พิษสวาท อำพราง บทที่ 37: คำให้การที่ไร้เสียง

เช้าวันหนึ่ง
บริเวณด้านหลังของห้างวรภักด์พานิชย์

เสียงจอแจของผู้คนและรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมา กลบเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของชายคนหนึ่งที่เดินเลียบแนวรั้วเก่าของห้างอย่างเงียบเชียบ

เอกภพใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา สะพายกระเป๋าแบบช่างเทคนิค และมีป้ายติดอกว่า “บริษัทซ่อมระบบเซฟตี้ไฟร์” แว่นกันแดดกรอบดำบดบังสีหน้า เขามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินเข้าไปยังประตูส่งของด้านหลัง

เขาโชว์บัตรปลอมให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย พร้อมพูดด้วยเสียงนิ่ง

เอกภพ
“นัดตรวจระบบดับเพลิงรอบเก่า กับระบบเดินสายใต้ดินครับ แจ้งไว้กับผู้จัดการฝ่ายช่างแล้ว”

พนักงานลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าให้

รปภ.
“เข้าไปได้ครับ เดินเลียบซ้ายไป เจอกล่องควบคุมตรงเสา G4”

เอกภพพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว

ครับ! นี่คือ บทที่ 37: คำให้การที่ไร้เสียง
ต่อเนื่องจากบทที่แล้ว ทั้งทางอารมณ์และเส้นเรื่อง พร้อมเบาะแสใหม่ที่จะเริ่มก่อตัวอย่างแนบเนียน



พิษสวาท อำพราง

บทที่ 37: คำให้การที่ไร้เสียง

เช้าแสงขุ่น – บริเวณด้านหลังของห้างวรภักด์พานิชย์

เสียงจอแจของผู้คนและรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมา กลบเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของชายคนหนึ่งที่เดินเลียบแนวรั้วเก่าของห้างอย่างเงียบเชียบ

เอกภพใส่เสื้อเชิ้ตธรรมดา สะพายกระเป๋าแบบช่างเทคนิค และมีป้ายติดอกว่า “บริษัทซ่อมระบบเซฟตี้ไฟร์” แว่นกันแดดกรอบดำบดบังสีหน้า เขามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนเดินเข้าไปยังประตูส่งของด้านหลัง

เขาโชว์บัตรปลอมให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย พร้อมพูดด้วยเสียงนิ่ง

เอกภพ
“นัดตรวจระบบดับเพลิงรอบเก่า กับระบบเดินสายใต้ดินครับ แจ้งไว้กับผู้จัดการฝ่ายช่างแล้ว”

พนักงานลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าให้

รปภ.
“เข้าไปได้ครับ เดินเลียบซ้ายไป เจอกล่องควบคุมตรงเสา G4”

เอกภพพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว



โซนคลังเก็บสินค้าชั้นล่างสุด – แผงผนังเก่า

ห้างวรภักด์พานิชย์อาจดูใหม่ทันสมัยจากด้านหน้า แต่ชั้นล่างสุดยังคงมีส่วนที่ไม่ได้รับการรีโนเวตอย่างสมบูรณ์ กำแพงบางส่วนยังเป็นอิฐเดิมที่เคยเป็นรั้วบ้านของพระยาอนุรักษ์

เอกภพเดินลากปลายนิ้วไปตามรอยอิฐเก่า

เขาหยุดลงตรงจุดหนึ่ง
ตรงกำแพงอิฐมุมลึก มีรอยจารึกด้วยสีดำจาง ๆ ว่า…

“จงอย่าลืมชื่อเรา”

เขาใช้ผ้าเช็ดฝุ่นออก เผยให้เห็นข้างใต้คืออักษรสลักไว้แบบหยาบ ๆ

“ว.อ.”
ข้างล่างมีอักษรเล็กว่า
“ปี พ.ศ. 2495 (ปีที่เกิดเหตุไฟไหม้)

เสียงคนเดินใกล้มา เขารีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย แล้วปิดไฟฉาย



หน้าร้านขายของเก่าใกล้ทางเข้า – ห้างเดียวกัน

เอกภพแวะซื้อโอเลี้ยง ก่อนจะลองถามเจ้าของร้านของเก่าซึ่งดูมีอายุเกิน 70 ปี

เอกภพ
“แถวนี้สมัยก่อนเคยเป็นบ้านเก่าหลังใหญ่นี่ครับ ว่ากันว่าไฟไหม้รุนแรง?”

ลุงเจ้าของร้าน
“ใช่ ๆ บ้านพระยาอนุรักษ์ สมัยก่อนหลังใหญ่มาก ต้นจำปีเต็มบ้านเลย… กลิ่นหอมจนจำได้จนตาย”

เอกภพชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “จำปี”

ลุงเจ้าของร้าน (ต่อ)
“หลังคาไม้ทั้งหลัง ไฟลามเร็วมาก แม่บ้านเด็กเล็ก คนใช้ตายเกือบหมด เหลือแต่ลูกสาวคนโต… เด็กคนนั้นรอดได้ยังไงก็ไม่รู้ เห็นว่าหนีออกมาทางห้องใต้ดิน”

เอกภพ
“แล้วเค้าไปอยู่ที่ไหนต่อครับ?”

ลุงหัวเราะขมขื่น

ลุง
“หายไปเลย… ญาติฝ่ายแม่รับตัวไป ออกข่าวอยู่สองสามวัน จากนั้นก็เงียบ ไม่มีใครเจอเด็กคนนั้นอีก”



เวลาเดียวกันที่บ้านวรภักด์ – ห้องนั่งเล่น

อรสานั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว
ในมือคือ “ประวัติเครือญาติชั้นสูงในยุคต้นรัตนโกสินทร์”
หน้าเปิดเป็นบทว่าด้วยตระกูลพระยาอนุรักษ์

เธอค่อย ๆ ลูบหน้ากระดาษเบา ๆ ก่อนจะหยุดที่ภาพของหญิงสาวคนหนึ่งในภาพเก่า
ใบหน้าเหมือนเธออย่างน่าตกใจ

เสียงในหัวเธอดังขึ้นอีกครั้ง
“วิภา… เจ้าต้องอยู่ให้ได้… ไม่ว่าใครจะพยายามลบชื่อของเจ้าออกไป”

เธอหลับตาแน่น มือกำเข็มกลัดจำปีที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อแน่น
ริมฝีปากกระซิบช้า ๆ

อรสา
“…ฉันไม่ลืม… แต่ใครบางคนต่างหาก…ที่ลืมไปแล้วว่าเคยฆ่าฉันทั้งเป็น”



ตัดกลับมาที่: เอกภพ – ในรถยนต์

เขากำลังใช้เครื่องบันทึกเสียง

เอกภพ
ไฟไหม้บ้านตระกูลพระยาอนุรักษ์
ชื่อผู้รอดชีวิต: วิภา
อายุปัจจุบันโดยประมาณ: 27
ชื่อปัจจุบันที่ต้องตรวจสอบ: อรสา วรภักดิ์ หรือ…ชื่ออื่นที่ยังไม่ปรากฏ”

เขาหยุดพูด มองออกไปนอกหน้าต่าง

เอกภพ (เสียงต่ำลง)
“และถ้าเธอคือเหยื่อ… ก็แปลว่าใครบางคนที่อยู่ในบ้านนั้น…คือฆาตกร”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่