หนุ่มไม้ขวดกับสาวไม้ดอก ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
**หมายเหตุ เนื้อหาในตอนนี้กล่าวถึงสถานที่และบุคคลที่มีตัวตนจริง หากเขียนสิ่งใดผิดไปต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ จากผู้เขียน

    “ซื้อโกโก้มาเผื่อ อร่อยนะ” เอกรัตน์ขึ้นรถพร้อมกับยื่นแก้วโกโก้ปั่นจากร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันให้อลิเซีย

    เผลอนิดเดียวเวลาก็ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว อลิเซียไม่ระย่อต่อความร้อนปลายเดือนเมษายนที่ผ่อนคลายลง หญิงสาวยังใช้เวทมนตร์ในการเร่งการเติบโตของกล้วยไม้ให้เอกรัตน์อยู่เสมอทั้งที่กุหลาบแก้วของเธอยังไม่สามารถแตกยอดหรือรากเลยสักขวด เอกรัตน์เห็นว่าอลิเซียคงเครียดที่เขาทำไม่ได้สักทีจึงชวนออกไปเที่ยวพักผ่อนสักวันหนึ่ง เขาสองคนออกเดินทางตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น จุดหมายอยู่ที่ราชบุรี สวนไม้ตัดใบที่เอกรัตน์เคยมาฝึกงานสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

    “ชินหรือยัง กับโทรศัพท์เครื่องนั้น” เอกรัตน์หมายถึงสมาร์ทโฟนที่ใช้น้องชายไปซื้อให้อลิเซียเมื่ออาทิตย์ก่อน เขาซื้อซิมการ์ดโดยใช้บัตรประชาชนของเขาเอง

    ตลอดสัปดาห์อลิเซียหน้านิ่วคิ้วขมวดทุกครั้งที่ทดลองใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ เอกรัตน์คิดว่าคงยากสักนิดสำหรับหล่อนที่ไม่เคยสัมผัสเทคโนโลยีเลย ทว่าหญิงสาวทำได้ดีเหลือเชื่อ แค่ไม่กี่วันก็ใช้งานพื้นฐานได้แล้ว

    “ในดินแดนของลิเซียมีเวทมนตร์สื่อสาร เหมือนกับใช้เจ้าสิ่งนี้ แต่เห็นหน้ากันด้วย” อลิเซียชูสมาร์ทโฟนให้เอกรัตนดู ท่าทางสนอกสนใจไม่เสื่อมคลาย

    “ใช้ไลน์คุยกันก็เห็นหน้าได้ เป็นโปรแกรมในเครื่องน่ะ” เอกรัตน์วางแก้วกาแฟของตนบนที่วางข้างคอนโซล เข้าเกียร์เตรียมออกรถ “แค่ใช้โทรออกกับรับสายได้ก็พอแล้ว เป้าหมายของการซื้อเจ้าเครื่องนี้มาคือฝึกภาษาไทยไม่ใช่หรือ เล่นเกมเป็นอย่างไรบ้าง”

    “ตอนนี้เซซิลของลิเซียกำลังเดินทางไปฟาบูล เจอหยางแล้วด้วย” อลิเซียอวดว่าเล่นเกมเวอร์ชั่นที่ผ่านการแฮ็กแล้วได้เร็ว แม้เจ้าหล่อนจะเพิ่งเคยเห็นมือถือเป็นครั้งแรกในชีวิตทว่าไม่มีท่าทีเห่อของใหม่เลย เจ้าไตรภพน้องชายก็ใจดีเหลือหลาย เลือกรุ่นที่ถูกและดีมาให้

    “แล้วลิเซียคิดยังไง เซซิลทำถูกหรือเปล่าที่ต่อต้านพระราชา” เอกรัตน์ถามลอยๆ

    “พระราชาถ้าทำผิดก็สมควรถูกตักเตือนแล้ว ป้าของลิเซียเป็นมหาอุปราชขององค์จักรพรรดิ ถ้าองค์จักรพรรดิทำสิ่งผิดป้าของลิเซียจะทำทุกอย่างให้เขาได้สติอีกครั้ง เซซิลกับไคน์คงมียศต่ำจึงทำอย่างนั้นไม่ได้” ลิเซียเคาะนิ้วบนหน้าจอสีดำ

    “ไม่หรอกลิเซีย” เอกรัตน์ผู้เคยเล่นไฟนอลแฟนตาซีภาคสี่มานับครั้งไม่ถ้วนในคอมพิวเตอร์แล้วตัดบท “สองคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูเหมือนเป็นลูกของพระราชาเลยนะ”

    “อย่างนั้นคงมีสิ่งผิดปกติกับราชา ลิเซียเข้าใจถูกไหม”

    เอกรัตน์ยิ้ม หญิงสาวเข้าใจถูกแล้ว แต่นั่นเป็นเนื้อเรื่องที่เธอจะต้องอ่านและเข้าใจมันด้วยตัวเอง

    “พูดกันต่อเรื่องสวนที่เราจะไปดีกว่าเอก เอกบอกว่ามันเป็นสวนที่ขายใบไม้หรือ” ลิเซียผู้ทำตัวอยากรู้อยากเห็นกับทุกเรื่องถาม

    “เขาปลูกกับตัดใบไม้ที่สวยๆแล้วมีคนมารับซื้อไปตกแต่ง ไม่ใช่ใบไม้ทุกชนิดหรอกนะที่จะสวยแล้วใช้ในการตกแต่งได้ แม้ใบไม้จะไม่ดึงดูดเท่าดอกไม้ แต่ดอกไม้จะเด่นได้อย่างไรถ้าไม่มีใบไม้อยู่ด้วย”

    “ไม่รู้สิ ลิเซียไม่เคยชอบวิชาจัดดอกไม้เลยไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก ผ่านได้แบบคาบเส้นเลย”

    “ลิเซียเป็นเจ้าหญิงหรือ เอกสงสัยตั้งแต่เจอกันแล้ว”

    “ทุกคนเรียกลิเซียว่าเจ้าหญิงกระโดกกระเดก ท่านลุงของลิเซียเป็นเจ้าชายองค์หนึ่งของจักรวรรดิ แม่ของลิเซียเลยเป็นเจ้าหญิงไปด้วย ท่านพ่อของลิเซียก็มีสายเลือดของราชาอยู่จึงได้แต่งงานกันอย่างมีความสุข”

    “แล้วลุงกับแม่ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆหรือ”

    “แม่ของลิเซียเป็นน้องบุญธรรมน่ะ ตอนเดินทางปราบจอมปิศาจพวกเขาเจอสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อทำอะไรไม่ถูก ท่านลุงจึงต้องแต่งตั้งแม่ของลิเซียเป็นน้องสาวบุญธรรม”

    “ฟังเหมือนลิเซียไม่ชอบถูกเรียกว่าเจ้าหญิงเลยนะ” เอกรัตน์ดูดกาแฟปั่นของตนขณะจอดติดไฟแดง

    “ลิเซียชอบชีวิตชาวบ้านมากกว่า พ่อกับแม่ของลิเซียเคยพาครอบครัวออกมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา แต่ออกมาได้ไม่นานก็โดนท่านลุงตามตัวกลับไปทำงานในจักรวรรดิต่อตอนท่านแม่ท้องน้องคนต่อจากลิเซีย ท่านพ่อบอกเสมอว่าเป็นคนธรรมดาดีที่สุด ไม่ต้องสูงส่งหรือเก่งกาจ แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว”

    หลายครั้งแล้วที่อลิเซียเอ่ยปากถึงพ่อของตัวเองอย่างชื่นชม เธอคงรักพ่อมาก เอกรัตน์คิด

    “แกมันคนไม่เอาถ่าน!” เอกรัตน์คิดถึงความหลังแล้วเหยียบคันเร่งแรงขึ้นเป็นพิเศษ

    “แล้วพ่อกับแม่ของลิเซียทำงานอะไรในจักรวรรดิหรือ” เอกรัตน์ดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบันแทบทันทีที่รู้ได้ว่าเร่งความเร็วเกินไปแล้ว

    “ท่านพ่อของลิเซียเป็นครูสอนดนตรีหลวงควบแม่ทัพหลวงในเวลาว่าง ท่านแม่ทำหน้าที่ผู้ช่วยทูตจากต่างดินแดน”

    “ฟังไม่เหมือนงานหลังตำแหน่งผู้กล้าเลยนะ”

    “ท่านพ่อของลิเซียบอกว่ามันซับซ้อนนิดหน่อย แต่ลิเซียไม่ใส่ใจหรอก แค่พวกเราอยู่อย่างมีความสุขก็พอแล้ว” อลิเซียก้มหน้าเล็กน้อย

    “คิดถึงบ้านหรือ” เอกรัตน์ตัดสินใจถาม อลิเซียก็พยักหน้าอย่างไม่อายใคร

    “ทำอย่างไรได้ในเมื่อลิเซียต้องมาทำภารกิจ กลับไปต้องไปช่วยท่านพ่อกับท่านลุงอีก”

    พูดถึงปืนที่อลิเซียอยากได้ เอกรัตน์ยังคิดไม่ตกว่าควรซื้อปืนเถื่อนให้ดีหรือไม่ หรือเขาควรซื้อโดยใช้ชื่อของเขาเอง ส่วนรถลุยหิมะคงต้องสั่งซื้อจากเว็ปอมาซอนอย่างเดียว...


    ไม่ถึงสามชั่วโมงดีพวกเขาก็มาถึงแยกดอนคลังแล้ว ป้ายชี้ทางไปสวนประดับตัดใบยังคงตั้งอยู่ที่เดิมแต่เก่าผุไปตามกาลเวลา สำหรับเอกรัตน์แล้ว ราวกับเขากลับไปเป็นนักศึกษาแล้วมาฝึกงานที่นี่อีกครั้ง มันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงทีเดียว

    “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วลิเซีย สามกิโลเมตร” เอกรัตน์ยิ้มน้อยๆระหว่างหักเลี้ยวเข้าซอยตามป้ายชี้บอก

    ไม่กี่อึดใจพวกเขาก็มาถึงสวนไม้ประดับตัดใบ ดูจากภายนอกแล้วต่างกับสวนที่พบเห็นรายทาง รั้วเป็นลวดหนามเก่าสนิมเขรอะ มีป้ายโทรมๆอยู่ที่รั้วและด้านหน้าอาคารภายในว่า อุดมการ์เด้น เท่าที่มองเห็นประกอบด้วยอาคารทั้งสามด้าน ตรงกลางเป็นเรือนกระจกขนาดใหญ่ เอกรัตน์ไม่ประหลาดใจที่ไม่เห็นคนงานในเวลาสายอย่างนี้ คงเข้าไปตัดใบไม้อยู่กระมัง

    “เราเข้าไปได้เลยไม่ต้องห่วง” เอกรัตน์หัวเราะเมื่ออลิเซียตั้งข้อสังเกตว่าอาจไม่มีคนอยู่

    เอกรัตน์เลี้ยวซ้ายเข้าไปหาที่จอดรถอย่างง่ายดาย เขาไม่ได้มาเยี่ยมที่นี่นานแล้ว รู้ดีว่าเรือนกระจกขนาดใหญ่ด้านหน้าถูกเรียกว่าเรือนหนึ่ง เป็นคล้ายหน้าบ้านสำหรับต้อนรับแขก ขวามือมีชุดโซฟาโทรมๆกับห้องกระจกอยู่ ซ้ายมือเป็นแถวโต๊ะวางต้นไม้ยาวเหยียดไปจนถึงอาคารข้างๆที่เป็นห้องน้ำ

    เอกรัตน์ชี้ไปอาคารหลังนั้นเมื่ออลิเซียบอกว่าอยากถ่ายท้องขึ้นมา เขามองหญิงสาวเดินอย่างรีบเร่งแล้วยิ้ม สมัยก่อนเขาก็เคยมาอยู่และฝึกงานที่นี่เป็นระยะเวลาสามเดือน

    “ฟ้าโปร่งแบบนี้ คุณอุดมใกล้มาแล้วสินะ” เอกรัตน์ยิ้มไม่หุบ เป็นเรื่องตลกที่คุยเล่นกันสมัยเป็นเด็กฝึกงาน ว่าหากฟ้าเปิดให้แสงแดดส่องลงมาได้เจ้าของสวนจะมา ซึ่งเป็นตามนั้นทุกครั้งแม้ยามหน้าฝน

    “มาเที่ยวหรอครับ”

    ไม่ให้ตั้งตัวก็มีรถจักรยานพากันแล่นมาจากด้านในเป็นขบวน ผู้นำคือชายวัยกลางคนร่างผอม ใบหน้ายาวเข้ากับเส้นผมหยิกและสำเนียงแบบคนราชบุรี นี่คือที่วรรณ เจ้าหน้าที่และผู้ดูแลนักศึกษาฝึกงาน พวกเขาและคนงานข้างหลังมีใบไม้อยู่ที่ตะกร้าหน้ารถด้วยทุกคน เด็กสามคนนั้นคงเป็นนักศึกษารุ่นน้องของมหาวิทยาลัยของเขา

    “จำกันไม่ได้หรือครับพี่วรรณ เจ๊หนู” เอกรัตน์ยกมือสวัสดีอย่างไม่มีพิธีรีตอง เมื่อคนงานนึกหน้าเขาออกก็ส่งเสียงอย่างยินดีแล้วลงจากจักรยานมาทักทาย

    “ใครจะไปลืมเอกอุตริได้เนาะ” พี่วรรณพูดติดตลก กลายเป็นฉายาของเขาเองที่อุตริเดินจากสวนอุดมไปยังแยกดอนคลังด้วยตัวเองคนเดียว จนเป็นที่ฮือฮาถึงความบ้าเลือดอย่างไม่มีใครเคยทำ

    “สวัสดีครับพี่หนอง พี่ยนต์ พี่ต้อย สวัสดีครับ” เอกรัตน์สวัสดีคนงานคนอื่นๆแล้วมองรุ่นน้องด้วยแววตาโอบอ้อม “กลับมาเยี่ยมครับพี่ พาเพื่อนมาด้วย...สบายดีกันนะครับ ใบมอนกับเล็บครุฑแต่เช้าเลยหรือครับ” เอกหมายถึงใบมอนสเตร่ากับกิ่งต้นเล็บครุฑที่ตัดมาเพื่อคัดแยกก่อนจะมีคนมารับถึงสวน

    “รายนี้เขารีบ แล้วงานเป็นอย่างไรบ้าง” พี่หนูถามด้วยความคิดถึงเช่นกัน ก่อนสั่งคนงานและนักศึกษาฝึกงานให้เอาใบไม้ที่ตัดได้ไปรวมกันที่โรงทางขวาเพื่อจัดการต่อ

    “ตอนนี้ผมเจอทางตันครับ ยังหาไอเดียอะไรใหม่ๆไม่ได้เลย” เอกรัตน์หมายถึงกุหลาบแก้วของอลิเซียที่ยังเพาะไม่สำเร็จเสียที

    “จะเอาอะไรก็บอกแล้วกัน เธอคงรู้จักที่นี่ทุกซอกทุกมุมอยู่แล้ว” พี่หนูเป็นหญิงร่างอวบ ใบหน้าเคร่งครัดแบบชาวสวนผลไม้ “แล้วเพื่อนล่ะ”

    ในนาทีนั้นทุกสายตาก็หันไปมองทางห้องน้ำ อลิเซียเดินออกมาด้วยอาหารโล่ง คนต่างชาติเป็นที่สนใจเสมอสำหรับคนไทย พอหญิงสาวรู้ตัวว่าถูกมองก็ยกมือไหว้ทันทีตามที่เอกรัตน์สอนไว้

    “เป็นเพื่อนทางอีเมล์ของเอกค่ะ สวัสดีค่ะ” อลิเซียร้องอย่างสนุกสนาน

    “มีแฟนเสียทีนะเอก” พี่ยนต์ที่ร่างผอมเกร็งไว้หนวดล้ออย่างสนุกปากเหมือนเมื่อสมัยก่อน ก่อนกลับไปทำงานที่ได้รับมอบหมายต่ออย่างยิ้มๆ

    “ไม่ใช่ครับพี่ คนที่เอกชอบน่ะคนอื่นครับ” เอกรัตน์แก้ตัวอย่างรวดเร็วแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณอุดมยังไม่มาหรือครับ”

    “วันนี้เถ้าแก่บอกว่าจะมาเกือบเที่ยง ยังกลัวอยู่หรือเปล่า” พี่วรรณถามไปหัวเราะไป สมัยก่อนเขากลัวคุณอุดมเจ้าของสวนมาก เพราะบารมีและความเข้มงวดที่มีต่อนักศึกษาฝึกงานทุกคน สำหรับเอกรัตน์แล้วนั่นถือเป็นแรงผลักดันให้เขาเปิดทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อขาย “ใช้จักรยานพี่กับเจ๊หนูไปก่อน พี่คนอื่นยังต้องใช้อีกเผื่อตัดใบมอนเพิ่ม เพื่อนเราคงขี่เป็นใช่ไหม ให้เขาระวังด้วยล่ะ”

    “เดี๋ยวเดินไปดีกว่าครับพี่วรรณ เดินไปคิดไป ปั่นไปคิดไปเดี๋ยวจมคูน้ำแบบตอนนั้น” เอกรัตน์ตอบอย่างเป็นกันเองเหมือนเวลาย้อนกลับไปเป็นตอนเขาฝึกงานอีกครั้ง “นี่อลิเซียครับ วันนี้พามาเที่ยวสวนอุดมสักครั้ง ไม่ต้องกลัวครับเธอพูดไทยได้”

    เอกรัตน์แนะนำอลิเซียอย่างสั้นห้วนเหมือนทุกครั้ง ก่อนขอตัวนำอลิเซียเดินไปตามทางเพื่อทะลุไปยังเรือนสองที่จำหน่ายต้นไม้ชนิดต่างๆรวมไปถึงกล้วยไม้ด้วย

    “เอกเคยมาทำงานที่นี่สามเดือนหรือ” อลิเซียถามขณะมองยอดมะพร้าวที่ชูพ้นผิวบ่อน้ำอย่างแปลกประหลาด

    “เป็นสามเดือนที่มีค่ามาก เวลาเอกทำอะไรพลาดหรือคิดอะไรไม่ออกก็มาที่นี่ล่ะ...สงสัยเรื่องยอดมะพร้าวนั่นหรือ”

    “มันงอกจากใต้น้ำได้อย่างไรเอก หรือ...” ตาของอลิเซียเบิกโพลงด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    “ก็บอกแล้วว่าที่นี่ไม่มีเวทมนตร์ มันงอกจากตลิ่งฝั่งโน้นต่างหาก แล้วยืดลำต้นจนส่วนยอดโผล่พ้นน้ำที่จุดนั้น ไม่มีอะไรหรอก” เอกรัตน์อธิบาย...


    สวนอุดมยังเป็นเหมือนที่เขาจำได้ เรือนกระจกทั้งสิบสองหลังเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน บ้านพักสำหรับนักศึกษาฝึกงานยังเก่าทว่าแข็งแรงรองรับแดดฝนได้อย่างดีเยี่ยม ต้นไม้หลายสิบชนิดชูกิ่งก้านใบอวดกันเป็นสีเขียวหลากแบบหลายรูปร่าง ในนาทีนั้นเอกรัตน์รู้สึกเหมือนกับตัวเองยังฝึกงานอยู่ ยังคงสาละวนกับการตัดใบไม้ที่สวยงามและทำงานหนักในแต่ละวัน

    “มีดอกไม้น้อยจังเลย” อลิเซียร้องอย่างเสียดาย

    “ก็บอกว่าสวนไม้ตัดใบ ดอกไม้ก็มีกล้วยไม้อยู่เรือนตรงโน่น เดี๋ยวพาไปดู” เอกรัตน์เดินนำ

    เมื่อพบต้นมะริดจึงหยุดพิจารณาแล้วเก็บลูกที่ตกพื้นมาบิกินส่วนเนื้อ รสชาติและกลิ่นยังรุนแรงเหมือนเมื่อวันวาน เมื่อชิมรสเสร็จก็ปล่อยผลทิ้งไว้ข้างต้นอย่างไม่ใยดี อลิซียทำท่าอยากกินบ้างแต่เอกรัตน์เตือนว่าผลสุกกลิ่นแรงมากแม้แต่พวกกระรอกยังไม่ลงมากินผลซึ่งส่วนมากจะหล่นลงมาเมื่อแก่จัด

    “มันเป็นไม้ใบหนา ให้ร่มเงา” เอกรัตน์อธิบายอย่างขยาด เขายังจำเมล็ดมะริดที่ต้องปลูกตอนฝึกงานได้ มันส่งกลิ่นเหมือนทุเรียนแล้วก็มีเยอะจนแทบถมทะเลได้ “มาทางนี้ลิเซีย เดี๋ยวเอกพาไปดูต้นไม้สวยๆ

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่