสงคราม พื้นดินที่เคยอุดมด้วยสิงห์สาราสัตว์ กลับสมบูรณ์ไปด้วยทุ่นระเบิดสังหารนานาชนิด แนวลวดหนามเย็นเฉียบยังคงห้อยระโยงระยางกั้นกลางระหว่างชาวไทยกับเขมรผู้หนีตายเรือนแสน แม้ช่วงฤดูกาลผันแปรเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ไฟสงครามยังคงโหมระอุลามเลียมาที่ชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ทุกคืนวัน.....
หลังจากจบภารกิจสงครามแย่งชิงอาหารกัน ระหว่างฉันและเพื่อนเด็กวัดคนอื่นๆ ฉันก็มักจะออกมาพายเรือเล่นที่ริมคลองแห่งนี้ประจำ พายเรือไปด้วยอ่านหนังสือเรียนไปด้วย เพราะอีกไม่นานก็ใกล้วันสอบปลายภาคที่วิทยาลัยแล้ว แต่เช้าวันนั้นมันรู้สึกแปลกใจพิกล เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาที่ฉันอยู่ เลยละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นแม่ชีน้อยนางหนึ่ง กำลังกอดเสาศาลาท่าน้ำ สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ฉัน แม่ชีน้อยคนนั้นเมื่อรู้ตัวว่าฉันมองเห็นเธอเข้าแล้ว ก็มีอาการสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปที่หลังวัด แม่ชีน้อยคนนั้นเป็นใคร? ทำไมรูปร่างหน้าตาผิวพรรณจึงได้แตกต่างจากเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา หน้าตาคมคาย ผิวพรรณสะอาดสะอ้าง แลดูเป็นลูกสาวผู้ดีมีฐานะ ทำไมจึงละทางโลกออกบวชชีด้วย? เพียงครุ่นคิดได้ไม่นาน ก็ตั้งใจอ่านตำราต่อ พอถึงเวลาพระท่านฉันเพล เป็นธรรมดาที่เด็กวัดอย่างพวกฉันต้องรีบกุลีกุจอไปรอพระท่านที่ศาลา
ระหว่างนั้น ที่ฉันกำลังเช็ดทำความสะอาดบาตรบริขารอยู่
.....ไอ้ย้อย เอ็งอยากแต่งงานมั้ย ? หลวงพ่อท่านถามทำเอาฉันนั่งเอียงคอไปเลย
.....ทำไมครับหลวงพ่อ ?
.....ถ้าเอ็งแต่ง ก็ถือเสียว่าแต่งเอาบุญไปแล้วกัน ช่วยเด็กมันหน่อยเถอะ มันหนีมาจากฝั่งเขมรนู้นแหนะ เอ็งจำได้มั้ย เมื่อสองสามวันก่อน มีพระ แม่ชีและลูกชี มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเรา
อ่า...ครับ
.....นั่นแหละ เขาเป็นนายพลเขมร หนีกันมาทั้งครอบครัว เขาอยู่ที่เขมรไม่ได้ดอก ถ้าอยู่ก็โดนเขมรแดงมันฆ่าทิ้งทั้งครอบครัวแน่ๆ แม่ชีกับพระนายพลเขมรคนนั้นมาคุยกับหลวงพ่อแล้ว ว่าอยากให้คนบ้านเรามาขอลูกสาวเขาแต่ง เขาสองคนตายได้แต่ไม่อยากให้ลูกสาวต้องตายไปด้วย ตอนนี้หมู่บ้านเรามันมีคอมมิวนิสต์เข้ามาหลายคน คอมมิวนิสต์พวกนั้นมันไม่ชอบคนเขมรของรัฐบาลเก่า พวกสายสืบของตำรวจ และ ตชด.เองก็ตามล่าพวกคอมมิวนิสต์กับคนเขมรที่หนีเข้ามาในบ้านเราอยู่นะ....
ฉันเพียงแต่ยิ้ม และไม่ได้พูดอะไรตอบ สายตาคู่นั้นลอยออกมาจากความทรงจำทันที .....เธอเป็นลูกสาวนายพลคนนั้นนี่เอง.....
เพียงเวลาไม่ถึงอาทิตย์ บรรดาหนุ่มๆผ้าขาวม้าพันคอเซราะกราวทั้งหลาย ก็มาออกันเต็มวัด ด้วยข่าวคราวว่ามีแม่ชีน้อยโฉมงามมาอาศัยอยู่ ฉันได้แต่ยืนมองดูอยู่ไกลๆ แต่เพื่อนๆหลายคน ก็เข้ามาดึงฉัน ให้พาไปดูหน้าแม่ชีคนนั้นใกล้ๆ เพื่อนหลายคนแซวกันให้รีบไปขอแต่งเลย เป็นที่สนุกสนานกันใหญ่ เมื่อเห็นว่ามีผู้ชายเข้ามาดูหลายคนเข้า แม่ชีซึ่งเป็นแม่ของชีน้อยก็รีบดึงแขนเธอเข้าไปอยู่ในกุฏิ แต่สายตาสาวเจ้ายังคงลักลอบแอบดูพวกเราผ่านระแนงฝาไม้แตกอยู่เนืองๆ ไม่ใช่ว่าจะใช้จริตมารยาหญิงดอก แต่เพราะความไม่เดียงสาต่างหาก.....
ผ่านไปหลายวัน ครอบครัวพระนายพลเขมรก็ออกจากวัดไป เพราะท่านอยู่ไม่ได้ หาใช่ว่ารำคาญ แต่ภัยต่างหากที่จะมาถึงตัว ด้วยเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปไกล ฉันจำได้ครั้งสุดท้าย เขาพากันหนีไปจำพรรษาที่วัดป่าสังฆพงษ์พิทักษ์ธรรมาราม หลังจากนั้น ก็หายไปอีก โดยไม่ทราบว่าหนีกันไปอยู่ไหนต่อ.....
ผ่านไปหลายเดือน ฉันไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่กระท่อมปลายนาของใครก็ไม่รู้ แต่มันเงียบและสงบดี ราวสายๆของวันนั้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์สะพายเป้หลายสิบคนเดินแบกปืนมาเป็นกองคาราวานเลย คนพวกนั้นไม่ใช่ทหารไม่ใช่ตำรวจ เมื่อเราต่างมองสบตากัน พวกเขาเหล่านั้นก็พยักหน้าทักทายฉันโดยไม่พูดอะไร และเป็นอย่างนี้ไปร่วมเดือนที่ฉันไปนั่งที่กระท่อมแห่งนั้น เช้าวันหนึ่งฉันเห็นสบงพระปลิวลมมาแต่ไกล หลวงพ่อท่านเดินทางมาหาฉันที่กระท่อม ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
.....ไอ้ย้อย ! เอ็งรีบหนีไปเลย เร็วเข้า ! พวกตำรวจจะมายิงเอ็ง เอ็งไปเป็นจราชนใต้ดินตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮื้อ ?
คำพูดนั้นทำเอาฉันนั่งเอียงคอไปเลย ฉันนั่งมองหลวงพ่อด้วยอาการงุนงงสักพัก
....ผมเป็นนักศึกษา ไม่ใช่จราชน ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ถ้าพวกมันจะยิง ก็มายิงเลย ผมไม่กลัว !
หลวงพ่อท่านอ้อนวอนฉันอยู่นาน จะพาฉันไปหานายอำเภอ ขอให้นายอำเภอช่วย แต่ฉันปฏิเสธ และจะนั่งรอตำรวจในกระท่อมนี้ไม่ไปไหน จนหลวงพ่อท่านต้องไปหานายอำเภอด้วยตัวเอง ไม่นานหลวงพ่อก็มาหาฉันอีกครั้ง และบอกว่า
.....หลวงพ่อมาหาเอ็ง ก็พึ่งเดินสวนกับตำรวจพวกนั้นมา มันพากันกลับกรมกองไปแล้ว บุญของเอ็งนะไอ้ย้อย....
หลวงพ่อพูดพลางปาดเหงื่อไปพลาง ฉันบอกกับหลวงพ่อก่อนที่จะเดินไปส่งท่านขึ้นรถสองแถว
.....ผมไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
วันเวลาผ่านไปในหลายฤดูกาล ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้ว เขาเรียกฉันว่าครูย้อย ในขณะที่เพื่อนๆและรุ่นน้องหลายคนยังคงเรียกฉันอย่างติดปากว่า"เสือย้อย" ก็ตามแต่เขาจะเรียกแล้วกัน ฉันไม่ขัดดอก เพราะเขาเรียกฉันว่าเสือมานานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเรียกฉันว่าเสือตั้งแต่ตอนไหน ก็วันเวลามันผ่านไปนานเมื่อไรฉันจำไม่ได้ แต่ฉันกลับจำสายตาคู่นั้นได้อยู่เสมอ ระลึกขึ้นมาคราใดก็ทำเอาใจหายทุกที........
ย้อนเวลากลับไป เมื่อคราวสงครามกลางเมืองกัมพูชากำลังระอุอย่างหนัก ประชาชนชาวเขมรผู้ยากไร้ ต่างหอบลูกจูงหลานหนีตายเข้ามาพักพิงอาศัยยังเขตแดนไทย เป็นดั่งร่มโพธิ์ป้องภัยสงครามให้แก่พวกเขา แต่ถึงกระนั้น กองกำลังทหารเวียดนามและทหารฝ่ายเขมรเฮง สัมริน ก็ยังคงส่งกำลังเข้าตีค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ทำให้ชาวเขมรแตกทะลักเข้าสู่ชายแดนไทยจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน กระท่อมมุงแฝกสังกะสีบางๆในค่ายผู้ลี้ภัยขององค์กรสหประชาชาติ(UNHCR - UNBRO Camps) มันไม่สามารถบังกระสุนปืนใหญ่ให้พวกเขาได้เลยแม้สักนัดเดียว ทางรอดสุดท้ายของชาวเขมรเหล่านั้นคือ ต้องหนีเข้าไปในฝั่งประเทศไทยให้ได้ ถึงแม้ทางกองทัพไทยจะใช้ลวดหนามกั้นระหว่างค่ายลี้ภัยกับหมู่บ้านชายแดนให้ออกห่างกันก็ตาม แต่ก็ยังมีชาวเขมรหลายคนที่สามารถหลบหนีเข้ามาได้
พวกเขาหลบหนีการตรวจพบจากฝ่ายไทยได้อย่างไร ?
หลายท่านที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนไทย - กัมพูชาคงทราบวิธีการหลบหนีของชาวเขมรพวกนั้นดี แต่หลายท่าน ก็อาจคงไม่ทราบ และอาจไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้เลย
พวกเขมรที่เดินทางลักลอบหนีเข้ามาในไทยได้แล้วนั้น พวกเขาจะทำการโกนหัวปลอมตัวเป็นพระสงฆ์ ถ้าเป็นหญิงก็จะโกนหัวปลอมเป็นชี ในส่วนเรื่องจีวรผ้าคลุมกายนั้น ก็อาศัยขโมยเอาจากวัดต่างๆในแถบชายแดน หรือไม่ก็ไปขอบวชกับสำนักสงฆ์ในป่า ซึ่งวิธีการปลอมตัวแบบนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นพวกทหารจากรัฐบาลเก่า ซึ่งมีไหวพริบพอจะหาหนทางรอดออกมาจากกัมพูชา และหนีเข้ามาอาศัยดำรงชีพในฝั่งไทยได้ ซึ่งต่างจากชาวบ้านธรรมดา ที่มักจะพากันเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาให้ ตชด.ไทย กระทุ้งด้วยพานท้ายปืน ผมเคยฟังความจาก ตชด. เก่าท่านหนึ่งบอกว่า ...พวกนั้นมันกลัวตายด้วยน้ำมือเขมรด้วยกันมากกว่า ขนาดฝ่ายเรากระโดดถีบเข้าหน้าอก มันก็ไม่กลัวเรา ตกดึกก็พากันแอบหนีเข้ามาอีก ต้องยิงปืนขู่อยู่เรื่อยๆ คุณธรรมเรามีให้ แต่การปกป้องชาตินั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด....
เรื่องราวในช่วงต้น เป็นเรื่องจริง ผมเคยฟังเรื่องพระเขมรเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อผมมักจะเล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืน
สุรินทร์ 2518
ข้อมูลนี้เป็นการนำเอาเรื่องราวของความขัดเเย้งในการเมืองประเทศกัมพูชา เพื่อนำเสนอข้อมูลทางทหาร โดยมิได้มีเจตนาเพื่อการปลุกปั่นหรือยุยงให้เกิดความแตกแยกใดใด อนึ่ง บทความต่อไปนี้ ข้าพเจ้าได้นำไปโพสต์ยังเพจ"เมื่อมอดไหม้ ไฟสงคราม"อยู่ก่อนหน้านี้ โดยหวังว่าข้อมูลดังต่อไปนี้ อาจเป็นอีกช่องทางหนึ่งแก่ท่านผู้สนใจใคร่ศึกษา หากแต่ข้อมูลและบทความนี้มีข้อผิดพลาดประการใดแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
https://www.facebook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1-180066308851476/
........วันเวลาผ่านไปเมื่อไรฉันจำไม่ได้ แต่ฉันกลับจำสายตาคู่นั้นได้อยู่เสมอ ระลึกขึ้นมาคราใดก็ทำเอาใจหายทุกที........
........เช้าวันหนึ่งในปีพุทธศักราช 2518 เมื่อสายลมบางๆยังคงลอยเรี่ยที่ผิวน้ำ มองเห็นได้เพียงแต่ไอหมอกขาวโพลนลอยปกคลุมดั่งฉากกั้น เงาของร่มไม้ที่แผ่ปกคลุมท้องน้ำดูเข้มชัดขึ้น เมื่อดวงตะวันกลมแดงเริ่มแผ่รัศมีแรงจ้าบนท้องฟ้านั่น แต่ลมหนาวที่อำเภอสังขะยังคงพัดหวีดหวิววังเวงจิต มันคงจะหอบเอาละอองน้ำเข้าปกคลุมเทือกเขาพนมดงรักด้วยก็ไม่ปาน ต้นไม้ดงดิบชื้นในป่าใหญ่ที่เคยขึ้นเขียวขจี บัดนี้ ปลายยอดกลับแตกละเอียดเพราะแรงกระชากจากกระสุนสงคราม พื้นดินที่เคยอุดมด้วยสิงห์สาราสัตว์ กลับสมบูรณ์ไปด้วยทุ่นระเบิดสังหารนานาชนิด แนวลวดหนามเย็นเฉียบยังคงห้อยระโยงระยางกั้นกลางระหว่างชาวไทยกับเขมรผู้หนีตายเรือนแสน แม้ช่วงฤดูกาลผันแปรเข้าหน้าหนาวแล้ว แต่ไฟสงครามยังคงโหมระอุลามเลียมาที่ชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ทุกคืนวัน.....
หลังจากจบภารกิจสงครามแย่งชิงอาหารกัน ระหว่างฉันและเพื่อนเด็กวัดคนอื่นๆ ฉันก็มักจะออกมาพายเรือเล่นที่ริมคลองแห่งนี้ประจำ พายเรือไปด้วยอ่านหนังสือเรียนไปด้วย เพราะอีกไม่นานก็ใกล้วันสอบปลายภาคที่วิทยาลัยแล้ว แต่เช้าวันนั้นมันรู้สึกแปลกใจพิกล เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาที่ฉันอยู่ เลยละสายตาจากหนังสือเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นแม่ชีน้อยนางหนึ่ง กำลังกอดเสาศาลาท่าน้ำ สายตาคู่นั้นจ้องมาที่ฉัน แม่ชีน้อยคนนั้นเมื่อรู้ตัวว่าฉันมองเห็นเธอเข้าแล้ว ก็มีอาการสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปที่หลังวัด แม่ชีน้อยคนนั้นเป็นใคร? ทำไมรูปร่างหน้าตาผิวพรรณจึงได้แตกต่างจากเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา หน้าตาคมคาย ผิวพรรณสะอาดสะอ้าง แลดูเป็นลูกสาวผู้ดีมีฐานะ ทำไมจึงละทางโลกออกบวชชีด้วย? เพียงครุ่นคิดได้ไม่นาน ก็ตั้งใจอ่านตำราต่อ พอถึงเวลาพระท่านฉันเพล เป็นธรรมดาที่เด็กวัดอย่างพวกฉันต้องรีบกุลีกุจอไปรอพระท่านที่ศาลา
ระหว่างนั้น ที่ฉันกำลังเช็ดทำความสะอาดบาตรบริขารอยู่
.....ไอ้ย้อย เอ็งอยากแต่งงานมั้ย ? หลวงพ่อท่านถามทำเอาฉันนั่งเอียงคอไปเลย
.....ทำไมครับหลวงพ่อ ?
.....ถ้าเอ็งแต่ง ก็ถือเสียว่าแต่งเอาบุญไปแล้วกัน ช่วยเด็กมันหน่อยเถอะ มันหนีมาจากฝั่งเขมรนู้นแหนะ เอ็งจำได้มั้ย เมื่อสองสามวันก่อน มีพระ แม่ชีและลูกชี มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเรา
อ่า...ครับ
.....นั่นแหละ เขาเป็นนายพลเขมร หนีกันมาทั้งครอบครัว เขาอยู่ที่เขมรไม่ได้ดอก ถ้าอยู่ก็โดนเขมรแดงมันฆ่าทิ้งทั้งครอบครัวแน่ๆ แม่ชีกับพระนายพลเขมรคนนั้นมาคุยกับหลวงพ่อแล้ว ว่าอยากให้คนบ้านเรามาขอลูกสาวเขาแต่ง เขาสองคนตายได้แต่ไม่อยากให้ลูกสาวต้องตายไปด้วย ตอนนี้หมู่บ้านเรามันมีคอมมิวนิสต์เข้ามาหลายคน คอมมิวนิสต์พวกนั้นมันไม่ชอบคนเขมรของรัฐบาลเก่า พวกสายสืบของตำรวจ และ ตชด.เองก็ตามล่าพวกคอมมิวนิสต์กับคนเขมรที่หนีเข้ามาในบ้านเราอยู่นะ....
ฉันเพียงแต่ยิ้ม และไม่ได้พูดอะไรตอบ สายตาคู่นั้นลอยออกมาจากความทรงจำทันที .....เธอเป็นลูกสาวนายพลคนนั้นนี่เอง.....
เพียงเวลาไม่ถึงอาทิตย์ บรรดาหนุ่มๆผ้าขาวม้าพันคอเซราะกราวทั้งหลาย ก็มาออกันเต็มวัด ด้วยข่าวคราวว่ามีแม่ชีน้อยโฉมงามมาอาศัยอยู่ ฉันได้แต่ยืนมองดูอยู่ไกลๆ แต่เพื่อนๆหลายคน ก็เข้ามาดึงฉัน ให้พาไปดูหน้าแม่ชีคนนั้นใกล้ๆ เพื่อนหลายคนแซวกันให้รีบไปขอแต่งเลย เป็นที่สนุกสนานกันใหญ่ เมื่อเห็นว่ามีผู้ชายเข้ามาดูหลายคนเข้า แม่ชีซึ่งเป็นแม่ของชีน้อยก็รีบดึงแขนเธอเข้าไปอยู่ในกุฏิ แต่สายตาสาวเจ้ายังคงลักลอบแอบดูพวกเราผ่านระแนงฝาไม้แตกอยู่เนืองๆ ไม่ใช่ว่าจะใช้จริตมารยาหญิงดอก แต่เพราะความไม่เดียงสาต่างหาก.....
ผ่านไปหลายวัน ครอบครัวพระนายพลเขมรก็ออกจากวัดไป เพราะท่านอยู่ไม่ได้ หาใช่ว่ารำคาญ แต่ภัยต่างหากที่จะมาถึงตัว ด้วยเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปไกล ฉันจำได้ครั้งสุดท้าย เขาพากันหนีไปจำพรรษาที่วัดป่าสังฆพงษ์พิทักษ์ธรรมาราม หลังจากนั้น ก็หายไปอีก โดยไม่ทราบว่าหนีกันไปอยู่ไหนต่อ.....
ผ่านไปหลายเดือน ฉันไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่กระท่อมปลายนาของใครก็ไม่รู้ แต่มันเงียบและสงบดี ราวสายๆของวันนั้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์สะพายเป้หลายสิบคนเดินแบกปืนมาเป็นกองคาราวานเลย คนพวกนั้นไม่ใช่ทหารไม่ใช่ตำรวจ เมื่อเราต่างมองสบตากัน พวกเขาเหล่านั้นก็พยักหน้าทักทายฉันโดยไม่พูดอะไร และเป็นอย่างนี้ไปร่วมเดือนที่ฉันไปนั่งที่กระท่อมแห่งนั้น เช้าวันหนึ่งฉันเห็นสบงพระปลิวลมมาแต่ไกล หลวงพ่อท่านเดินทางมาหาฉันที่กระท่อม ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
.....ไอ้ย้อย ! เอ็งรีบหนีไปเลย เร็วเข้า ! พวกตำรวจจะมายิงเอ็ง เอ็งไปเป็นจราชนใต้ดินตั้งแต่เมื่อไหร่กันฮื้อ ?
คำพูดนั้นทำเอาฉันนั่งเอียงคอไปเลย ฉันนั่งมองหลวงพ่อด้วยอาการงุนงงสักพัก
....ผมเป็นนักศึกษา ไม่ใช่จราชน ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ถ้าพวกมันจะยิง ก็มายิงเลย ผมไม่กลัว !
หลวงพ่อท่านอ้อนวอนฉันอยู่นาน จะพาฉันไปหานายอำเภอ ขอให้นายอำเภอช่วย แต่ฉันปฏิเสธ และจะนั่งรอตำรวจในกระท่อมนี้ไม่ไปไหน จนหลวงพ่อท่านต้องไปหานายอำเภอด้วยตัวเอง ไม่นานหลวงพ่อก็มาหาฉันอีกครั้ง และบอกว่า
.....หลวงพ่อมาหาเอ็ง ก็พึ่งเดินสวนกับตำรวจพวกนั้นมา มันพากันกลับกรมกองไปแล้ว บุญของเอ็งนะไอ้ย้อย....
หลวงพ่อพูดพลางปาดเหงื่อไปพลาง ฉันบอกกับหลวงพ่อก่อนที่จะเดินไปส่งท่านขึ้นรถสองแถว
.....ผมไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์
วันเวลาผ่านไปในหลายฤดูกาล ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นนักศึกษาแล้ว เขาเรียกฉันว่าครูย้อย ในขณะที่เพื่อนๆและรุ่นน้องหลายคนยังคงเรียกฉันอย่างติดปากว่า"เสือย้อย" ก็ตามแต่เขาจะเรียกแล้วกัน ฉันไม่ขัดดอก เพราะเขาเรียกฉันว่าเสือมานานแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเรียกฉันว่าเสือตั้งแต่ตอนไหน ก็วันเวลามันผ่านไปนานเมื่อไรฉันจำไม่ได้ แต่ฉันกลับจำสายตาคู่นั้นได้อยู่เสมอ ระลึกขึ้นมาคราใดก็ทำเอาใจหายทุกที........
ย้อนเวลากลับไป เมื่อคราวสงครามกลางเมืองกัมพูชากำลังระอุอย่างหนัก ประชาชนชาวเขมรผู้ยากไร้ ต่างหอบลูกจูงหลานหนีตายเข้ามาพักพิงอาศัยยังเขตแดนไทย เป็นดั่งร่มโพธิ์ป้องภัยสงครามให้แก่พวกเขา แต่ถึงกระนั้น กองกำลังทหารเวียดนามและทหารฝ่ายเขมรเฮง สัมริน ก็ยังคงส่งกำลังเข้าตีค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชา ทำให้ชาวเขมรแตกทะลักเข้าสู่ชายแดนไทยจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน กระท่อมมุงแฝกสังกะสีบางๆในค่ายผู้ลี้ภัยขององค์กรสหประชาชาติ(UNHCR - UNBRO Camps) มันไม่สามารถบังกระสุนปืนใหญ่ให้พวกเขาได้เลยแม้สักนัดเดียว ทางรอดสุดท้ายของชาวเขมรเหล่านั้นคือ ต้องหนีเข้าไปในฝั่งประเทศไทยให้ได้ ถึงแม้ทางกองทัพไทยจะใช้ลวดหนามกั้นระหว่างค่ายลี้ภัยกับหมู่บ้านชายแดนให้ออกห่างกันก็ตาม แต่ก็ยังมีชาวเขมรหลายคนที่สามารถหลบหนีเข้ามาได้
พวกเขาหลบหนีการตรวจพบจากฝ่ายไทยได้อย่างไร ?
หลายท่านที่อาศัยอยู่ใกล้ชายแดนไทย - กัมพูชาคงทราบวิธีการหลบหนีของชาวเขมรพวกนั้นดี แต่หลายท่าน ก็อาจคงไม่ทราบ และอาจไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้เลย
พวกเขมรที่เดินทางลักลอบหนีเข้ามาในไทยได้แล้วนั้น พวกเขาจะทำการโกนหัวปลอมตัวเป็นพระสงฆ์ ถ้าเป็นหญิงก็จะโกนหัวปลอมเป็นชี ในส่วนเรื่องจีวรผ้าคลุมกายนั้น ก็อาศัยขโมยเอาจากวัดต่างๆในแถบชายแดน หรือไม่ก็ไปขอบวชกับสำนักสงฆ์ในป่า ซึ่งวิธีการปลอมตัวแบบนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นพวกทหารจากรัฐบาลเก่า ซึ่งมีไหวพริบพอจะหาหนทางรอดออกมาจากกัมพูชา และหนีเข้ามาอาศัยดำรงชีพในฝั่งไทยได้ ซึ่งต่างจากชาวบ้านธรรมดา ที่มักจะพากันเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาให้ ตชด.ไทย กระทุ้งด้วยพานท้ายปืน ผมเคยฟังความจาก ตชด. เก่าท่านหนึ่งบอกว่า ...พวกนั้นมันกลัวตายด้วยน้ำมือเขมรด้วยกันมากกว่า ขนาดฝ่ายเรากระโดดถีบเข้าหน้าอก มันก็ไม่กลัวเรา ตกดึกก็พากันแอบหนีเข้ามาอีก ต้องยิงปืนขู่อยู่เรื่อยๆ คุณธรรมเรามีให้ แต่การปกป้องชาตินั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด....
เรื่องราวในช่วงต้น เป็นเรื่องจริง ผมเคยฟังเรื่องพระเขมรเหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อผมมักจะเล่าให้ฟังก่อนนอนทุกคืน