วันงานบวชของไตรภพเป็นวันอากาศดี มันไม่ดีตรงที่เอกรัตน์มักทะเลาะกับพ่อของตนทุกครั้งที่เจอหน้า เมื่อคืนอุตส่าห์ไม่ไปงานกินเลี้ยงเพื่อเลี่ยงการปะทะแล้วแต่วันนี้ต้องเจอกันอย่างช่วยไม่ได้
“พ่อไม่อนุญาตให้แกไปคบฝรั่งมังค่าแบบนี้!” พ่อของเอกรัตน์แทบทำพิธีแห่นาคล่มเมื่อเห็นอลิเซีย เอกรัตน์ถึงกับฉุนกึกเมื่อการทะเลาะเปิดฉากตั้งแต่ลงมาจากรถ พ่อของเอกรัตน์เป็นครูฝ่ายปกครองจึงเข้มงวดกับลูกๆมากกว่าพ่อคนอื่น
“เพื่อนเอกเองครับพ่อ!” เอกรัตน์พยายามไม่สานต่อการตีกัน นางยุพาเข้ามาหยุดการโต้เถียงระหว่างสามีกับลูกชายคนโตทันที
“เอกสบายดีนะ...พ่อก็ นี่งานบวชเจ้านัทนะ อย่าตีกับเอกแบบนี้สิ” แม่ของเอกรัตน์เป็นหญิงสูงอายุที่ใจดีตามประสาแม่
เอกรัตน์ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เขาแนะนำอลิเซียให้พ่อกับแม่รู้จักแล้วเสไปหาไตรภพกับกลุ่มเพื่อนที่พูดคุยเล่นหัวกันอยู่
“สวัสดีครับพี่เอก” ไตรภพกับเพื่อนทักพี่ชายทันที หลายคนแปลกใจที่คนต่างประเทศอย่างอลิเซียมางานบวชด้วย “นี่ไงคนถือหมอนของนัท” แล้วไตรภพก็ยื่นหมอนซึ่งเป็นหนึ่งในชุดบวชนาคใส่มือของอลิเซียผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
“เอาไปให้เพื่อนแกถือสิ มายุ่งอะไรกับลิเซีย” คุณเจ้าของบ้านค้อนใส่น้องชายที่โกนหัวเป็นนาคแล้ว พร้อมกับเอาหมอนที่อลิเซียไปให้เพื่อนหญิงของไตรภพที่ยืนยิ้มอย่างขบขัน
“ทำไมหรือเอก” อลิเซียถามอย่างซื่อๆ
“ในงานแห่นาคเขาให้แฟนหรือคนในครอบครัวเป็นคนถือหมอนเป็นคนแรก ลิเซียเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้หรือเปล่าล่ะ” เอกรัตน์รู้ว่าน้องชายแค่แกล้งเล่น แต่ทั้งที่ตัวเป็นนาคแล้วยังทำเป็นเล่นแบบนี้คงหวังเรื่องบวชไม่ได้มากนัก
“นัทแค่หยอกเล่นน่าเอก อย่าเครียดนักสิ...เครื่องเสียงตรงนั้นสิน่าเครียด เล่นเพลงดังสนั่นเลย”
เมื่อแตรวงเริ่มประโคมขบวนบวชนาคก็ครึกครื้นขึ้นทันตา บ้างเดินบ้างเต้นตามจังหวะเสียงเพลงที่เปิดดังกระหึ่มให้ชาวบ้านรู้กันทั่วว่าวันนี้มีงานบวช เอกรัตน์ไม่ได้เข้าไปช่วยถือของแต่เดินคู่ไปกับอลิเซียที่ไม่เคยเห็นงานแห่นาคมาก่อน
ใช้เวลานานไปนิดทั้งขบวนก็แห่เข้าไปในวัดใกล้บ้านเก่าของครอบครัวเอกรัตน์ แตรวงยังเล่นเพลงดังจนอลิเซียเชื่อว่าพวกนี้บ้าไปแล้ว เมื่อวนรอบโบสถ์ครบสามรอบ นาคกับคนในครอบครัวรวมไปถึงเอกรัตน์ทยอยเดินเข้าไปในโบสถ์ที่มีพระสงฆ์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ไปนั่งดูใกล้ๆสิลิเซีย เพิ่งเคยเห็นใช่ไหมล่ะ” เอกรัตน์ชวนอลิเซียมานั่งข้างประตูเพื่อดูพิธีบวชใกล้ๆ หญิงสาวดูตื่นเต้นประหลาดใจมากกว่าคิดรำคาญพิธีเยิ่นเย้อ
ในนาทีที่พระสงฆ์เริ่มสวดอลิเซียก็นั่งนิ่งราวกับตื่นตะลึง ตัวสั่นน้อยๆโดยที่คุณเจ้าของบ้านไม่รู้สาเหตุ
“ไหวไหมลิเซีย” เอกรัตน์กระซิบถาม
“ลิเซียควรใช้คำไหนดี” อลิเซียยิ้มแห้งดูขยาดกลัวระคนตื่นเต้น “ตะลึงงัน ประทับใจ ระทึกใจ หรืออะไร ลิเซียไม่รู้จะใช้คำไหนบรรยายความรู้สึกได้”
“อย่างนั้นก็นั่งนิ่งๆ จับมือเอกไว้” เอกรัตน์ละมือจากการประนมบนหน้าอกมาจับมือของหญิงสาวเพื่อให้อุ่นใจ อลิเซียพยักหน้าน้อยๆแล้วนั่งดูพิธีต่อไป
“ไม่เป็นไรนะลิเซีย” เอกรัตน์รีบพาอลิเซียออกนอกโบสถ์ก่อนพิธีจบลงเพราะเธอหน้าซีดเผือด หญิงสาวส่ายหน้าคงรู้สึกดีขึ้นเมื่อออกมาเดินข้างนอกที่อากาศโล่งกว่า
“มีคลื่นพลังในพิธีมากจนลิเซียทนไม่ไหว...ดีขึ้นแล้ว” อลิเซียนั่งบนขอบบ่อปูนที่ปลูกต้นไม้ ยังตัวสั่นน้อยๆเหมือนกระต่ายที่ตื่นกลัว “พลังสีขาวเป็นสิ่งวิเศษมากเลยเอก ลิเซียต้องรู้ให้ได้ว่าทำอย่างไรจึงจะใช้พลังมากมายนั่นได้”
“อย่างนั้นเราก็ตามหาคำตอบไปด้วยกันดีกว่า” คุณเจ้าของบ้านนั่งลงข้างหญิงจากต่างมิติ “จะกลับเลยก็ได้นะ ท่าทางลิเซียเหมือนจะเป็นลม ไปนั่งรับแอร์ในรถก็ยังดี”
“ไม่ต้องหรอก ลิเซียจะต้องทนพลังสีขาวให้ได้ เพื่อพ่อของลิเซีย” อลิเซียปฏิเสธที่จกลับบ้านตอนนี้ ในระหว่างนั้นพิธีบวชนาคก็จบลง พระใหม่กำลังออกมาจากโบสถ์
“ลิเซียรอตรงนี้นะ เดี๋ยวเอกมา”
สิ่งที่คุณเจ้าของบ้านทำนั้นเหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ นั่นคือถวายเงินทำบุญให้พระใหม่เพราะเชื่อว่าจะได้กุศลแรง ตอนแรกเอกรัตน์คิดจะใส่ให้แค่ยี่สิบเท่านั้น พอเห็นสีหน้าผ่องใสของน้องชายมือมันก็หยิบธนบัตรร้อยบาทออกมาแทน
“กลับบ้านกันเลยไหมอลิเซีย หรืออยากไปกินข้าวบ้านเอกก่อน” เอกรัตน์ช่วยพยุงอลิเซียที่ยังยืนโงนเงนเล็กน้อย ความจริงเอกรัตน์อยากกลับบ้านไปคุยกับแม่สักนิดคงดีหากไม่ต้องทะเลาะกับพ่อตัวเองอย่างนี้
“ตามใจเอกเถอะ ลิเซียนอนรอบนรถได้” แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับรถ ไม่สนใจถ่ายรูปคู่กับพระใหม่เหมือนคนอื่นๆ...
อลิเซียมาอยู่ที่บ้านเอกรัตน์ได้ประมาณสองเดือนแล้วอะไรก็ง่ายไปเสียหมดจนน่ากลัว อลิเซียช่วยงานบ้านแทบทุกอย่างที่ทำได้ ส่วนเอกรัตนก็หาซื้อสิ่งของที่อลิเซียต้องการมาให้เช่นกัน รถลุยหิมะที่สั่งซื้อจากร้านค้าออนไลน์ลอยเข้าไปในช่องว่างมิติสีดำที่หญิงสาวสร้างขึ้น ปืนก็ได้มาแล้วและไปซ้อมยิงปืนกันทุกวันอังคารและเสาร์ที่สนามกีฬาจังหวัด พลังสีขาวอลิเซียบอกว่ายังไม่เข้าใจเท่าไรนักจึงยังถือว่าไม่สำเร็จ
เสร็จจากงานบวชน้องชายคุณเจ้าของบ้านก็ไปตรวจห้องเก็บพืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเสียทีหนึ่งว่าอยู่ในสภาพใด รวมไปถึงกุหลาบแก้วของอลิเซียด้วย เอกรัตน์สะดุดตากับขวดกุหลาบแก้วสองขวดแรกที่เขาเหลือไว้ มันงอกรากใสๆเหมือนเกล็ดน้ำแข็งออกมาในวุ้นสีดำขุ่น เขาจึงเอาไปให้อลิเซียดูทันที
“งอกช้าดีกว่าไม่งอก” เอกรัตน์วางขวดแก้วทั้งสองใบเบื้องหน้าอลิเซียที่ไม่ยิ้มออกมาเลย “ไม่ดีใจหรือลิเซีย”
“แสดงว่าเวลาของเราสองคนใกล้หมดลงแล้ว” อลิเซียพูดเศร้าๆ ความรักระหว่างคุณเจ้าของบ้านกับแขกต่างมิติเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ อย่างไรเอกรัตน์ก็ทำใจไว้แล้วว่าหญิงสาวต้องกลับบ้านของเธอเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“เอกไม่ได้จะไล่ลิเซียนะ แค่ดีใจที่งานของเอกสำเร็จด้วยดี เท่านั้นเอง” เอกรัตน์พูดแก้ต้ว เขาลืมคิดไปว่าภารกิจแรกของอลิเซียคือกุหลาบแก้ว เขานั่งลงข้างๆและกอดหญิงสาวไว้อย่างอบอุ่น “แค่คิดในแง่ดีสิ งานเสร็จแต่ยังไม่ต้องกลับก็ได้นี่นา ยังเหลือพลังสีขาวที่ลิเซียยังไม่เข้าใจอยู่อีก เรายังยืดเวลาไปได้ถ้าลิเซียต้องการ”
“ลิเซียคิดถึงบ้าน แต่ยังไม่อยากกลับไป...ทุกคนดีกับลิเซียมาก เอก นัท ศา ทุกคนเลย” แล้วบ่อน้ำตาของหล่อนก็แตก อลิเซียร้องไห้อย่างเงียบๆในอ้อมแขนของเอกรัตน์
“แต่ลิเซียมาเยี่ยมเอกได้นี่นา อย่าร้องสิ” เอกรัตน์ดึงกระดาษชำระให้อลิเซียที่นึกจะอ่อนแอขึ้นมาก็อ่อนแอจนน่าใจหาย หญิงสาวพยักหน้าแล้วซบลงบนอกของเอกรัตน์
“ลิเซียจะไม่ลืมเอก ไม่ลืมทุกคนเลย” อลิเซียอ้อนเหมือนเด็กๆ
“เอกก็ไม่ลืมเรื่องของลิเซียเหมือนกัน สัญญาด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเลย” เอกรัตน์ก็กลัวเวลานี้อยู่เหมือนกันแต่ไม่แสดงออกมาให้หญิงสาวกังวล
ทั้งคู่นั่งกอดกันอยู่พักหนึ่งเอกรัตน์จึงคิดได้ว่ายังไม่มีอาหารเย็นสำหรับวันนี้เลย จึงขอตัวไปคุ้ยหาของในตู้เย็นออกมาทำกินตามประสา คุณเจ้าของบ้านเดินไปไม่ถึงตู้เย็นกริ่งประตูบ้านก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงออกไปดูว่าใครเป็นแขกในยามเย็นวันนี้
“ศาเอากับข้าวมาให้อีกแล้วล่ะเอก” อลิเซียกลับมาพร้อมจานใบใหญ่ที่มีกลิ่นกะเพราหอมฟุ้ง “ศาเป็นคนทำแต่อาจารย์สิงหนพเป็นคนสั่ง เห็นว่าเป็นข้อความเตือนหรืออะไรก็ไม่รู้”
แล้วเอกรัตน์มองเห็นบางสิ่งในผัดกะเพราจานนั้น กุ้งแม่น้ำสองสามตัวถูกหมกอยู่ใต้ใบกะเพรา คุณเจ้าของบ้านเบ้ปากเพราะเขาแพ้กุ้ง ไม่สามารถกินกุ้งได้หากไม่กินยาแก้แพ้ อาจารย์สิงหนพคงส่งมาเตือนเขาเรื่องกล้วยไม้แน่นอน
“เตือนกันดีๆก็ได้นะครับอาจารย์” เอกรัตน์ขบฟันพูดไปทางบ้านของวรรณวิศา “เจ้านี่อลิเซียกินไปก็แล้วกัน ส่วนเอกจะไปหาอย่างอื่นกิน เอกแพ้กุ้งถ้ากินเข้าไปจะเป็นผื่นรอบปากคันระยิบเลย ความจริงเอกกินยาแก้แพ้ได้แต่ไม่อยากกินบ่อยนัก”
“เตือนเรื่องอะไรหรือเอก” อลิเซียดมอาหารกลิ่นฉุนจานนั้นอย่างสนใจใคร่รู้
เอกรัตน์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวถามถึงสิ่งที่เกี่ยวโยงกับวรรณวิศา
“ก่อนลิเซียมาน่ะนะ เอกไปรับปากอาจารย์สิงหนพข้างบ้านเอาไว้ ว่าให้เพาะพันธุ์กล้วยไม้ใหม่ให้เขา เท่านั้นเอง” เอกรัตน์ไม่พูดถึงเรื่องที่ท้าพนันกับอาจารย์ข้างบ้านเอาไว้เกรงว่าอลิเซียจะน้อยใจ
แต่ดูเหมือนไม่จำเป็น หญิงสาววางจานกับข้าวไว้บนโต๊ะแล้วเดินมากอดเอกรัตน์อย่างสนิทชิดเชื้อ
“เรื่องวรรณวิศาใช่ไหม” อลิเซียถาม เอกรัตน์พยักหน้าอย่างหวาดๆ “ให้ลิเซียช่วยไหม มนตร์สะกดของลิเซียทรงพลังมากนัก รับรองได้ว่าแม้ลิเซียจะกลับไปแล้วมนตร์ที่ใช้กับศาจะไม่คลายเลยจนวันตาย”
“อย่าเลยลิเซีย ความรักเป็นสิ่งสูงค่ามาก หากมันได้มาง่ายก็จากไปง่ายเหมือนกัน ถ้ารักด้วยเวทมนตร์เอกขอไม่รักดีกว่า” คุณเจ้าของบ้านกอดตอบอย่างลึกซึ้ง “ไม่โกรธหรือ ที่เห็นเอกพยายามเพื่อผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ลิเซีย” หญิงสาวส่ายหัวเหมือนเด็กๆ
“ลิเซียรู้ตัวว่าสักวันจะต้องกลับไปและมีชีวิตของลิเซียเอง เอกก็มีชีวิตของเอกเหมือนกัน ถ้าขอความเห็นลิเซียคิดว่าวรรณวิศาเหมาะกับเอกนะ เสียดายที่มีแฟนแล้ว”
“ทำใจง่ายจนน่ากลัวนะเรา”
“ความรักไม่ต้องการการแย่งชิง และการแย่งชิงไม่นำพาซึ่งความรักเช่นกัน ความรักแท้จริงคือการทำให้คนที่รักมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม”
“พ่อทูนหัวของลิเซียพูดหรือ”
อลิเซียพยักหน้า
“แล้วตอนนี้จะทำอะไรดีคะคุณเอกรัตน์” หญิงสาวเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มแย้ม “ข้าวเย็นหรือเข้าห้อง”
“ในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่าใช่ไหม” คุณเจ้าของบ้านยิ้มตอบ อลิเซียพยักหน้าอีกครั้ง “ข้าวเย็นสิเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยังต้องเตรียมอาหารสำหรับเจ้าดัมมี่ด้วย เอกไม่ได้เล่นกับมันมาพักนึงแล้ว เดี๋ยวมันงอน”
“จ้ะ คุณเจ้าของบ้าน” อลิเซียปล่อยเอกรัตน์ให้เป็นอิสระ เอามือตบพุงเขาอย่างรักใคร่ “ไปหากับข้าวให้ตัวเองกับดัมมี่เถอะ เดี๋ยวลิเซียหุงข้าวให้” หญิงสาวถามปริมาณข้าวที่จะหุงให้แล้วเริ่มล้างหม้อข้าวที่แช่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
(มีต่อ)
หนุ่มไม้ขวดกับสาวไม้ดอก ตอนที่ 8
“พ่อไม่อนุญาตให้แกไปคบฝรั่งมังค่าแบบนี้!” พ่อของเอกรัตน์แทบทำพิธีแห่นาคล่มเมื่อเห็นอลิเซีย เอกรัตน์ถึงกับฉุนกึกเมื่อการทะเลาะเปิดฉากตั้งแต่ลงมาจากรถ พ่อของเอกรัตน์เป็นครูฝ่ายปกครองจึงเข้มงวดกับลูกๆมากกว่าพ่อคนอื่น
“เพื่อนเอกเองครับพ่อ!” เอกรัตน์พยายามไม่สานต่อการตีกัน นางยุพาเข้ามาหยุดการโต้เถียงระหว่างสามีกับลูกชายคนโตทันที
“เอกสบายดีนะ...พ่อก็ นี่งานบวชเจ้านัทนะ อย่าตีกับเอกแบบนี้สิ” แม่ของเอกรัตน์เป็นหญิงสูงอายุที่ใจดีตามประสาแม่
เอกรัตน์ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด เขาแนะนำอลิเซียให้พ่อกับแม่รู้จักแล้วเสไปหาไตรภพกับกลุ่มเพื่อนที่พูดคุยเล่นหัวกันอยู่
“สวัสดีครับพี่เอก” ไตรภพกับเพื่อนทักพี่ชายทันที หลายคนแปลกใจที่คนต่างประเทศอย่างอลิเซียมางานบวชด้วย “นี่ไงคนถือหมอนของนัท” แล้วไตรภพก็ยื่นหมอนซึ่งเป็นหนึ่งในชุดบวชนาคใส่มือของอลิเซียผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
“เอาไปให้เพื่อนแกถือสิ มายุ่งอะไรกับลิเซีย” คุณเจ้าของบ้านค้อนใส่น้องชายที่โกนหัวเป็นนาคแล้ว พร้อมกับเอาหมอนที่อลิเซียไปให้เพื่อนหญิงของไตรภพที่ยืนยิ้มอย่างขบขัน
“ทำไมหรือเอก” อลิเซียถามอย่างซื่อๆ
“ในงานแห่นาคเขาให้แฟนหรือคนในครอบครัวเป็นคนถือหมอนเป็นคนแรก ลิเซียเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้หรือเปล่าล่ะ” เอกรัตน์รู้ว่าน้องชายแค่แกล้งเล่น แต่ทั้งที่ตัวเป็นนาคแล้วยังทำเป็นเล่นแบบนี้คงหวังเรื่องบวชไม่ได้มากนัก
“นัทแค่หยอกเล่นน่าเอก อย่าเครียดนักสิ...เครื่องเสียงตรงนั้นสิน่าเครียด เล่นเพลงดังสนั่นเลย”
เมื่อแตรวงเริ่มประโคมขบวนบวชนาคก็ครึกครื้นขึ้นทันตา บ้างเดินบ้างเต้นตามจังหวะเสียงเพลงที่เปิดดังกระหึ่มให้ชาวบ้านรู้กันทั่วว่าวันนี้มีงานบวช เอกรัตน์ไม่ได้เข้าไปช่วยถือของแต่เดินคู่ไปกับอลิเซียที่ไม่เคยเห็นงานแห่นาคมาก่อน
ใช้เวลานานไปนิดทั้งขบวนก็แห่เข้าไปในวัดใกล้บ้านเก่าของครอบครัวเอกรัตน์ แตรวงยังเล่นเพลงดังจนอลิเซียเชื่อว่าพวกนี้บ้าไปแล้ว เมื่อวนรอบโบสถ์ครบสามรอบ นาคกับคนในครอบครัวรวมไปถึงเอกรัตน์ทยอยเดินเข้าไปในโบสถ์ที่มีพระสงฆ์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ไปนั่งดูใกล้ๆสิลิเซีย เพิ่งเคยเห็นใช่ไหมล่ะ” เอกรัตน์ชวนอลิเซียมานั่งข้างประตูเพื่อดูพิธีบวชใกล้ๆ หญิงสาวดูตื่นเต้นประหลาดใจมากกว่าคิดรำคาญพิธีเยิ่นเย้อ
ในนาทีที่พระสงฆ์เริ่มสวดอลิเซียก็นั่งนิ่งราวกับตื่นตะลึง ตัวสั่นน้อยๆโดยที่คุณเจ้าของบ้านไม่รู้สาเหตุ
“ไหวไหมลิเซีย” เอกรัตน์กระซิบถาม
“ลิเซียควรใช้คำไหนดี” อลิเซียยิ้มแห้งดูขยาดกลัวระคนตื่นเต้น “ตะลึงงัน ประทับใจ ระทึกใจ หรืออะไร ลิเซียไม่รู้จะใช้คำไหนบรรยายความรู้สึกได้”
“อย่างนั้นก็นั่งนิ่งๆ จับมือเอกไว้” เอกรัตน์ละมือจากการประนมบนหน้าอกมาจับมือของหญิงสาวเพื่อให้อุ่นใจ อลิเซียพยักหน้าน้อยๆแล้วนั่งดูพิธีต่อไป
“ไม่เป็นไรนะลิเซีย” เอกรัตน์รีบพาอลิเซียออกนอกโบสถ์ก่อนพิธีจบลงเพราะเธอหน้าซีดเผือด หญิงสาวส่ายหน้าคงรู้สึกดีขึ้นเมื่อออกมาเดินข้างนอกที่อากาศโล่งกว่า
“มีคลื่นพลังในพิธีมากจนลิเซียทนไม่ไหว...ดีขึ้นแล้ว” อลิเซียนั่งบนขอบบ่อปูนที่ปลูกต้นไม้ ยังตัวสั่นน้อยๆเหมือนกระต่ายที่ตื่นกลัว “พลังสีขาวเป็นสิ่งวิเศษมากเลยเอก ลิเซียต้องรู้ให้ได้ว่าทำอย่างไรจึงจะใช้พลังมากมายนั่นได้”
“อย่างนั้นเราก็ตามหาคำตอบไปด้วยกันดีกว่า” คุณเจ้าของบ้านนั่งลงข้างหญิงจากต่างมิติ “จะกลับเลยก็ได้นะ ท่าทางลิเซียเหมือนจะเป็นลม ไปนั่งรับแอร์ในรถก็ยังดี”
“ไม่ต้องหรอก ลิเซียจะต้องทนพลังสีขาวให้ได้ เพื่อพ่อของลิเซีย” อลิเซียปฏิเสธที่จกลับบ้านตอนนี้ ในระหว่างนั้นพิธีบวชนาคก็จบลง พระใหม่กำลังออกมาจากโบสถ์
“ลิเซียรอตรงนี้นะ เดี๋ยวเอกมา”
สิ่งที่คุณเจ้าของบ้านทำนั้นเหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆ นั่นคือถวายเงินทำบุญให้พระใหม่เพราะเชื่อว่าจะได้กุศลแรง ตอนแรกเอกรัตน์คิดจะใส่ให้แค่ยี่สิบเท่านั้น พอเห็นสีหน้าผ่องใสของน้องชายมือมันก็หยิบธนบัตรร้อยบาทออกมาแทน
“กลับบ้านกันเลยไหมอลิเซีย หรืออยากไปกินข้าวบ้านเอกก่อน” เอกรัตน์ช่วยพยุงอลิเซียที่ยังยืนโงนเงนเล็กน้อย ความจริงเอกรัตน์อยากกลับบ้านไปคุยกับแม่สักนิดคงดีหากไม่ต้องทะเลาะกับพ่อตัวเองอย่างนี้
“ตามใจเอกเถอะ ลิเซียนอนรอบนรถได้” แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับรถ ไม่สนใจถ่ายรูปคู่กับพระใหม่เหมือนคนอื่นๆ...
อลิเซียมาอยู่ที่บ้านเอกรัตน์ได้ประมาณสองเดือนแล้วอะไรก็ง่ายไปเสียหมดจนน่ากลัว อลิเซียช่วยงานบ้านแทบทุกอย่างที่ทำได้ ส่วนเอกรัตนก็หาซื้อสิ่งของที่อลิเซียต้องการมาให้เช่นกัน รถลุยหิมะที่สั่งซื้อจากร้านค้าออนไลน์ลอยเข้าไปในช่องว่างมิติสีดำที่หญิงสาวสร้างขึ้น ปืนก็ได้มาแล้วและไปซ้อมยิงปืนกันทุกวันอังคารและเสาร์ที่สนามกีฬาจังหวัด พลังสีขาวอลิเซียบอกว่ายังไม่เข้าใจเท่าไรนักจึงยังถือว่าไม่สำเร็จ
เสร็จจากงานบวชน้องชายคุณเจ้าของบ้านก็ไปตรวจห้องเก็บพืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเสียทีหนึ่งว่าอยู่ในสภาพใด รวมไปถึงกุหลาบแก้วของอลิเซียด้วย เอกรัตน์สะดุดตากับขวดกุหลาบแก้วสองขวดแรกที่เขาเหลือไว้ มันงอกรากใสๆเหมือนเกล็ดน้ำแข็งออกมาในวุ้นสีดำขุ่น เขาจึงเอาไปให้อลิเซียดูทันที
“งอกช้าดีกว่าไม่งอก” เอกรัตน์วางขวดแก้วทั้งสองใบเบื้องหน้าอลิเซียที่ไม่ยิ้มออกมาเลย “ไม่ดีใจหรือลิเซีย”
“แสดงว่าเวลาของเราสองคนใกล้หมดลงแล้ว” อลิเซียพูดเศร้าๆ ความรักระหว่างคุณเจ้าของบ้านกับแขกต่างมิติเกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ อย่างไรเอกรัตน์ก็ทำใจไว้แล้วว่าหญิงสาวต้องกลับบ้านของเธอเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
“เอกไม่ได้จะไล่ลิเซียนะ แค่ดีใจที่งานของเอกสำเร็จด้วยดี เท่านั้นเอง” เอกรัตน์พูดแก้ต้ว เขาลืมคิดไปว่าภารกิจแรกของอลิเซียคือกุหลาบแก้ว เขานั่งลงข้างๆและกอดหญิงสาวไว้อย่างอบอุ่น “แค่คิดในแง่ดีสิ งานเสร็จแต่ยังไม่ต้องกลับก็ได้นี่นา ยังเหลือพลังสีขาวที่ลิเซียยังไม่เข้าใจอยู่อีก เรายังยืดเวลาไปได้ถ้าลิเซียต้องการ”
“ลิเซียคิดถึงบ้าน แต่ยังไม่อยากกลับไป...ทุกคนดีกับลิเซียมาก เอก นัท ศา ทุกคนเลย” แล้วบ่อน้ำตาของหล่อนก็แตก อลิเซียร้องไห้อย่างเงียบๆในอ้อมแขนของเอกรัตน์
“แต่ลิเซียมาเยี่ยมเอกได้นี่นา อย่าร้องสิ” เอกรัตน์ดึงกระดาษชำระให้อลิเซียที่นึกจะอ่อนแอขึ้นมาก็อ่อนแอจนน่าใจหาย หญิงสาวพยักหน้าแล้วซบลงบนอกของเอกรัตน์
“ลิเซียจะไม่ลืมเอก ไม่ลืมทุกคนเลย” อลิเซียอ้อนเหมือนเด็กๆ
“เอกก็ไม่ลืมเรื่องของลิเซียเหมือนกัน สัญญาด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเลย” เอกรัตน์ก็กลัวเวลานี้อยู่เหมือนกันแต่ไม่แสดงออกมาให้หญิงสาวกังวล
ทั้งคู่นั่งกอดกันอยู่พักหนึ่งเอกรัตน์จึงคิดได้ว่ายังไม่มีอาหารเย็นสำหรับวันนี้เลย จึงขอตัวไปคุ้ยหาของในตู้เย็นออกมาทำกินตามประสา คุณเจ้าของบ้านเดินไปไม่ถึงตู้เย็นกริ่งประตูบ้านก็ดังขึ้น หญิงสาวจึงออกไปดูว่าใครเป็นแขกในยามเย็นวันนี้
“ศาเอากับข้าวมาให้อีกแล้วล่ะเอก” อลิเซียกลับมาพร้อมจานใบใหญ่ที่มีกลิ่นกะเพราหอมฟุ้ง “ศาเป็นคนทำแต่อาจารย์สิงหนพเป็นคนสั่ง เห็นว่าเป็นข้อความเตือนหรืออะไรก็ไม่รู้”
แล้วเอกรัตน์มองเห็นบางสิ่งในผัดกะเพราจานนั้น กุ้งแม่น้ำสองสามตัวถูกหมกอยู่ใต้ใบกะเพรา คุณเจ้าของบ้านเบ้ปากเพราะเขาแพ้กุ้ง ไม่สามารถกินกุ้งได้หากไม่กินยาแก้แพ้ อาจารย์สิงหนพคงส่งมาเตือนเขาเรื่องกล้วยไม้แน่นอน
“เตือนกันดีๆก็ได้นะครับอาจารย์” เอกรัตน์ขบฟันพูดไปทางบ้านของวรรณวิศา “เจ้านี่อลิเซียกินไปก็แล้วกัน ส่วนเอกจะไปหาอย่างอื่นกิน เอกแพ้กุ้งถ้ากินเข้าไปจะเป็นผื่นรอบปากคันระยิบเลย ความจริงเอกกินยาแก้แพ้ได้แต่ไม่อยากกินบ่อยนัก”
“เตือนเรื่องอะไรหรือเอก” อลิเซียดมอาหารกลิ่นฉุนจานนั้นอย่างสนใจใคร่รู้
เอกรัตน์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวถามถึงสิ่งที่เกี่ยวโยงกับวรรณวิศา
“ก่อนลิเซียมาน่ะนะ เอกไปรับปากอาจารย์สิงหนพข้างบ้านเอาไว้ ว่าให้เพาะพันธุ์กล้วยไม้ใหม่ให้เขา เท่านั้นเอง” เอกรัตน์ไม่พูดถึงเรื่องที่ท้าพนันกับอาจารย์ข้างบ้านเอาไว้เกรงว่าอลิเซียจะน้อยใจ
แต่ดูเหมือนไม่จำเป็น หญิงสาววางจานกับข้าวไว้บนโต๊ะแล้วเดินมากอดเอกรัตน์อย่างสนิทชิดเชื้อ
“เรื่องวรรณวิศาใช่ไหม” อลิเซียถาม เอกรัตน์พยักหน้าอย่างหวาดๆ “ให้ลิเซียช่วยไหม มนตร์สะกดของลิเซียทรงพลังมากนัก รับรองได้ว่าแม้ลิเซียจะกลับไปแล้วมนตร์ที่ใช้กับศาจะไม่คลายเลยจนวันตาย”
“อย่าเลยลิเซีย ความรักเป็นสิ่งสูงค่ามาก หากมันได้มาง่ายก็จากไปง่ายเหมือนกัน ถ้ารักด้วยเวทมนตร์เอกขอไม่รักดีกว่า” คุณเจ้าของบ้านกอดตอบอย่างลึกซึ้ง “ไม่โกรธหรือ ที่เห็นเอกพยายามเพื่อผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ลิเซีย” หญิงสาวส่ายหัวเหมือนเด็กๆ
“ลิเซียรู้ตัวว่าสักวันจะต้องกลับไปและมีชีวิตของลิเซียเอง เอกก็มีชีวิตของเอกเหมือนกัน ถ้าขอความเห็นลิเซียคิดว่าวรรณวิศาเหมาะกับเอกนะ เสียดายที่มีแฟนแล้ว”
“ทำใจง่ายจนน่ากลัวนะเรา”
“ความรักไม่ต้องการการแย่งชิง และการแย่งชิงไม่นำพาซึ่งความรักเช่นกัน ความรักแท้จริงคือการทำให้คนที่รักมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม”
“พ่อทูนหัวของลิเซียพูดหรือ”
อลิเซียพยักหน้า
“แล้วตอนนี้จะทำอะไรดีคะคุณเอกรัตน์” หญิงสาวเปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มแย้ม “ข้าวเย็นหรือเข้าห้อง”
“ในหัวมีแต่เรื่องอย่างว่าใช่ไหม” คุณเจ้าของบ้านยิ้มตอบ อลิเซียพยักหน้าอีกครั้ง “ข้าวเย็นสิเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยังต้องเตรียมอาหารสำหรับเจ้าดัมมี่ด้วย เอกไม่ได้เล่นกับมันมาพักนึงแล้ว เดี๋ยวมันงอน”
“จ้ะ คุณเจ้าของบ้าน” อลิเซียปล่อยเอกรัตน์ให้เป็นอิสระ เอามือตบพุงเขาอย่างรักใคร่ “ไปหากับข้าวให้ตัวเองกับดัมมี่เถอะ เดี๋ยวลิเซียหุงข้าวให้” หญิงสาวถามปริมาณข้าวที่จะหุงให้แล้วเริ่มล้างหม้อข้าวที่แช่ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
(มีต่อ)