ไม่รู้จะเรียกว่าเราโดนสปอยก่อนเข้าไปดูหนังเรื่องนี้รึเปล่า เพราะเรารู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องชายรักชายของคนผิวสี (โดนสปอยจากกระทู้ตัวเอง ตอนเขียนถึง Manchester by the Sea 555) แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไรมาก เพราะจากตัวอย่างหนัง ก็พอจะมีกลิ่นเรื่องทำนองนั้นอยู่บ้าง
เราอยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ (แต่รองจาก Manchester by the Sea นะ) เพราะจากเรื่องย่อและตัวอย่างหนังมีความน่าสนใจอยู่มากๆ และพอดูจบ ก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ (แต่ก็ยังเป็นรอง Manchester by the Sea นะ 55) หนังเล่าเรื่องได้ทรงพลังมาก
หนังเล่าเรื่องชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งใน 3 ช่วงอายุ ตอนเด็ก ตอนวัยรุ่น และตอนวัยผู้ใหญ่ เราคิดว่าหนังเล่าเรื่องเก่งมาก ทำได้ดีในทุกช่วงที่เล่า หนังเล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตาม และแต่ละช่วงมีประเด็นที่สื่อสารอย่างชัดเจน เลยส่งไปถึงตอนจบที่สุดยอดมากๆ
การถ่ายภาพเรื่องนี้เราว่าทำได้ดี หลายซีนเลือกมุมกล้องถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี รวมไปถึงการลำดับภาพ เราคิดว่าเรื่องนี้มีความยากในการตัดต่ออยู่พอสมควร เนื่องด้วยหนังแบ่งเป็น 3 ช่วง การเล่าเรื่อง การเลือกซีน มันต้องทำให้หนังเป็นก้อนเดียวให้ได้ ถ้าทำได้ไม่ดี เราจะรู้สึกว่าดูหนัง 3 เรื่องทันที แต่เรื่องนี้ทำได้ดี
ผลงานของผู้กำกับ Barry Jenkins ที่เราไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อนเลย ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาเลย เพราะเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ลงตัวมากๆ องค์ประกอบต่างๆของหนังเรื่องนี้ เราว่าทำได้ดีระดับเดียวกับ La La Land เลยนะ เพียงแค่หนังคนละแนวเท่านั้นเอง ที่สำคัญการถ่ายทอดเรื่องนี้มีความยากอยู่พอสมควร เพราะเป็นการถ่ายทอดชีวิตของคนผิวสี แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้เข้าถึงความรู้สึกมากๆ จนเราไม่ได้สนใจสภาพภายนอกของตัวละครเลย รู้สึกแค่ว่า Chiron คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
พาร์ทการแสดงเรื่องนี้โดดเด่นมากๆ เราชอบการแสดงของทุกตัวละครในเรื่องนี้ บทแต่ละคนก็ไม่ธรรมดาเลย บทตัวละครหลักอย่าง Chiron นักแสดงทั้ง 3 ช่วงวัยแสดงได้ดีมากอย่างน่าขนลุกทุกคนเลย แต่เราประทับใจการแสดงของ Trevante Rhodesในบทบาท Chiron วัยผู้ใหญ่เป็นพิเศษ เพราะซีนของเค้ามันยากแทบทุกซีนเลย โดยเฉพาะฉากที่กลับมาหาแม่ เราว่ามันเล่นยากมากเลย ต้องสื่อสารผ่านสีหน้าแววตาเป็นหลัก เออ เราว่าเรารู้สึกได้กับสิ่งที่เค้าสื่อออกมา ใจหนึ่งก็ยังรักแม่ อีกใจก็เจ็บปวดกับสิ่งที่แม่เคยทำ มันรู้สึกกล้ำกลืนดี เราชอบ
และสุดยอดซีนของหนัง คือช่วงที่ Chiron กลับมาบ้าน แล้วมาหา Kevin ที่ร้านอาหาร ซีนลากยาวจนไปถึงตอนกลับไปที่บ้าน Kevin ด้วยกัน จนถึงซีนจบ เราว่าสุดยอดมากช่วงซีนต่อเนื่องนี้ โดยเฉพาะซีนที่ทั้งสองกลับมาที่บ้าน ทั้งสองเล่นได้เข้าถึงความรู้สึกสุดๆ ทุกบทสนทนา ทุกน้ำเสียง ทุกสีหน้า ทุกสายตา มันดูจริงสุดๆ ประโยคที่ Chiron พูดว่า
"You're the only man who ever touched me."
"The only one."
"I haven’t really touched anyone, since."
แววตามันสุดยอดมาก มันมีความหมายมากกว่าคำพูดที่เค้าเพิ่งพูดออกไป
อีกคนที่อดชื่นชมไม่ได้จริงๆคือการแสดงของ Naomie Harris ในบทบาท Paula แม่ของ Chiron บทท้าทายมากๆ มีทั้งบทที่อารมณ์รุนแรงสุดๆ บทตอนเมายา (ไม่รู้เล่นได้ไง โคตรเก่งอะ) บทกลางๆตอนปกติ บทตอนที่กลับตัวแล้วและนั่งคุยกัย Chiron ตอนท้ายเรื่อง คือสุดยอดซีนอีกซีนหนึ่งในเรื่องนี้ พูดไปน้ำตาค่อยๆซึม เธอบอก Chiron ว่า "You ain't got to love me, but you gonna know that I love you" มันชัดเจนแล้วว่า ตอนนี้เธอรู่สึกยังไง เธอไม่ต้องการให้ Chiron อภัยให้เธอหรอก เพราะเธอรู้ดีว่าเธอเคยทำสิ่งที่เลวร้ายกับ Chiron ไว้ขนาดไหน ตอนนี้เธอเพียงแค่อยากพูดความรู้สึกจากใจของเธอเท่านั้นเอง
Moonlight คือหนังที่เล่าเรื่องชีวิตของ Chiron เด็กชายผิวสี ที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับแม่ ที่มีอาชีพเป็นโสเภณีและติดยา โอ้โห พร็อตแค่นี้มันก็ดราม่าสุดๆละ เท่านั้นไม่พอ Chiron ยังไม่เหมือนคนทั่วไปอีก เพราะเค้าชอบผู้ชาย เราไม่รู้ว่า ที่เค้าชอบผู้ชายมันเกิดมาจากสาเหตุอะไร อาจจะปัญหาครอบครัวมีส่วน หรือมันเป็นมาแต่กำเนิด ไม่ทราบได้จริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ส่วนสำคัญของหนัง
1. Little
ชีวิต Chiron ในวัยเด็กถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆอยู่ตลอด อาจด้วยความที่เค้าตัวค่อนข้างเล็กด้วย จึงมีส่วนที่ทำให้เพื่อนคอยแกล้ง และที่สำคัญคือ Chiron ไม่ยอมตอบโต้ จึงยิ่งทำให้เพื่อนๆชอบแกล้ง ขณะเดียวกันชีวิตครอบครัวของ Chiron ก็แย่มาก แม่ของเค้าเป็นโสเภณีและติดยา เรียกได้ว่า เค้าไม่มีชีวิตครอบครัวเลยดีกว่า
แต่อย่างน้อยเค้าก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่คอยพูดคุยกับเค้า นั่นคือ Kevin คนที่ต่อมา กลายเป็นคนพิเศษสำหรับเค้าตลอดไป Kevin บอกให้เค้า อย่ายอม เวลาถูกแกล้ง Kevin แทบจะเป็นเพื่อนคนเดียวในชีวิตเค้าเลย
วันหนึ่ง Chiron ถูกเพื่อนแกล้งจนต้องหนีเข้าไปหลบในห้องร้าง จนได้มาเจอกับ Juan เค้าเข้ามาช่วย Chiron ไว้ จากเหตุการณ์นั้น ทั้ง Juan และ Teresa แฟนของเค้า ก็เอ็นดู Chiron ราวกับเป็นลูกของตัวเอง ทุกครั้งที่ Chiron มีปัญหา เค้าจะนึกถึง Juan และ Teresa เสมอ ราวกับว่าที่นี่คือบ้านของเค้า มากกว่าบ้านจริงๆที่เค้าอาศัยอยู่กับแม่แท้ซะอีก
Juan ช่วยสอนให้ Chiron ต้องต่อสู้กับชีวิต ไม่ใช่ให้ยอมแพ้ การใช้ชีวิตก็คงเหมือนการฝึกว่ายน้ำ Juan บอก Chiron ว่า ให้ปล่อยศีรษะมาบนมือของเค้า ให้ทำตัวให้สบาย เค้าจะอยู่กับ Chiron เค้าสัญญา เค้าจะไม่ทิ้งไปไหน เค้าค่อยๆปล่อย Chiron เพียง 10 วินาทีเท่านั้น เธออยู่ตรงกลางโลกตอนนี้"
แต่ความเจ็บปวดหนึ่งของ Chiron คือการได้รู้ว่า คนที่คอยช่วยเหลือเค้าอย่าง Juan มีอาชีพค้ายา และแม่ของเค้าก็คือลูกค้าของ Juan นั่นเอง
2. Chiron
ชีวิตวัยรุ่นของ Chiron ยังคงโดดเดี่ยวอยู่เช่นเดิม พร้อมการเหยียดหยามจากเพื่อนเรื่องที่เค้าเป็นเกย์ (เราไม่รู้ว่าจริงๆคือตุ๊ดหรือเกย์ เราขอเรียกว่าเกย์ละกัน) ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ Juan เสียชีวิตไปแล้ว ที่พึ่งพาของเค้าก็คือ Teresa แฟนของ Juan
ในช่วงนี้ความสัมพันธ์ของเค้ากับแม่ ยังแย่เหมือนเดิม
ช่วงวัยนี้ Chiron เริ่มสงสัยในตัวเองอย่างมาก วันที่ Kevin เพื่อนคนเดียวของเค้ามาเล่าให้ฟังว่า ไป...กับผู้หญิงมา จนโดนอาจารย์จับได้ เค้าสับสนในความรู้สึกแบบนั้น จนเก็บไปฝันเห็นภาพ Kevin ตอน...กับสาว เค้าคงพอรู้ว่า เค้าไม่รู้สึกได้อยากทำแบบนั้นกับหญิงใดทั้งนั้น
วันที่สำคัญมากในชีวิตเค้า คือเหตุการณ์ริมทะเลท่ามกลางแสงจันทร์คืนนั้น เค้าได้สัมผัสกับ Kevin ทั้งสองเปิดใจเข้าหากัน พูดคุยเรื่องต่างๆของกัน และชื่อ Black ที่ Chiron ใช้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ก็คือชื่อที่ Kevin เป็นคนตั้งให้ตรงริมทะเลตรงนี้
Kevin ถาม Chiron ว่า "นายร้องไห้เรื่องอะไร"
Chiron ตอบ "ชั้นร้องไห้หนักในบางครั้งที่ชั้นรู้สึกแย่"
Kevin บอกไปว่า "แต่นายก็แค่กระโดดลงไปในน้ำใช่ไหม ลงไปในน้ำกดความเศร้าให้มันจมน้ำไปเลย"
เค้าทั้งสองสัมผัสกันทั้งกายและหัวใจ
ความเจ็บปวดของ Chiron ในวัยนี้ คือคนที่เค้ารู้สึกดีด้วย กลับมาทำร้ายเค้า เราคิดว่า เค้ารู้แหละว่า ทำไม Kevin ถึงต้องมาชกเค้า เพียงแค่มันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี มันไม่ใช่เจ็บที่กาย มันเจ็บที่หัวใจ
Chiron เลือกหันหลังให้ความอ่อนแอ และจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครอีกต่อไป
3. Black
ตอนแรกเราตกใจมาก ไม่นึกว่านี่คือ Chiron ที่เรารู้จัก แต่ทั้งหมดที่เราเห็นมันมีที่มาที่ไปชัดเจนมาก
Chiron กลายมาเป็นคนค้ายา มีสภาพความเป็นอยู่สุขสบาย เด็กที่อ่อนแอและผอมบางคืออดีตแล้ว เค้าเริ่มฟิตร่างกายเพื่อให้ดูเข้มแข็ง เค้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเค้าอีกแล้ว
แต่ไม่รู้ว่า ตอนนี้เค้ามีความสุขจริงๆแล้วหรือไม่?
วันหนึ่งเค้าได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าอย่าง Kevin เค้าบอกว่าที่โทรหา Chiron เพราะว่ามีลูกค้าเข้ามาทานอาหารที่ร้านที่เค้าทำงานอยู่ แล้วเลือกเพลงที่ตู้เพลง เป็นเพลงที่ทำให้นึกถึง Chiron เลยโทรมาหา
Chiron เดินทางมาหาแม่ที่บ้านเกิด แม่ที่เราเห็นในตอนนี้ คือแม่ในสภาพปกติ น่าจะเลิกยาได้แล้ว ซีนช่วงนี้สุดยอดมาก เรารับรู้ได้ถึงความรักความเป็นห่วงที่แม่มีต่อลูก ยิ่งได้รู้ว่าตอนนี้ Chiron มีอาชีพขายยา แม่ยิ่งเจ็บปวด เค้าคงพอรู้ว่าที่ Chiron ต้องเป็นแบบนี้ มันก็มีส่วนหนึ่งมาจากความผิดของเค้าเอง เราชอบบทพูดของแม่ช่วงนี้มาก แม่บอกเค้าว่า "Chiron ไม่ต้องรักแม่ก็ได้ แต่แม่อยากให้รู้ว่า แม่รัก Chiron นะ" น้ำตาเราซึมเลย
มาถึงสุดยอดซีนต่อเนื่องตอนท้าย ที่ Chiron มาแวะหา Kevin ที่ร้านอาหาร ตามที่ Kevin ได้โทรมาหา บอกว่าถ้าได้กลับบ้าน ให้แวะมาหาเค้าที่ร้านได้ เราชอบความรู้สึกเก้ๆกังๆนิดหน่อยของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน จะเรียกเพื่อนก็ไม่เชิงนะ 55 เราชอบที่ Kevin เข้าไปทำอาหารจานพิเศษมาให้ Chiron หนังถ่ายจังหวะทำอาหารได้สวยงามและเรารู้สึกได้ถึงความพิเศษจริงๆ
Chiron ถาม Kevin ว่าทำไมถึงโทรมาหาเค้า Kevin บอกไปว่ามีลูกค้ามาที่ร้านและเลือกเล่นเพลงที่ตู้ เป็นเพลงที่ทำให้เค้านึกถึง Chiron เค้าเดินไปเปิดเพลงนั้นที่ตู้ เพลง Hello Strange จึงดังขึ้น เราชอบเพลงนี้มาก เพลงเพราะมากๆ
"Hello strange.
It seems so good to see you back again.
How long has it been?
It seems like a mighty long time."
"Ohh, I'm I'm I'm I'm I'm so glad
You stopped by to say hello to me.
Remember that's the way it used to be.
Ooh, it seems like a mighty long time."
ซีนสุดท้ายช่วงที่ทั้งสองไปที่บ้านของ Kevin มันทรงพลังมากๆสำหรับผม ทั้งสองถามไถ่ถึงชีวิตของแต่ละคน
Kevin ถามถึงชีวิต Chiron เค้าบอกว่าแปลกใจมากที่มาเจอ Chiron แบบนี้ แต่ Chiron ยืนยันกลับไปว่า ตอนนี้เค้าเป็นตัวเอง ไม่ได้พยายามที่จะเป็นคนอื่นเลย Kevin พูดต่อไปว่า "เค้าไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจอ Chiron ในแบบนี้ ไม่ใช่ว่าแบบนี้มันดีหรือแย่นะ เพียงแค่มันไม่เหมือนที่เค้าคาดหวังไว้" Chiron ถามกลับไปว่า "แล้วนายคาดหวังไว้ยังไง"
Kevin เปลี่ยนเรื่อง แล้วถาม Chiron ว่า "นายจำครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันได้ไหม"
Chiron บอกว่า "เป็นเวลาที่นานมาก ชั้นพยายามที่จะลืม ลืมทุกช่วงเวลาในตอนนั้น ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่ พยายามลืมทั้งหมด" สายตาและน้ำเสียง Chiron ช่วงนี้มันหม่นมาก
Kevin เล่าให้ฟังถึงชีวิตของตัวเองบ้างว่า "ชั้นไม่ได้ทำตามที่หัวใจชั้นอยากทำจริงๆเลย ชั้นทำสิ่งที่คนอื่นๆอยากให้ชั้นทำ...ชั้นไม่เคยเป็นตัวเองเลย" เค้าบอกว่าตอนนี้ก็ใช้ชีวิตธรรมดา ได้ไปทำงานที่ร้านอาหาร การงานก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย ช่วงนี้เค้าพยายามเล่าด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมรอยยิ้ม แต่เราสัมผัสได้ถึงความโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ลึกๆ
ถึงซีนสำคัญ อยู่ๆ Chiron ก็พูดขึ้นมาว่า
"You're the only man who ever touched me."
"The only one."
"I haven’t really touched anyone, since."
สายตาที่ทั้งสองสบตากัน มันบ่งบอกความรู้สึกของทั้งคู่ในตอนนี้ได้ดี
ภาพสุดท้ายที่เราเห็นมันอบอุ่นมาก Chiron ซบลงตรงไหล่ของ Kevin สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาเป็นตัวเอง ที่ที่เรามีความสุขและอบอุ่นที่สุด คือที่ที่เราเป็นตัวของเราเองจริงๆ เป็นในสิ่งที่หัวใจเราบอก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้างใดๆทั้งนั้น
เราชอบซีนที่ Juan เคยเล่าให้ Chiron ตอนเด็ก ฟังว่า ในวัยเด็กเค้าเคยออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางแสงดวงจันทร์ด้วยเท้าเปล่า และได้เจอหญิงชราคนหนึ่งมาทักเค้าว่า
"มาวิ่งเล่นในคืนสว่างแบบนี้ แสงดวงจันทร์สาดส่องมาที่เธอ เด็กผิวดำจะกลายเป็นเด็กผิวสีฟ้าได้นะ ชั้นจะเรียกเธอว่า "Blue" นะ"
Chiron สงสัย จึงถามกลับไปว่า "งั้นคุณเลยชื่อ Blue ใช่ไหม"
Juan หัวเราะและปฏิเสธกลับไป แล้วเค้าพูดต่อไปว่า
"พอถึงจุดหนึ่ง เราต้องเลือกว่าเราอยากเป็นอะไร...อย่าให้คนอื่นมาคิดแทนเด็ดขาด"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Moonlight - แสงดวงจันทร์เปลี่ยนได้แค่สีผิวของเรา แต่เปลี่ยนหัวใจเราไม่ได้ (Spoil)
เราอยากดูหนังเรื่องนี้มากๆ (แต่รองจาก Manchester by the Sea นะ) เพราะจากเรื่องย่อและตัวอย่างหนังมีความน่าสนใจอยู่มากๆ และพอดูจบ ก็ไม่ผิดหวังแต่อย่างใด เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ (แต่ก็ยังเป็นรอง Manchester by the Sea นะ 55) หนังเล่าเรื่องได้ทรงพลังมาก
หนังเล่าเรื่องชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งใน 3 ช่วงอายุ ตอนเด็ก ตอนวัยรุ่น และตอนวัยผู้ใหญ่ เราคิดว่าหนังเล่าเรื่องเก่งมาก ทำได้ดีในทุกช่วงที่เล่า หนังเล่าเรื่องได้สนุกน่าติดตาม และแต่ละช่วงมีประเด็นที่สื่อสารอย่างชัดเจน เลยส่งไปถึงตอนจบที่สุดยอดมากๆ
การถ่ายภาพเรื่องนี้เราว่าทำได้ดี หลายซีนเลือกมุมกล้องถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี รวมไปถึงการลำดับภาพ เราคิดว่าเรื่องนี้มีความยากในการตัดต่ออยู่พอสมควร เนื่องด้วยหนังแบ่งเป็น 3 ช่วง การเล่าเรื่อง การเลือกซีน มันต้องทำให้หนังเป็นก้อนเดียวให้ได้ ถ้าทำได้ไม่ดี เราจะรู้สึกว่าดูหนัง 3 เรื่องทันที แต่เรื่องนี้ทำได้ดี
ผลงานของผู้กำกับ Barry Jenkins ที่เราไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อนเลย ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาเลย เพราะเรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ลงตัวมากๆ องค์ประกอบต่างๆของหนังเรื่องนี้ เราว่าทำได้ดีระดับเดียวกับ La La Land เลยนะ เพียงแค่หนังคนละแนวเท่านั้นเอง ที่สำคัญการถ่ายทอดเรื่องนี้มีความยากอยู่พอสมควร เพราะเป็นการถ่ายทอดชีวิตของคนผิวสี แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้เข้าถึงความรู้สึกมากๆ จนเราไม่ได้สนใจสภาพภายนอกของตัวละครเลย รู้สึกแค่ว่า Chiron คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
พาร์ทการแสดงเรื่องนี้โดดเด่นมากๆ เราชอบการแสดงของทุกตัวละครในเรื่องนี้ บทแต่ละคนก็ไม่ธรรมดาเลย บทตัวละครหลักอย่าง Chiron นักแสดงทั้ง 3 ช่วงวัยแสดงได้ดีมากอย่างน่าขนลุกทุกคนเลย แต่เราประทับใจการแสดงของ Trevante Rhodesในบทบาท Chiron วัยผู้ใหญ่เป็นพิเศษ เพราะซีนของเค้ามันยากแทบทุกซีนเลย โดยเฉพาะฉากที่กลับมาหาแม่ เราว่ามันเล่นยากมากเลย ต้องสื่อสารผ่านสีหน้าแววตาเป็นหลัก เออ เราว่าเรารู้สึกได้กับสิ่งที่เค้าสื่อออกมา ใจหนึ่งก็ยังรักแม่ อีกใจก็เจ็บปวดกับสิ่งที่แม่เคยทำ มันรู้สึกกล้ำกลืนดี เราชอบ
และสุดยอดซีนของหนัง คือช่วงที่ Chiron กลับมาบ้าน แล้วมาหา Kevin ที่ร้านอาหาร ซีนลากยาวจนไปถึงตอนกลับไปที่บ้าน Kevin ด้วยกัน จนถึงซีนจบ เราว่าสุดยอดมากช่วงซีนต่อเนื่องนี้ โดยเฉพาะซีนที่ทั้งสองกลับมาที่บ้าน ทั้งสองเล่นได้เข้าถึงความรู้สึกสุดๆ ทุกบทสนทนา ทุกน้ำเสียง ทุกสีหน้า ทุกสายตา มันดูจริงสุดๆ ประโยคที่ Chiron พูดว่า
"You're the only man who ever touched me."
"The only one."
"I haven’t really touched anyone, since."
แววตามันสุดยอดมาก มันมีความหมายมากกว่าคำพูดที่เค้าเพิ่งพูดออกไป
อีกคนที่อดชื่นชมไม่ได้จริงๆคือการแสดงของ Naomie Harris ในบทบาท Paula แม่ของ Chiron บทท้าทายมากๆ มีทั้งบทที่อารมณ์รุนแรงสุดๆ บทตอนเมายา (ไม่รู้เล่นได้ไง โคตรเก่งอะ) บทกลางๆตอนปกติ บทตอนที่กลับตัวแล้วและนั่งคุยกัย Chiron ตอนท้ายเรื่อง คือสุดยอดซีนอีกซีนหนึ่งในเรื่องนี้ พูดไปน้ำตาค่อยๆซึม เธอบอก Chiron ว่า "You ain't got to love me, but you gonna know that I love you" มันชัดเจนแล้วว่า ตอนนี้เธอรู่สึกยังไง เธอไม่ต้องการให้ Chiron อภัยให้เธอหรอก เพราะเธอรู้ดีว่าเธอเคยทำสิ่งที่เลวร้ายกับ Chiron ไว้ขนาดไหน ตอนนี้เธอเพียงแค่อยากพูดความรู้สึกจากใจของเธอเท่านั้นเอง
Moonlight คือหนังที่เล่าเรื่องชีวิตของ Chiron เด็กชายผิวสี ที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่กับแม่ ที่มีอาชีพเป็นโสเภณีและติดยา โอ้โห พร็อตแค่นี้มันก็ดราม่าสุดๆละ เท่านั้นไม่พอ Chiron ยังไม่เหมือนคนทั่วไปอีก เพราะเค้าชอบผู้ชาย เราไม่รู้ว่า ที่เค้าชอบผู้ชายมันเกิดมาจากสาเหตุอะไร อาจจะปัญหาครอบครัวมีส่วน หรือมันเป็นมาแต่กำเนิด ไม่ทราบได้จริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ส่วนสำคัญของหนัง
1. Little
ชีวิต Chiron ในวัยเด็กถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนๆอยู่ตลอด อาจด้วยความที่เค้าตัวค่อนข้างเล็กด้วย จึงมีส่วนที่ทำให้เพื่อนคอยแกล้ง และที่สำคัญคือ Chiron ไม่ยอมตอบโต้ จึงยิ่งทำให้เพื่อนๆชอบแกล้ง ขณะเดียวกันชีวิตครอบครัวของ Chiron ก็แย่มาก แม่ของเค้าเป็นโสเภณีและติดยา เรียกได้ว่า เค้าไม่มีชีวิตครอบครัวเลยดีกว่า
แต่อย่างน้อยเค้าก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่คอยพูดคุยกับเค้า นั่นคือ Kevin คนที่ต่อมา กลายเป็นคนพิเศษสำหรับเค้าตลอดไป Kevin บอกให้เค้า อย่ายอม เวลาถูกแกล้ง Kevin แทบจะเป็นเพื่อนคนเดียวในชีวิตเค้าเลย
วันหนึ่ง Chiron ถูกเพื่อนแกล้งจนต้องหนีเข้าไปหลบในห้องร้าง จนได้มาเจอกับ Juan เค้าเข้ามาช่วย Chiron ไว้ จากเหตุการณ์นั้น ทั้ง Juan และ Teresa แฟนของเค้า ก็เอ็นดู Chiron ราวกับเป็นลูกของตัวเอง ทุกครั้งที่ Chiron มีปัญหา เค้าจะนึกถึง Juan และ Teresa เสมอ ราวกับว่าที่นี่คือบ้านของเค้า มากกว่าบ้านจริงๆที่เค้าอาศัยอยู่กับแม่แท้ซะอีก
Juan ช่วยสอนให้ Chiron ต้องต่อสู้กับชีวิต ไม่ใช่ให้ยอมแพ้ การใช้ชีวิตก็คงเหมือนการฝึกว่ายน้ำ Juan บอก Chiron ว่า ให้ปล่อยศีรษะมาบนมือของเค้า ให้ทำตัวให้สบาย เค้าจะอยู่กับ Chiron เค้าสัญญา เค้าจะไม่ทิ้งไปไหน เค้าค่อยๆปล่อย Chiron เพียง 10 วินาทีเท่านั้น เธออยู่ตรงกลางโลกตอนนี้"
แต่ความเจ็บปวดหนึ่งของ Chiron คือการได้รู้ว่า คนที่คอยช่วยเหลือเค้าอย่าง Juan มีอาชีพค้ายา และแม่ของเค้าก็คือลูกค้าของ Juan นั่นเอง
2. Chiron
ชีวิตวัยรุ่นของ Chiron ยังคงโดดเดี่ยวอยู่เช่นเดิม พร้อมการเหยียดหยามจากเพื่อนเรื่องที่เค้าเป็นเกย์ (เราไม่รู้ว่าจริงๆคือตุ๊ดหรือเกย์ เราขอเรียกว่าเกย์ละกัน) ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ Juan เสียชีวิตไปแล้ว ที่พึ่งพาของเค้าก็คือ Teresa แฟนของ Juan
ในช่วงนี้ความสัมพันธ์ของเค้ากับแม่ ยังแย่เหมือนเดิม
ช่วงวัยนี้ Chiron เริ่มสงสัยในตัวเองอย่างมาก วันที่ Kevin เพื่อนคนเดียวของเค้ามาเล่าให้ฟังว่า ไป...กับผู้หญิงมา จนโดนอาจารย์จับได้ เค้าสับสนในความรู้สึกแบบนั้น จนเก็บไปฝันเห็นภาพ Kevin ตอน...กับสาว เค้าคงพอรู้ว่า เค้าไม่รู้สึกได้อยากทำแบบนั้นกับหญิงใดทั้งนั้น
วันที่สำคัญมากในชีวิตเค้า คือเหตุการณ์ริมทะเลท่ามกลางแสงจันทร์คืนนั้น เค้าได้สัมผัสกับ Kevin ทั้งสองเปิดใจเข้าหากัน พูดคุยเรื่องต่างๆของกัน และชื่อ Black ที่ Chiron ใช้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ก็คือชื่อที่ Kevin เป็นคนตั้งให้ตรงริมทะเลตรงนี้
Kevin ถาม Chiron ว่า "นายร้องไห้เรื่องอะไร"
Chiron ตอบ "ชั้นร้องไห้หนักในบางครั้งที่ชั้นรู้สึกแย่"
Kevin บอกไปว่า "แต่นายก็แค่กระโดดลงไปในน้ำใช่ไหม ลงไปในน้ำกดความเศร้าให้มันจมน้ำไปเลย"
เค้าทั้งสองสัมผัสกันทั้งกายและหัวใจ
ความเจ็บปวดของ Chiron ในวัยนี้ คือคนที่เค้ารู้สึกดีด้วย กลับมาทำร้ายเค้า เราคิดว่า เค้ารู้แหละว่า ทำไม Kevin ถึงต้องมาชกเค้า เพียงแค่มันก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี มันไม่ใช่เจ็บที่กาย มันเจ็บที่หัวใจ
Chiron เลือกหันหลังให้ความอ่อนแอ และจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครอีกต่อไป
3. Black
ตอนแรกเราตกใจมาก ไม่นึกว่านี่คือ Chiron ที่เรารู้จัก แต่ทั้งหมดที่เราเห็นมันมีที่มาที่ไปชัดเจนมาก
Chiron กลายมาเป็นคนค้ายา มีสภาพความเป็นอยู่สุขสบาย เด็กที่อ่อนแอและผอมบางคืออดีตแล้ว เค้าเริ่มฟิตร่างกายเพื่อให้ดูเข้มแข็ง เค้าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเค้าอีกแล้ว
แต่ไม่รู้ว่า ตอนนี้เค้ามีความสุขจริงๆแล้วหรือไม่?
วันหนึ่งเค้าได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าอย่าง Kevin เค้าบอกว่าที่โทรหา Chiron เพราะว่ามีลูกค้าเข้ามาทานอาหารที่ร้านที่เค้าทำงานอยู่ แล้วเลือกเพลงที่ตู้เพลง เป็นเพลงที่ทำให้นึกถึง Chiron เลยโทรมาหา
Chiron เดินทางมาหาแม่ที่บ้านเกิด แม่ที่เราเห็นในตอนนี้ คือแม่ในสภาพปกติ น่าจะเลิกยาได้แล้ว ซีนช่วงนี้สุดยอดมาก เรารับรู้ได้ถึงความรักความเป็นห่วงที่แม่มีต่อลูก ยิ่งได้รู้ว่าตอนนี้ Chiron มีอาชีพขายยา แม่ยิ่งเจ็บปวด เค้าคงพอรู้ว่าที่ Chiron ต้องเป็นแบบนี้ มันก็มีส่วนหนึ่งมาจากความผิดของเค้าเอง เราชอบบทพูดของแม่ช่วงนี้มาก แม่บอกเค้าว่า "Chiron ไม่ต้องรักแม่ก็ได้ แต่แม่อยากให้รู้ว่า แม่รัก Chiron นะ" น้ำตาเราซึมเลย
มาถึงสุดยอดซีนต่อเนื่องตอนท้าย ที่ Chiron มาแวะหา Kevin ที่ร้านอาหาร ตามที่ Kevin ได้โทรมาหา บอกว่าถ้าได้กลับบ้าน ให้แวะมาหาเค้าที่ร้านได้ เราชอบความรู้สึกเก้ๆกังๆนิดหน่อยของเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน จะเรียกเพื่อนก็ไม่เชิงนะ 55 เราชอบที่ Kevin เข้าไปทำอาหารจานพิเศษมาให้ Chiron หนังถ่ายจังหวะทำอาหารได้สวยงามและเรารู้สึกได้ถึงความพิเศษจริงๆ
Chiron ถาม Kevin ว่าทำไมถึงโทรมาหาเค้า Kevin บอกไปว่ามีลูกค้ามาที่ร้านและเลือกเล่นเพลงที่ตู้ เป็นเพลงที่ทำให้เค้านึกถึง Chiron เค้าเดินไปเปิดเพลงนั้นที่ตู้ เพลง Hello Strange จึงดังขึ้น เราชอบเพลงนี้มาก เพลงเพราะมากๆ
"Hello strange.
It seems so good to see you back again.
How long has it been?
It seems like a mighty long time."
"Ohh, I'm I'm I'm I'm I'm so glad
You stopped by to say hello to me.
Remember that's the way it used to be.
Ooh, it seems like a mighty long time."
ซีนสุดท้ายช่วงที่ทั้งสองไปที่บ้านของ Kevin มันทรงพลังมากๆสำหรับผม ทั้งสองถามไถ่ถึงชีวิตของแต่ละคน
Kevin ถามถึงชีวิต Chiron เค้าบอกว่าแปลกใจมากที่มาเจอ Chiron แบบนี้ แต่ Chiron ยืนยันกลับไปว่า ตอนนี้เค้าเป็นตัวเอง ไม่ได้พยายามที่จะเป็นคนอื่นเลย Kevin พูดต่อไปว่า "เค้าไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจอ Chiron ในแบบนี้ ไม่ใช่ว่าแบบนี้มันดีหรือแย่นะ เพียงแค่มันไม่เหมือนที่เค้าคาดหวังไว้" Chiron ถามกลับไปว่า "แล้วนายคาดหวังไว้ยังไง"
Kevin เปลี่ยนเรื่อง แล้วถาม Chiron ว่า "นายจำครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันได้ไหม"
Chiron บอกว่า "เป็นเวลาที่นานมาก ชั้นพยายามที่จะลืม ลืมทุกช่วงเวลาในตอนนั้น ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่แย่ พยายามลืมทั้งหมด" สายตาและน้ำเสียง Chiron ช่วงนี้มันหม่นมาก
Kevin เล่าให้ฟังถึงชีวิตของตัวเองบ้างว่า "ชั้นไม่ได้ทำตามที่หัวใจชั้นอยากทำจริงๆเลย ชั้นทำสิ่งที่คนอื่นๆอยากให้ชั้นทำ...ชั้นไม่เคยเป็นตัวเองเลย" เค้าบอกว่าตอนนี้ก็ใช้ชีวิตธรรมดา ได้ไปทำงานที่ร้านอาหาร การงานก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย ช่วงนี้เค้าพยายามเล่าด้วยน้ำเสียงปกติพร้อมรอยยิ้ม แต่เราสัมผัสได้ถึงความโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ลึกๆ
ถึงซีนสำคัญ อยู่ๆ Chiron ก็พูดขึ้นมาว่า
"You're the only man who ever touched me."
"The only one."
"I haven’t really touched anyone, since."
สายตาที่ทั้งสองสบตากัน มันบ่งบอกความรู้สึกของทั้งคู่ในตอนนี้ได้ดี
ภาพสุดท้ายที่เราเห็นมันอบอุ่นมาก Chiron ซบลงตรงไหล่ของ Kevin สุดท้ายเราก็ต้องกลับมาเป็นตัวเอง ที่ที่เรามีความสุขและอบอุ่นที่สุด คือที่ที่เราเป็นตัวของเราเองจริงๆ เป็นในสิ่งที่หัวใจเราบอก โดยไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้างใดๆทั้งนั้น
เราชอบซีนที่ Juan เคยเล่าให้ Chiron ตอนเด็ก ฟังว่า ในวัยเด็กเค้าเคยออกไปวิ่งเล่นท่ามกลางแสงดวงจันทร์ด้วยเท้าเปล่า และได้เจอหญิงชราคนหนึ่งมาทักเค้าว่า
"มาวิ่งเล่นในคืนสว่างแบบนี้ แสงดวงจันทร์สาดส่องมาที่เธอ เด็กผิวดำจะกลายเป็นเด็กผิวสีฟ้าได้นะ ชั้นจะเรียกเธอว่า "Blue" นะ"
Chiron สงสัย จึงถามกลับไปว่า "งั้นคุณเลยชื่อ Blue ใช่ไหม"
Juan หัวเราะและปฏิเสธกลับไป แล้วเค้าพูดต่อไปว่า
"พอถึงจุดหนึ่ง เราต้องเลือกว่าเราอยากเป็นอะไร...อย่าให้คนอื่นมาคิดแทนเด็ดขาด"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/