เดี๋ยวนี้ใครๆก็ให้ความสนใจหันมาเล่นโยคะเพื่อสุขภาพกันมากมาย แต่ถ้าไม่รู้จะเริ่มเล่นโยคะจากตรงไหน
วันนี้ขออนุญาติแบ่งปันความรู้ที่พอมีอยู่บ้าง สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเริ่มต้นฝึก โยคะ กันคะ
1. โยคะ หมายถึง ร่างกาย จิตใจและ ลมหายใจ
การฝึกโยคะเป็นการรวมกายและใจเข้าด้วยกัน เหมือนกับการที่เรานั่งสมาธิให้ ต้องมีกายสงบแน่วแน่ และลมหายใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายเรา โยคะไม่เพียงจะช่วยเรื่องความงาม แต่ยังช่วยเรื่องสุขภาพด้วย การฝึกโยคะเป็นการฝึกให้ร่างกายของมีความสวยสง่างาม และ จะทำให้ร่างกายของเรามีบุคลิกที่ดี แข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสารอาหารนั้น สามารถผ่านไปเสียงเส้นประสาท ส่วนต่างๆ ทำให้การทำงานของต่อมไรท่อทำงานได้ดีขึ้น มีการยืดกล้ามเนื้อและยังช่วยกระชับส่วนต่างๆของร่างกายให้ดูดีได้อีกด้วย สุดท้ายโยคะจะเป็นการฝึกให้ ร่างกายสัมพันธ์กับการหายใจเข้าออก ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
2.ทำไมต้องเปล่งเสียงโอม …
ครูจิมมี่ เคยเขียนไว้ในบทความของท่านว่า ในคลาสโยคะหลายๆคลาส เวลาเริ่มคลาสและจบคลาสมักมีการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า”โอม” เพราะโยคะได้ถือกำเนิดขึ้นมา ตามอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า “โอม…” หมายถึง นัยะสัจธรรมของชีวิต ปริศนาธรรม ถึงการ…เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป…
ประโยชน์ของการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า”โอม”
ช่วยกระตุ้นระบบการหายใจ สังเกตจากการที่เราจะต้องหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนทุกครั้งที่จะเปล่งเสียง”โอม”ออกมา หลังจากนั้นก็ลากเสียงโอมยาวๆอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะหมดลมหายใจ จึงสิ้นสุดการเปล่งเสียงโอมยาวๆจนหมด
ช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง การทำงานของสมอง ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว มีสติ สังเกตจากตอนช่วงท้ายของการเปล่งเสียง”โอม” ตรงช่วงที่ออกเสียงอืม..ม..ม และปิดปาก เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในร่างกายรวมจนถึงภายในกระโหลกศรีษะของเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้ถึงความมีสติ ความสงบสุข และความตื่นตัว
ช่วยทำให้เรามีสมาธิขั้นเบื้องต้น-จิตจดจ่อ เมื่อเราต้องเปล่งเสียง”โอม” จิตของเราจะลืมคิดถึงเรื่องราวต่างๆ และสิ่งต่างๆไปชั่วขณะที่เราได้เปล่งคำนี้ เป็นพื้นฐานของการทำให้เราจดจ่อและเกิดสมาธิขั้นเบื้องต้น ดังนั้นการเปล่งเสียง”โอม” ก่อนที่เราจะเริ่มฝึกโยคะถือว่าเป็นการสนับสนุนให้ผู้ฝึกมีสมาธิในการฝึกที่ดีขึ้นด้วยโอม โยคะ
3.เราควรฝึกโยคะกี่ครั้งต่อสัปดาห์?
การฝึก โยคะ ง่ายๆ เพียงแค่ 1 ชม. ต่อสัปดาห์ก็ทำให้เราสัมผัสถึงประโยชน์ของโยคะได้ ถ้าใครมีเวลามากกว่านั้นและอยากที่จะฝึกมากขึ้น แน่นอนว่าเราจะได้รับประโยชน์มากขึ้น สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มฝึก(Beginner) พอขอแนะนำให้เริ่มต้นการฝึกโยคะ 2 -3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 20 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มเป็นทำต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่งก็จะดีมากๆ หากใครฝึกได้เรื่อยๆก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลามากเกินไป เพราะเมื่อเราเริ่มชิน และค้นพบความสุขของเราในขณะทำโยคะ เราจะรู้สึกทำได้ดีขึ้น สงบขึ้น และอยู่กับโยคะได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อเลยคะ
4. การเล่นโยคะ แตกต่างกับการยืดกล้ามเนื้อแบบอื่นอย่างไร?
ความพิเศษของโยคะอยู่ที่การเคลื่อนไหวของท่าทางต่างๆนั้นเชื่อมต่อกับลมหายใจและสมาธิ ทำให้ร่างกายของเราเรียนรู้ที่จะปรับกระบวนการคิด อารมณ์และความรู้สึก เพราะโยคะคือการฝึกให้เราอยู่กับปัจจุบัน มากกว่าเป้าหมายที่จะต้องทำให้เสร็จๆไป ร่างกายของเราจะมีความยืดหยุ่น กระชับมากขึ้น ด้วยการฝึกโยคะ อีกทั้งยังทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายความคิด ความรู้สึกที่พบเจอในระหว่างวันได้อย่างสบายๆ
5. เราไม่ได้เป็นคนตัวอ่อน จะฝึกโยคะได้หรือ?
ท่านปตัญชลี ผู้เขียนโยคะสูตร พูดไว้ว่า “ความยืดหยุ่นไร้ขีดจำกัด” หลายคนที่คิดว่า ร่างกายต้องมีความยืดหยุ่นมากๆถึงจะเริ่มฝึกโยคะได้ แต่การฝึกโยคะต่างหากที่ช่วยให้ร่างกายของเรามีความยืดหยุ่นได้มากขึ้น ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่ตัวแข็ง ยังไม่มีความยืดหยุ่นมากพอ มาฝึกโยคะกันเถอะคะ เพราะโยคะคือทางเลือกที่ดีที่จะสร้างความยืดหยุ่นให้ร่างกายของเรา
6. จะเริ่มฝึก โยคะง่ายๆ ต้องมีอะไรบ้าง?
สิ่งที่ต้องการจริงๆสำหรับการเริ่มต้นฝึกโยคะ คือ ร่างกาย และจิตใจของเรา ที่สำคัญคือการเปิดใจที่จะเรียนรู้และสิ่งที่ช่วยได้อีกอย่างหนึ่งคือ การเกงเลคกิ้งสำหรับเล่นโยคะ หรือกางเกงขาสั้นที่ใส่แล้วสบายๆขาไม่กว้างจนเกินไป และเสื้อยืดที่พอดีตัวไม่หลวมจนเกินไป
การฝึกโยคะ ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าอะไร เพราะเราใช้เท้าเปล่าในการฝึกอยู่แล้ว ข้อสำคัญที่ดีมากๆหากเรามีเวลาเตรียมคือ การพกผ้าขนหนูไปไว้ซับเหงื่อในคลาสเรียน ถ้าหากฝึกไปสักพักแล้วชอบ อาจจะลองหาซื้อเสื่อโยคะสักผืนไว้เอาไว้ไปฝึกส่วนตัวได้ แต่ถ้ายังไม่มีก็ไม่ต้องกังวลไปคะ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วที่สตูดิโอโยคะเขาจะมีเสื่อและอุปกรณ์ต่างๆให้ผู้ฝึกไว้ใช้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
7.ทำไมต้องทำให้ท้องว่าง 2- 3 ชั่วโมง ก่อนฝึกโยคะ?
เพราะการฝึกโยคะ เราต้องมีการทำท่าบิดตัว ก้ม เงย โค้ง งอไปข้างหน้า ข้างหลัง หากเราทานอาหารก่อนฝึกได้ไม่นานทำให้ร่างกายเราไม่ได้ย่อยอาหารอย่างเต็มที่จะทำให้ไม่สบายได้ แต่หากกลัวว่าจะหิวระหว่างฝึกและไม่มีแรงแน่หากไม่ทานก่อน แนะนำให้ทานอาหารว่าง เช่น โยเกิร์ต ถั่ว หรือน้ำผลไม้ก่อนเริ่มฝึกประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
ตอนนี้ จทก. กำลังมุมานะเขียนบทความต่างๆมากมาย เกี่ยวกับโยคะแะการดูแลสุขภาพ
หากให้มีเทคนิคอื่นๆก็อย่าลืมมาแบ่งปันกันได้นะคะ หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจเล่นโยคะ กันนะคะ
ขออนุญาติฝากเว็บไซค์ด้วยคะ
http://www.enoughhealthy.com
7 ข้อควรรู้ สำหรับผู้เริ่มต้นฝึก โยคะ ง่ายๆ
วันนี้ขออนุญาติแบ่งปันความรู้ที่พอมีอยู่บ้าง สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเริ่มต้นฝึก โยคะ กันคะ
1. โยคะ หมายถึง ร่างกาย จิตใจและ ลมหายใจ
การฝึกโยคะเป็นการรวมกายและใจเข้าด้วยกัน เหมือนกับการที่เรานั่งสมาธิให้ ต้องมีกายสงบแน่วแน่ และลมหายใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสมดุลในร่างกายเรา โยคะไม่เพียงจะช่วยเรื่องความงาม แต่ยังช่วยเรื่องสุขภาพด้วย การฝึกโยคะเป็นการฝึกให้ร่างกายของมีความสวยสง่างาม และ จะทำให้ร่างกายของเรามีบุคลิกที่ดี แข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลังทำให้เลือดและสารอาหารนั้น สามารถผ่านไปเสียงเส้นประสาท ส่วนต่างๆ ทำให้การทำงานของต่อมไรท่อทำงานได้ดีขึ้น มีการยืดกล้ามเนื้อและยังช่วยกระชับส่วนต่างๆของร่างกายให้ดูดีได้อีกด้วย สุดท้ายโยคะจะเป็นการฝึกให้ ร่างกายสัมพันธ์กับการหายใจเข้าออก ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
2.ทำไมต้องเปล่งเสียงโอม …
ครูจิมมี่ เคยเขียนไว้ในบทความของท่านว่า ในคลาสโยคะหลายๆคลาส เวลาเริ่มคลาสและจบคลาสมักมีการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า”โอม” เพราะโยคะได้ถือกำเนิดขึ้นมา ตามอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในบทสวดมนต์ของเทพทุกองค์ในศาสนาพราหมณ์ จะขึ้นต้นด้วยคำว่า “โอม…” หมายถึง นัยะสัจธรรมของชีวิต ปริศนาธรรม ถึงการ…เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป…
ประโยชน์ของการสวดมนต์หรือเปล่งเสียงคำว่า”โอม”
ช่วยกระตุ้นระบบการหายใจ สังเกตจากการที่เราจะต้องหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนทุกครั้งที่จะเปล่งเสียง”โอม”ออกมา หลังจากนั้นก็ลากเสียงโอมยาวๆอย่างต่อเนื่อง จนแทบจะหมดลมหายใจ จึงสิ้นสุดการเปล่งเสียงโอมยาวๆจนหมด
ช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง การทำงานของสมอง ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว มีสติ สังเกตจากตอนช่วงท้ายของการเปล่งเสียง”โอม” ตรงช่วงที่ออกเสียงอืม..ม..ม และปิดปาก เราจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในร่างกายรวมจนถึงภายในกระโหลกศรีษะของเรา ซึ่งทำให้เรารู้สึกได้ถึงความมีสติ ความสงบสุข และความตื่นตัว
ช่วยทำให้เรามีสมาธิขั้นเบื้องต้น-จิตจดจ่อ เมื่อเราต้องเปล่งเสียง”โอม” จิตของเราจะลืมคิดถึงเรื่องราวต่างๆ และสิ่งต่างๆไปชั่วขณะที่เราได้เปล่งคำนี้ เป็นพื้นฐานของการทำให้เราจดจ่อและเกิดสมาธิขั้นเบื้องต้น ดังนั้นการเปล่งเสียง”โอม” ก่อนที่เราจะเริ่มฝึกโยคะถือว่าเป็นการสนับสนุนให้ผู้ฝึกมีสมาธิในการฝึกที่ดีขึ้นด้วยโอม โยคะ
3.เราควรฝึกโยคะกี่ครั้งต่อสัปดาห์?
การฝึก โยคะ ง่ายๆ เพียงแค่ 1 ชม. ต่อสัปดาห์ก็ทำให้เราสัมผัสถึงประโยชน์ของโยคะได้ ถ้าใครมีเวลามากกว่านั้นและอยากที่จะฝึกมากขึ้น แน่นอนว่าเราจะได้รับประโยชน์มากขึ้น สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มฝึก(Beginner) พอขอแนะนำให้เริ่มต้นการฝึกโยคะ 2 -3 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 20 นาที แล้วค่อยๆเพิ่มเป็นทำต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่งก็จะดีมากๆ หากใครฝึกได้เรื่อยๆก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลามากเกินไป เพราะเมื่อเราเริ่มชิน และค้นพบความสุขของเราในขณะทำโยคะ เราจะรู้สึกทำได้ดีขึ้น สงบขึ้น และอยู่กับโยคะได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อเลยคะ
4. การเล่นโยคะ แตกต่างกับการยืดกล้ามเนื้อแบบอื่นอย่างไร?
ความพิเศษของโยคะอยู่ที่การเคลื่อนไหวของท่าทางต่างๆนั้นเชื่อมต่อกับลมหายใจและสมาธิ ทำให้ร่างกายของเราเรียนรู้ที่จะปรับกระบวนการคิด อารมณ์และความรู้สึก เพราะโยคะคือการฝึกให้เราอยู่กับปัจจุบัน มากกว่าเป้าหมายที่จะต้องทำให้เสร็จๆไป ร่างกายของเราจะมีความยืดหยุ่น กระชับมากขึ้น ด้วยการฝึกโยคะ อีกทั้งยังทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายความคิด ความรู้สึกที่พบเจอในระหว่างวันได้อย่างสบายๆ
5. เราไม่ได้เป็นคนตัวอ่อน จะฝึกโยคะได้หรือ?
ท่านปตัญชลี ผู้เขียนโยคะสูตร พูดไว้ว่า “ความยืดหยุ่นไร้ขีดจำกัด” หลายคนที่คิดว่า ร่างกายต้องมีความยืดหยุ่นมากๆถึงจะเริ่มฝึกโยคะได้ แต่การฝึกโยคะต่างหากที่ช่วยให้ร่างกายของเรามีความยืดหยุ่นได้มากขึ้น ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนที่ตัวแข็ง ยังไม่มีความยืดหยุ่นมากพอ มาฝึกโยคะกันเถอะคะ เพราะโยคะคือทางเลือกที่ดีที่จะสร้างความยืดหยุ่นให้ร่างกายของเรา
6. จะเริ่มฝึก โยคะง่ายๆ ต้องมีอะไรบ้าง?
สิ่งที่ต้องการจริงๆสำหรับการเริ่มต้นฝึกโยคะ คือ ร่างกาย และจิตใจของเรา ที่สำคัญคือการเปิดใจที่จะเรียนรู้และสิ่งที่ช่วยได้อีกอย่างหนึ่งคือ การเกงเลคกิ้งสำหรับเล่นโยคะ หรือกางเกงขาสั้นที่ใส่แล้วสบายๆขาไม่กว้างจนเกินไป และเสื้อยืดที่พอดีตัวไม่หลวมจนเกินไป
การฝึกโยคะ ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าอะไร เพราะเราใช้เท้าเปล่าในการฝึกอยู่แล้ว ข้อสำคัญที่ดีมากๆหากเรามีเวลาเตรียมคือ การพกผ้าขนหนูไปไว้ซับเหงื่อในคลาสเรียน ถ้าหากฝึกไปสักพักแล้วชอบ อาจจะลองหาซื้อเสื่อโยคะสักผืนไว้เอาไว้ไปฝึกส่วนตัวได้ แต่ถ้ายังไม่มีก็ไม่ต้องกังวลไปคะ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วที่สตูดิโอโยคะเขาจะมีเสื่อและอุปกรณ์ต่างๆให้ผู้ฝึกไว้ใช้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
7.ทำไมต้องทำให้ท้องว่าง 2- 3 ชั่วโมง ก่อนฝึกโยคะ?
เพราะการฝึกโยคะ เราต้องมีการทำท่าบิดตัว ก้ม เงย โค้ง งอไปข้างหน้า ข้างหลัง หากเราทานอาหารก่อนฝึกได้ไม่นานทำให้ร่างกายเราไม่ได้ย่อยอาหารอย่างเต็มที่จะทำให้ไม่สบายได้ แต่หากกลัวว่าจะหิวระหว่างฝึกและไม่มีแรงแน่หากไม่ทานก่อน แนะนำให้ทานอาหารว่าง เช่น โยเกิร์ต ถั่ว หรือน้ำผลไม้ก่อนเริ่มฝึกประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
ตอนนี้ จทก. กำลังมุมานะเขียนบทความต่างๆมากมาย เกี่ยวกับโยคะแะการดูแลสุขภาพ
หากให้มีเทคนิคอื่นๆก็อย่าลืมมาแบ่งปันกันได้นะคะ หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่สนใจเล่นโยคะ กันนะคะ
ขออนุญาติฝากเว็บไซค์ด้วยคะ http://www.enoughhealthy.com