หลังจากพักยังไม่ทันหายเหนื่อย ก็ต้องตื่นเพราะนัดไกด์ไว้แล้ว ซึ่งก็ใช้บริการของ Wild East Oman ก่อนจะใช้บริการผมก็ได้ลองเปรียบเทียบราคากับที่อื่นแล้ว ซึ่งที่นี่ก็น่าจะถูกที่สุดแล้วหล่ะ ผมและแฟนเลือกที่จะไป Wahiba Sands และ Wadi Bani Khalid (Wadi River) กัน โดยเสียค่าบริการคนละ 35 OMR สำหรับโปรแกรมของที่นี่ก็จะมีตั้งแต่ 1 วันไปจนถึง 5 วัน ถ้าไปตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปค่าบริการก็จะถูกลงเยอะ ใครที่กังวลเรื่องภาษาหล่ะก็ หายห่วงได้เลยเพราะไกด์สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และยังพูดไทยได้นิดหน่อยอีกด้วย ที่สำคัญทาง Wild East Oman นั้นเคยรับมือลูกค้าคนไทยมาแล้วอย่างโชกโชนรวมถึงดาราดังๆในไทยหลายต่อหลายคนมานานกว่า 4 ปี
มาพูดถึงเรื่องเดินทางกันดีกว่า สำหรับทริปนี้เราได้ออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้า โดยไกด์มารับเราถึงหน้าโรงแรมเลย สิ่งที่ผมได้เตรียมไปก็มีเพียงชุดประจำชาติที่จะเอาไปถ่ายรูปเท่านั้น แต่ไกด์ก็ยังเตรียมพร็อพต่างๆอย่างพ้าโพกหัวและดาบมาให้อีกด้วย บริการดีจริงๆ ก่อนเข้าสู่ทะเลทรายเราก็ได้แวะหมู่บ้าน Alwasen Village เพื่อซื้อน้ำและอาหารติดไม้ติดมือเข้าไป เพราะในทะเลทรายนั้น นอกจากทรายและอูฐแล้วก็ไม่มีอะไรเลย ตอนนั้นก็ได้ลอง Arabic Bread ที่ข้างในจะเป็นไก่และชิฟทาซอส Khbz Bibin แล้วห่อด้วยแป้ง อันนี้อร่อยกินแล้วติดใจเลย
หลังจากเตรียมเสบียงเสร็จ เราก็เข้าสู่เขตทะเลทราย Wahiba Sands แล้วด้วยเวลา 2 ชั่วโมงจากตัวเมืองมัสกัต พอได้เห็นทะเลทรายครั้งแรก น้ำตาไหลเลยครับ ทรายเข้าตาเยอะมากเพราะต้องเปิดกระจกตลอดทาง เวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตา ข้างทางก็จะเจออูฐบ้างซึ่งไกด์บอกว่าอูฐของโอมานแท้ๆนั้นจะเป็นสีน้ำตาลและมีราคาแพงมาก
หลังจากขับเข้ามาได้ซักพักก็จะเจอทรายสีทองเม็ดละเอียด แตกต่างกับช่วงแรกๆอย่างชัดเจน ตอนที่ผมมาอากาศที่นี่อยู่ที่ 30 องศา (หน้าร้อนอาจสูงขึ้นถึง 50 องศา) ทีนี้ไกด์ก็จะพาเราแวะไปหาเจ้าของอูฐ น้องอูฐน่ารักมาก เค้าเตือนว่าเวลาไปถ่ายรูปใกล้ๆระวังอย่าขยับตัวเร็วๆไม่งั้นน้องอูฐอาจจะตกใจและงับเราได้ โดยเราสามารถขี่ได้ 15 นาทีในราคา 5 OMR ต่อคน ซึ่งแอบหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะมันสูงกว่าที่คิด
อูฐที่นี่จะมีด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีดำซึ่งเป็นพันธุ์จากอียิปต์ สีขาวจากซูดาน และสีน้ำตาลเป็นพันธุ์แท้จากโอมาน ปกติแล้วเค้าจะเลี้ยงกันแบบเปิด ปล่อยให้หากินกันเองเลย แต่จะผูกเชือกที่ขาหน้าไว้เพื่อไม่ให้อูฐเดินจนหลงไปไกล และแต่ละตัวก็จะใช้เวลาฝึกสอนเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้นเอง น้องอูฐเชื่องมากแต่ดูเหมือนจะไม่ชอบให้เราไปลูบหัวซักเท่าไหร่ และตามพื้นอาจจะมีงูอยู่บ้าง ฟังไกด์ให้ดีๆอย่าเดินเล่นไปไหนมาไหนไกลหล่ะ
หลังจากที่เราขี่อูฐกันจนหนำใจก็ได้เวลาถ่ายรูปชุดประจำชาติของโอมานแล้ว (Dishdasha และ Abaya) ซึ่งทางไกด์ก็ได้สวมผ้าโพกหัวรวมทั้งจัดเตรียมพร็อพอย่างดาบและมีดสั้นไว้ให้ ชุดเลยดูจัดเต็มอลังการมาก
หลังจากสนุกสนานไปกับทะเลทรายจนตัวแดงแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้งไปสู่ Wadi Bani Khalid (Wadi River) ซึ่งห่างจากที่นี่เพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง แต่ก่อนอื่นก็ต้องแวะหาอะไรรองท้องซักหน่อย โดยไกด์ก็พาเราไปลองเมนูที่ชื่อว่า Degag Makinah ซึ่งจะเป็นไก่ย่างหนังกรอบๆ มาพร้อมกับซอส Hummus และแป้งโรตีกับเครื่องเคียง อันนี้ผมว่าอร่อยดีนะ แต่คนไทยหลายๆคนอาจจะไม่ชอบกัน
หลังจากพวกเราออกจากทะเลทรายได้ครึ่งชั่วโมง ก็ถึง Wadi Bani Khalid (Wadi River) แล้ว ซึ่งจากที่จอดรถเราจะต้องเดินเข้าไปตามทางน้ำอีก 5 นาทีก็จะเจอโอเอซิสขนาดใหญ่กลางหุบเขาและมีต้นไม้รายล้อมเต็มไปหมด (คราวนี้มีน้องลาให้ขี่ด้วย) มีน้ำสีเขียวใสมองเห็นถึงพื้นทีเดียว และที่นี่ก็ยังสะอาดมากๆอีกด้วยเนื่องจากว่านักท่องเที่ยวหลายๆคนก็ให้ความร่วมมือในการทิ้งขยะตามจุดที่กำหนดไว้เป็นอย่างดี
พอเดินเข้ามาได้ซักพักก็จะเจอโขดหินขนาดยักษ์ซึ่งเป็นจุดที่มีน้ำลึกขึ้น นักท่องเที่ยวหลายๆคนก็จะมาว่ายน้ำกันในจุดนี้ ซึ่งสามารถว่ายน้ำหรือเดินเข้าไปจนถึงน้ำตกภายในถ้ำได้ แต่เราก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปกันเพราะอาจจะเปียกและเราก็ไม่ได้เตรียมชุดไปเปลี่ยนด้วย
หลังจากชมบรรยากาศที่นี่ไปได้ชั่วโมงนึงก็ได้เวลากลับกันแล้ว ขากลับเราก็ถึงโรงแรมประมาณ 6 โมงเย็น ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ก็ยังเหนื่อยสะสมจากการเที่ยวทริปเมื่อวานอยู่ ตอนนี้ท้องก็เริ่มร้องละ แฟนผมเลยชวนไปกินร้านอาหารตุรกีเจ้าประจำ ที่ร้าน Turkish House ในย่าน Al Khuwair ร้านนี้จะเปิดประมาณ 1 ทุ่ม เป็นร้านขนาดใหญ่ มีถึง 3 ร้านในละแวกเดียวกัน ดูจากปริมาณคนในร้านก็มั่นใจได้ว่าน่าจะอร่อย และราคาก็ไม่ได้แพงเลย ซึ่งพวกเราก็ได้สั่งเมนูอย่าง Fatush Salad, Mix Sea Food และ Cheese and Labna Fatair ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่ 10 OMR เท่านั้น
หน้าตาของ Mix Sea Food ครับ จะมีทั้งปลา, ปลาหมึก กุ้งและเฟรนฟราย และยังเสริฟพร้อมกับขนมปังจานโต ที่ไม่สามารถกินได้หมด
ตามมาด้วย Cheese and Labna Fatair อันนี้จะคล้ายๆพิซซ่า มีหน้าเป็นโยเกิร์ตชีส อบมาร้อนๆกรอบๆหอมอร่อย
และก็ปิดท้ายด้วย Fatush Salad ที่จะใส่ขนมปังมาด้วย มาพร้อมกับน้ำสลัดแบบใสรสเปรี้ยวๆ
แน่นอนครับ สั่งมาขนาดนี้กินสองคนก็ต้องไม่หมดอยู่แล้ว นอกจากปริมาณอันมหาศาลแล้ว รสชาติยังถูกปากอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมลูกค้าถึงเยอะ พออิ่มหนำจนหนังท้องตึงแล้วก็ได้เวลากลับที่พักไปพักผ่อน เอาหล่ะตอนนี้ก็เที่ยวนอกเมืองไปหลายที่แล้ว ตอนหน้าเดี๋ยวเรามาดูกันว่าในตัวเมืองมัสกัตจะมีอะไรให้ทำบ้าง ติดตามกันต่อตอนหน้านะ
สำหรับใครที่สนใจข้อมูลของ
Wild East Oman สามารถคลิกที่นี่ได้เลย ในลิงค์จะมีบอกทั้งข้อมูลติดต่อ, ราคาและข้อมูลทริปต่างๆอย่างครบถ้วนเลย
อ่านบทความอื่นๆ
[Review] ไฟลท์เฉพาะกิจ BKK-MCT กับ Oman Air
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 1 บินลัดฟ้าสู่แดนอาหรับ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 2 ขี่อูฐ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 3 กินเที่ยวในมัสกัต
สุดท้ายนี้ก็ขอฝาก Blog ของผม
http://gopycat.com/ และเพจ
https://www.facebook.com/Gopycat/ ไว้ด้วยนะครับ
มีรีวิวอีกหลายอย่างให้ชมกันเลย
มีความคิดเห็นยังไงรบกวนติชมกันด้วยนะครับ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 2 ขี่อูฐ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ
มาพูดถึงเรื่องเดินทางกันดีกว่า สำหรับทริปนี้เราได้ออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมงเช้า โดยไกด์มารับเราถึงหน้าโรงแรมเลย สิ่งที่ผมได้เตรียมไปก็มีเพียงชุดประจำชาติที่จะเอาไปถ่ายรูปเท่านั้น แต่ไกด์ก็ยังเตรียมพร็อพต่างๆอย่างพ้าโพกหัวและดาบมาให้อีกด้วย บริการดีจริงๆ ก่อนเข้าสู่ทะเลทรายเราก็ได้แวะหมู่บ้าน Alwasen Village เพื่อซื้อน้ำและอาหารติดไม้ติดมือเข้าไป เพราะในทะเลทรายนั้น นอกจากทรายและอูฐแล้วก็ไม่มีอะไรเลย ตอนนั้นก็ได้ลอง Arabic Bread ที่ข้างในจะเป็นไก่และชิฟทาซอส Khbz Bibin แล้วห่อด้วยแป้ง อันนี้อร่อยกินแล้วติดใจเลย
หลังจากเตรียมเสบียงเสร็จ เราก็เข้าสู่เขตทะเลทราย Wahiba Sands แล้วด้วยเวลา 2 ชั่วโมงจากตัวเมืองมัสกัต พอได้เห็นทะเลทรายครั้งแรก น้ำตาไหลเลยครับ ทรายเข้าตาเยอะมากเพราะต้องเปิดกระจกตลอดทาง เวลามองไปทางไหนก็เห็นแต่ทะเลทรายไกลสุดลูกหูลูกตา ข้างทางก็จะเจออูฐบ้างซึ่งไกด์บอกว่าอูฐของโอมานแท้ๆนั้นจะเป็นสีน้ำตาลและมีราคาแพงมาก
หลังจากขับเข้ามาได้ซักพักก็จะเจอทรายสีทองเม็ดละเอียด แตกต่างกับช่วงแรกๆอย่างชัดเจน ตอนที่ผมมาอากาศที่นี่อยู่ที่ 30 องศา (หน้าร้อนอาจสูงขึ้นถึง 50 องศา) ทีนี้ไกด์ก็จะพาเราแวะไปหาเจ้าของอูฐ น้องอูฐน่ารักมาก เค้าเตือนว่าเวลาไปถ่ายรูปใกล้ๆระวังอย่าขยับตัวเร็วๆไม่งั้นน้องอูฐอาจจะตกใจและงับเราได้ โดยเราสามารถขี่ได้ 15 นาทีในราคา 5 OMR ต่อคน ซึ่งแอบหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะมันสูงกว่าที่คิด
อูฐที่นี่จะมีด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีดำซึ่งเป็นพันธุ์จากอียิปต์ สีขาวจากซูดาน และสีน้ำตาลเป็นพันธุ์แท้จากโอมาน ปกติแล้วเค้าจะเลี้ยงกันแบบเปิด ปล่อยให้หากินกันเองเลย แต่จะผูกเชือกที่ขาหน้าไว้เพื่อไม่ให้อูฐเดินจนหลงไปไกล และแต่ละตัวก็จะใช้เวลาฝึกสอนเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้นเอง น้องอูฐเชื่องมากแต่ดูเหมือนจะไม่ชอบให้เราไปลูบหัวซักเท่าไหร่ และตามพื้นอาจจะมีงูอยู่บ้าง ฟังไกด์ให้ดีๆอย่าเดินเล่นไปไหนมาไหนไกลหล่ะ
หลังจากที่เราขี่อูฐกันจนหนำใจก็ได้เวลาถ่ายรูปชุดประจำชาติของโอมานแล้ว (Dishdasha และ Abaya) ซึ่งทางไกด์ก็ได้สวมผ้าโพกหัวรวมทั้งจัดเตรียมพร็อพอย่างดาบและมีดสั้นไว้ให้ ชุดเลยดูจัดเต็มอลังการมาก
หลังจากสนุกสนานไปกับทะเลทรายจนตัวแดงแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้งไปสู่ Wadi Bani Khalid (Wadi River) ซึ่งห่างจากที่นี่เพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้นเอง แต่ก่อนอื่นก็ต้องแวะหาอะไรรองท้องซักหน่อย โดยไกด์ก็พาเราไปลองเมนูที่ชื่อว่า Degag Makinah ซึ่งจะเป็นไก่ย่างหนังกรอบๆ มาพร้อมกับซอส Hummus และแป้งโรตีกับเครื่องเคียง อันนี้ผมว่าอร่อยดีนะ แต่คนไทยหลายๆคนอาจจะไม่ชอบกัน
หลังจากพวกเราออกจากทะเลทรายได้ครึ่งชั่วโมง ก็ถึง Wadi Bani Khalid (Wadi River) แล้ว ซึ่งจากที่จอดรถเราจะต้องเดินเข้าไปตามทางน้ำอีก 5 นาทีก็จะเจอโอเอซิสขนาดใหญ่กลางหุบเขาและมีต้นไม้รายล้อมเต็มไปหมด (คราวนี้มีน้องลาให้ขี่ด้วย) มีน้ำสีเขียวใสมองเห็นถึงพื้นทีเดียว และที่นี่ก็ยังสะอาดมากๆอีกด้วยเนื่องจากว่านักท่องเที่ยวหลายๆคนก็ให้ความร่วมมือในการทิ้งขยะตามจุดที่กำหนดไว้เป็นอย่างดี
พอเดินเข้ามาได้ซักพักก็จะเจอโขดหินขนาดยักษ์ซึ่งเป็นจุดที่มีน้ำลึกขึ้น นักท่องเที่ยวหลายๆคนก็จะมาว่ายน้ำกันในจุดนี้ ซึ่งสามารถว่ายน้ำหรือเดินเข้าไปจนถึงน้ำตกภายในถ้ำได้ แต่เราก็ตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปกันเพราะอาจจะเปียกและเราก็ไม่ได้เตรียมชุดไปเปลี่ยนด้วย
หลังจากชมบรรยากาศที่นี่ไปได้ชั่วโมงนึงก็ได้เวลากลับกันแล้ว ขากลับเราก็ถึงโรงแรมประมาณ 6 โมงเย็น ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ก็ยังเหนื่อยสะสมจากการเที่ยวทริปเมื่อวานอยู่ ตอนนี้ท้องก็เริ่มร้องละ แฟนผมเลยชวนไปกินร้านอาหารตุรกีเจ้าประจำ ที่ร้าน Turkish House ในย่าน Al Khuwair ร้านนี้จะเปิดประมาณ 1 ทุ่ม เป็นร้านขนาดใหญ่ มีถึง 3 ร้านในละแวกเดียวกัน ดูจากปริมาณคนในร้านก็มั่นใจได้ว่าน่าจะอร่อย และราคาก็ไม่ได้แพงเลย ซึ่งพวกเราก็ได้สั่งเมนูอย่าง Fatush Salad, Mix Sea Food และ Cheese and Labna Fatair ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่ 10 OMR เท่านั้น
หน้าตาของ Mix Sea Food ครับ จะมีทั้งปลา, ปลาหมึก กุ้งและเฟรนฟราย และยังเสริฟพร้อมกับขนมปังจานโต ที่ไม่สามารถกินได้หมด
ตามมาด้วย Cheese and Labna Fatair อันนี้จะคล้ายๆพิซซ่า มีหน้าเป็นโยเกิร์ตชีส อบมาร้อนๆกรอบๆหอมอร่อย
และก็ปิดท้ายด้วย Fatush Salad ที่จะใส่ขนมปังมาด้วย มาพร้อมกับน้ำสลัดแบบใสรสเปรี้ยวๆ
แน่นอนครับ สั่งมาขนาดนี้กินสองคนก็ต้องไม่หมดอยู่แล้ว นอกจากปริมาณอันมหาศาลแล้ว รสชาติยังถูกปากอีกด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมลูกค้าถึงเยอะ พออิ่มหนำจนหนังท้องตึงแล้วก็ได้เวลากลับที่พักไปพักผ่อน เอาหล่ะตอนนี้ก็เที่ยวนอกเมืองไปหลายที่แล้ว ตอนหน้าเดี๋ยวเรามาดูกันว่าในตัวเมืองมัสกัตจะมีอะไรให้ทำบ้าง ติดตามกันต่อตอนหน้านะ
สำหรับใครที่สนใจข้อมูลของ Wild East Oman สามารถคลิกที่นี่ได้เลย ในลิงค์จะมีบอกทั้งข้อมูลติดต่อ, ราคาและข้อมูลทริปต่างๆอย่างครบถ้วนเลย
อ่านบทความอื่นๆ
[Review] ไฟลท์เฉพาะกิจ BKK-MCT กับ Oman Air
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 1 บินลัดฟ้าสู่แดนอาหรับ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 2 ขี่อูฐ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 3 กินเที่ยวในมัสกัต
สุดท้ายนี้ก็ขอฝาก Blog ของผม http://gopycat.com/ และเพจ https://www.facebook.com/Gopycat/ ไว้ด้วยนะครับ
มีรีวิวอีกหลายอย่างให้ชมกันเลย
มีความคิดเห็นยังไงรบกวนติชมกันด้วยนะครับ