[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 1 บินลัดฟ้าสู่แดนอาหรับ

หลังจากที่วันก่อนได้รีวิวสายการบิน Oman Air ให้เพื่อนๆได้ดูกันแล้ว วันนี้ผมก็จะขอมาเล่าเรื่องราวของการไปเที่ยวทริปที่ผ่านมาให้ได้ฟังกัน และประเทศที่ผมได้ไปเยือนในคราวนี้ก็คือโอมาน ประเทศที่กำลังฮิตในหมู่คนไทยสายฮิปสเตอร์นั่นเอง ที่เลือกประเทศนี้ก็ไม่ได้เลือกตามกระแสแต่อย่างใด แต่เพราะว่าแฟนผมทำงานอยู่ที่นี่มาตั้ง 3 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้มาหาเลยซักครั้งต่างหาก คราวนี้ประจวบเหมาะกับที่ตรงกับวันหยุดของแฟนผมพอดีและก็ตรงกับวันวาเลนไทน์ด้วย เราเลยคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ไปเที่ยวกันซักหน่อย โดยทริปนี้พวกเราใช้เวลาในการเตรียมตัวกันแค่ 2 วันก่อนการเดินทางเท่านั้นไม่ได้วางแผนไว้ก่อนแต่อย่างใด จึงไม่สามารถจองตั๋วและที่พักล่วงหน้าในราคาถูกๆได้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในทริปนี้ค่อนข้างสูงพอสมควร

สายการบินที่ผมเลือกในครั้งนี้นั้น ก็แน่นอนหล่ะ Oman Air อยู่แล้ว เพราะถ้าเทียบกับสายการบินอื่นๆอย่าง การบินไทย, Etihad, Emirates หรือ SriLankan แล้ว Oman Air ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องเวลาในการเดินทางและราคา โดยปกติแล้ว Oman Air ก็จะให้บริการเป็นไฟลท์บินตรง BKK-MCT วันละ 2 รอบ เช้า-เย็น และใช้เวลาเพียงแค่ 5-6 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ซึ่งผมก็เลือกบินไฟลท์กลางคืน ออกจากไทยประมาณ 2 ทุ่ม และไปถึงโอมานตอนเที่ยงคืน (เวลาที่โอมานช้ากว่าไทย 3 ชั่วโมง) ส่วนมากไฟล์ท BKK-MCT นี้มักจะเต็ม โดยเฉพาะวันพฤหัส-อาทิตย์เพราะว่าเป็นช่วงวันหยุด Weekend ของโอมาน และเนื่องจากว่าเคยทำรีวิวสายการบิน Oman Air ไปแล้ว ขออนุญาตข้ามในส่วนนี้นะครับ ถ้าสนใจอ่าน รีวิวสายการบิน Oman Air คลิกที่นี่

ก่อนหน้าที่เราจะบินกัน แน่นอนหล่ะก็ต้องแลกเงินก่อนใช่มั้ยหล่ะ ใครที่ต้องการแลกเงินเพิ่มหรือยังไม่ได้แลกมา ก็สามารถไปแลกที่ Super Rich ชั้น B บริเวณที่ซื้อบัตร Airport Link ได้เลย (ค่าเงินปกติจะอยู่ที่ 1 OMR = 90 THB ณ วันที่ 09/02/2017) พอพร้อมทุกอย่างแล้วหล่ะก็ ได้เวลาเดินทางกันละ แนะนำว่าแต่งตัวค่อนข้างสุภาพหน่อยก็ดีนะครับ เพราะว่าประเทศนี้เป็นประเทศอิสลามคนที่นี่เลยแต่งตัวกันมิดชิด แค่เราใส่ชุดธรรมดาไปก็โดนรุมล้อมไปด้วยสายตานับร้อยกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเอากางเกงขาสั้นไว้ใส่ในวันที่ไปเที่ยวนอกเมืองดีกว่าเนอะ


หลังจากถึงสนามบินมัสกัตเราก็จะต้องไปจัดการทำ Visa on Arrivals ซะก่อน โดยจะมีป้ายบอกชัดเจนก่อนที่จะผ่านเข้าด่าน ตม. โดยราคาสำหรับ 10 วันนั้นจะอยู่ที่ 5 OMR (ราวๆ 450 บาท) ใครลืมแลกเงินมาก็แลกที่นี่ได้เลยแต่ทางที่ดีควรจะเป็นเงินดอลลาร์มากกว่าเงินบาท (รู้สึกว่าร้านที่ชื่อ Al Jadeed Exchange เรทจะดีกว่า) พอจ่ายเงินเสร็จเราก็จะได้ Visa มาเป็นสลิปเหมือนใบเสร็จ หลังจากผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็จะออกมาเจอกับเคาเตอร์ขายซิมโทรศัพท์และจุดเรียก Taxi สำหรับซิมโทรศัพท์นั้นสามารถซื้อได้ในราคา 2 OMR (ค่าอินเตอร์เน็ตวันละ 1 OMR เล่นได้ 1 GB) แต่เล่นไลน์ไม่ได้นะ ถ้าอยากเล่นต้องโหลดแอพ VPN มาใช้ด้วย ถ้าไม่รู้จะใช้แอพไหนก็แนะนำเป็น Onavo Protect นะครับ และจะมีหลักๆ 3 เครือข่าย ได้แก่ Friendi mobile, Ooredoo และ Omantel ซึ่งแพ็กเกจนั้นก็แทบจะเหมือนกัน แต่จากประสบการณ์ของแฟนผมก็แนะนำให้เลือก Ooredoo เนื่องจากสัญญาณเสถียรดี

คนที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย, ปากีสถาน, บังคลาเทศ และฟิลิปปินส์ครับ ชาวโอมานแท้ๆ (เรียกว่า Omani) มีกันน้อยเนื่องจากชาวต่างชาติจะเข้ามาทำงานเกี่ยวกับแรงงานและบริการกันเยอะ และคนโอมานส่วนใหญ่จะทำงานออฟฟิศกันซะมากกว่า



พอเราซื้อซิมเสร็จ ตอนนี้ก็ถึงเวลาเข้าโรงแรมกันซักที โดยที่นี่จะมี Taxi 2 แบบ คือ Taxi ของสนามบินที่จะมีมิเตอร์เหมือนบ้านเรา และ Taxi ทั่วไปที่จะต้องต่อรองราคาเอาเอง ซึ่งปกติแล้วถ้าเข้าไปในตัวเมืองมัสกัตนั้นราคาจะอยู่ราวๆ 4 OMR ปกติแล้วที่นี่ Taxi จะนิยมให้ WhatsApp กับผู้โดยสาร ถ้าเราเจอ Taxi ที่ถูกใจหรือให้ราคาที่ดี ก็ขอ WhatsApp เค้าไว้ก็ได้

ทีนี้ก็มาพูดถึงเรื่องโรงแรมกันบ้าง โรงแรมในมัสกัตนั้นราคาค่อนข้างสูง ถึงแม้จะจองล่วงหน้าก็อยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาทเลย โรมแรมที่ผมกับแฟนเลือกในครั้งนี้ก็คือ Somerset Panorama Muscat โรมแรมใหม่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงมัสกัต ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเพียงแค่ 15 นาที ตัวโรงแรมติดกับ Panorama Mall และยังอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอย่าง Muscat Grand Mall, Al Ghubra Beach และ the Sultan Qaboos Grand Mosque อีกด้วย รวมไปถึง Hypermarket ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงมัสกัตอย่าง Lulu และห้าง Muscat Avenue (บางที่สามารถเดินไปก็ได้นะ) ที่นี่จะออกแนวอพาร์ทเม้นท์ซักหน่อย มีห้องครัวและเครื่องซักผ้าให้ด้วย แต่ไม่มีอาหารเช้าให้นะ ถ้าอยากได้เพิ่มจะต้องจ่ายอีก 8.2 OMR ซึ่งเราก็มีครัวอยู่แล้วนี่เนอะ ทำเองก็ถูกกว่าอยู่แล้ว



ตัวโรงแรมดูหรู สวยมาก เข้ามาก็เจอกับพนักงานต้อนรับบริการอย่างดี ข้างๆเคาเตอร์จะมีบอกตารางเวลารับ-ส่งไปยัง Shatti Al Qurum Beach และ The Cave/ Muttrah Souq ฟรีด้วย แต่ผมพึ่งมาเจอเอาวันสุดท้ายตอนเช็คเอ้าท์ เลยอดใช้บริการเลย





หลังจากเช็คอินเสร็จก็ได้เวลาตะลุยต้องพักกันแล้ว เปิดเข้ามาก็จะได้เจอกับห้องขนาด 50 ตารางเมตร และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครันเช่น ตู้เย็น, ไมโครเวฟ, โทรทัศน์, ตู้เซฟ, เครื่องซักผ้า ไปยันโต๊ะรีดผ้า ซึ่งของแต่ละอย่างนั้นใหม่มากๆ ใหม่จนได้กลิ่นเฟอร์นิเจอร์เลย 555 ส่วนปลั๊กไฟที่นี่จะเป็นแบบประเทศอังกฤษ เราสามารถหาซื้อ Adapter ได้ตาม Supermarket ในราคาไม่กี่สิบบาท ทีนี้ก็ถึงเวลาพักผ่อนซักที






เนื่องจากว่าวันแรกนั้นยังไม่ได้เตรียมตัวหรือวางแผนอะไรมา พอนอนเต็มอิ่มแล้วเราจึงตัดสินใจมาชมวิวตรงระเบียง และต่อด้วยการไปสอดส่องดูสระว่ายและฟิตเนสกันซักหน่อย วิวจากระเบียงห้องนอนนั้นสวยมาก มองออกมาเป็นตึกเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เห็นแดดแรงๆแบบนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 22 องศาเท่านั้นเองนะ ส่วนห้องฟิตเนสที่นี่จะแยกชาย-หญิงนะครับ (ไม่ได้แยกแค่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านะ) สามารถใช้บริการได้ฟรีเลย เว้นแต่ว่าถ้าอยากใช้บริการสปานั้นจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งราคาก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน แค่นวดครึ่งชั่วโมงก็พอๆกับค่าอาหารทั้งวันแล้ว








พอว่ายน้ำเล่นได้ซักพัก เพื่อนของแฟนผมก็โทรมาชวนไปเที่ยว Jebel Akhdar ด้วยกัน ซึ่งพวกเราก็ตอบอย่างไม่ลังเลเลย เพราะว่างอยู่พอดี และการจะเดินทางไปนั้นก็ต้องขับรถไปถึง 2 ชั่วโมง ระหว่างการเดินทางก็จะเห็นภูเขาตลอดสองข้างทาง อากาศที่ Jebel Akhdar นั้นดีมากๆ อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิจะอยู่ที่ 10-20 องศาตลอดปี


ที่นี่จะมีจุดชมวิวอยู่หลายจุดมากๆ และนอกจากนี้ก็ยังมีหมู่บ้านกระจายอยู่ตามเชิงเขาดูสงบและสวยงามมากๆ





หลังจากเดินเที่ยวในหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็แวะไปชมวิวสวยๆและกินข้าวในโรงแรมกันบ้าง โรมแรมแรกที่พวกเราแวะพักนั้นชื่อ Sahab Hotel เราจะแวะไปดูพระอาทิตย์ตกที่นี่กัน ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่ไม่เคยอินกับการดูพระอาทิตย์ตกมาก่อน แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตาตัวเองแล้วเนี่ย ขอบอกว่าพลาดไม่ได้เลยจริงๆ




หลังจากเที่ยวมาทั้งวันแล้วก็ถึงเวลาอาหารซักที แต่เราไม่กินที่นี่หรอกนะ เพราะเราจะไปกินกันที่ Anantara Al Jabal Al Akhdar Resort ซึ่งกว่าพวกเราจะไปถึง พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เป็นไร แค่มาเห็นวิวในตัวรีสอร์ทก็คุ้มค่าแล้ว ในตัวรีสอร์ทที่นี่จะมีกองไฟจัดวางกระจายกันตามจุดต่างๆไว้สำหรับให้ความอบอุ่มแก่ผู้ที่มาพัก สำหรับอากาศตอนกลางคืนที่หนาวเย็นมันช่วยได้เยอะจริงๆครับ






พอกินข้าวอิ่มเราก็จะเดินทางกลับกันแล้ว แต่ก่อนจะกลับก็ต้องแวะที่ Nizwa เพื่อซื้อชุดประจำชาติของที่นี่ซักหน่อย จาก Jebel Akhdar ไปถึง Nizwa นั้นเราใช้เวลาไปร่วมๆ 30 นาที ที่นี่จะมีทั้ง Nizwa Fort และ Nizwa Souq ตอนผมไปถึงก็ 5 ทุ่มกว่าๆแล้ว ตัว Nizwa Fort ก็ปิดไปเป็นที่เรียบร้อย ส่วนร้านภายใน Nizwa Souq ก็ยังเปิดอยู่บ้างประปราย ซึ่งก็ได้ชุดประจำชาติของที่นี่มาทั้งของผมและของแฟนในราคา 11 OMR และ 25 OMR ของผู้ชายเรียกว่า Dishdasha ส่วนของผู้หญิงจะเรียกว่า Abaya อันนี้ถือว่าได้ในราคาค่อนข้างถูกแล้วนะครับ ตอนแรกแพงกว่านี้เยอะเลย แต่พอดีมีเพื่อนเป็นคนโอมานเลยช่วยต่อราคาให้ได้ หลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลากลับที่พัก กว่าจะถึงก็เกือบตีหนึ่งแล้ว แล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องออกเดินทางแต่ 7 โมงเช้าอีก ส่วนจะไปที่ไหนนั้น ตอนหน้าจะมาเล่าต่อนะครับ

อ่านบทความอื่นๆ
[Review] ไฟลท์เฉพาะกิจ BKK-MCT กับ Oman Air
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 1 บินลัดฟ้าสู่แดนอาหรับ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 2 ขี่อูฐ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ
[Travel] บุกโอมาน ตามหารัก : ตอนที่ 3 กินเที่ยวในมัสกัต

สุดท้ายนี้ก็ขอฝาก Blog ของผม http://gopycat.com/ และเพจ https://www.facebook.com/Gopycat/ ไว้ด้วยนะครับ
มีรีวิวอีกหลายอย่างให้ชมกันเลย
มีความคิดเห็นยังไงรบกวนติชมกันด้วยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่