หากพูดถึงหนังกลุ่มที่เข้าชิงรางวัลในปีนี้ Manchester by the Sea คือหนังที่เราอยากดูมากที่สุด มันคือแนวทางหนังที่เราชอบ เราชอบเรื่องราวชีวิตและการเล่าความสัมพันธ์ของคนธรรมดาๆ แต่พอได้ดูจริงๆแล้ว หนังทำให้เราแปลกใจมากๆ เพราะหนังเล่าสิ่งที่เล็กกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก แต่กลับเล่าได้อย่างแรงและหนักแน่นมั่นคงมากๆ
พอดูจบ เราบอกได้เลยทันทีว่า เราชอบ Manchester by the Sea มากๆ หนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 17 นาที แต่หนังกลับสะกดให้เราอยู่กับเรื่องได้ตั้งแต่ซีนแรก จนถึงดนตรีสุดท้ายของหนังเลย เราคิดว่าหนังเรื่องนี้มันดึงให้เราเข้าไปอยู่ในโลกของหนังได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือมันอาจะเป็นทางหนังที่เราชอบด้วยแหละ มันเลยสะกดเราได้ตลอดทั้งเรื่องจริงๆ
การดำเนินเรื่อง แม้จะตัดสลับเหตุการณ์อยู่หลายช่วง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากแต่อย่างใด เรารู้สึกว่าการตัดต่อแบบนี้มันช่วยส่งอารมณ์ให้ดำเนินไปในทางที่หนังต้องการ เราค่อยๆรู้สึกบางอย่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพอถึงซีนพีค มันเลยส่งให้เรารู้สึกร่วมได้สุดๆเลย
เราชอบการเล่าด้วยภาพและดนตรี ไร้เสียงบทสนทนาในหลายๆซีน ซึ่งเราว่าเค้าเลือกซีนได้ดี ทั้งๆที่ซีนเหล่านั้นคือซีนสำคัญด้วยนะ แต่หนังกล้าจะใช้การเล่าด้วยแค่ภาพและดนตรี แทนที่จะให้เราได้ยินบทสนทนาของตัวละคร ซึ่งมันมีโอกาสจะสื่อสารได้ไม่ถึงอยู่มากพอสมควร แต่เรื่องนี้กลับทำได้ดี และเราชอบการเล่าของหนังซีนแบบนี้มากๆ
ดนตรีประกอบและเพลงประกอบ คือสิ่งที่เราชอบมากๆ มันช่วยพาอารมณ์ให้รู้สึกไปกับหนังมากขึ้น และที่สำคัญในบางซีน มันเป็นส่วนหลักในการเล่าเรื่องและสื่ออารมณ์อีกด้วย มันเจ๋งมากๆ
ผลงานการกำกับของ Kenneth Lonergan ซึ่งเรายอมรับว่าไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อนเลย แต่เรื่องนี้เราว่าเค้ากำกับได้ดีมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสื่อสารประเด็นหลัก มันอิมแพคกับความรู้สึกของเรามากๆ เราอินกับเรื่องและตัวละครแบบสุดๆ ทั้งๆที่หนังไม่ได้พยายามขยี้อารมณ์เราเลย หลายซีนที่หนังน่าจะขยี้ได้มากกว่านี้ แต่หนังก็ไม่ได้เลือกทำ ซึ่งเราคิดว่าแบบนี้มันลงตัวพอดีแล้ว มันดูจริงมาก มันเลยกระทบความรู้สึกเราสุดๆ
การแสดงของ Casey Affleck คือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสื่อสารสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกมาได้เข้าถึงความรู้สึกสุดๆ Casey สร้างตัวละคร Lee Chandler ขึ้นมาราวกับเค้ามีตัวตนจริงๆ เราว่าเค้าเก่งมากๆ ที่คุมโทนตัวละครได้อย่างเนียนกริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของตัวละครหลังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ แต่เมื่อเวลาล่วงมา มันมีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองในรายละเอียดปลีกย่อยอีก ซึ่งเรารู้สึกได้ จุดเด่นที่ Casey ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ คือการแสดงออกทางร่างกายและสายตา ไม่รู้เราคิดไปเองรึเปล่า เรารู้สึกว่าหลังเหตุการณ์นั้น แม้กระทั่งเสียงพูดเค้ายังเปลี่ยนไปเลย เรารู้สึกเสียงเค้าแหบพร่ามากๆ ราวกับเสียงของคนที่ไม่มีพลังเหลืออยู่แล้ว ในบางซีนแค่เค้าตบไหล่ Patrick เรายังรับรู้ความรู้สึกเค้าได้เลย ซีนที่เค้ามองไปดูบรรยากาศรอบๆตัวในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ซึ่งมีความหลังของเค้า มันมีความรู้สึกอยู่ในสายตาของเค้าทุกซีน
จริงๆการแสดงของเค้า มันต้องชมในภาพรวมเลย เพราะจุดที่เจ๋งคือเค้าทำได้ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่หากจะต้องบังคับเลือกซีนที่เราชอบ จะมีอยู่ 3-4 ซีน เราชอบซีนที่ Lee รับโทรศัพท์ที่ Randi อดีตภรรยาโทรมาถามเรื่องการเสียชีวิตของโจ เราชอบการรีแอคของเค้าต่อเรื่องที่พูดคุยกัน โดยเฉพาะตอนที่เธอบอกว่าเธอมีคนใหม่แล้วและเธอกำลังท้อง Casey รีแอคได้เฉียบคมมากๆ ซีนที่มาเจอกับ Randi ตอนท้ายเรื่องที่เธอมากับพร้อมลูกที่อยู่ในรถเข็น การแสดงช่วงนี้ยอดเยี่ยมมากๆ เราน้ำตาซึมเลย เราชอบการเพิ่มดีกรีความรู้สึกของเค้า ตาเค้าค่อยๆแดง น้ำตาค่อยๆซึม การแสดงออกทางร่างกายดูเกร็งและไร้การควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ มันรู้สึกได้จริงๆ
ซีนที่ต้องเล่ารายละเอียดเหตุการณ์วันไฟไหม้ให้ตำรวจฟัง อันนี้ก็สุดยอดมาก เราชอบสายตาเค้า ตาเค้าไม่โฟกัส มองไปมองมา และชอบความรู้สึกตอนที่เค้าค่อยๆเล่า มันค่อยๆเจ็บปวดเพิ่มไปทีละนิด จนถึงตอนท้ายที่เค้าถามตำรวจว่า "แค่นี้เหรอ" มันจุกในลำคอไปหมดเลย
และซีนสำคัญคือตอนที่เค้าบอก Patrick เรื่องที่จะให้ไปอาศัยอยู่กับ George แล้ว Patrick ถามว่า "อาอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ" Lee ตอบกลับไปว่า "อาเอาชนะมันไม่ได้ อาเอาชนะมันไม่ได้...อาขอโทษ" สิ่งที่เค้าสื่อสารมาตลอดทั้งเรื่อง ถูกส่งมาที่ซีนนี้ และเราหมดคำถามทันทีว่าทำไมเค้าถึงกวาดรางวัลต่างๆมามากมายในปีนี้
พร็อตเรื่องที่เรารู้ก่อนเข้าไปดูหนัง คือตัวเอก Lee Chandler มีอาชีพเป็นภารโรง แต่ต้องมารับหน้าที่ดูแลหลานชายวัยรุ่น หลังจากพี่ชายของเค้าเสียชีวิตลง ซึ่งตอนแรก เราก็เดาไปว่า จะมีประเด็นบางอย่างระหว่างตัวเอกกับหลานชายแค่นั้น แต่หนังกลับพาเราไปลึกและดำดิ่งกว่านั้นมากๆ
หนังเปิดเรื่องด้วยซีน ตอนที่ Patrick ยังเป็นเด็ก และออกเรือไปตกปลากับ Lee และ Joe พ่อของเค้า ซีนนี้มันน่ารักและอบอุ่นมาก ซึ่งหนังหลอกเราซะตายใจเลย 55
หลังจากนั้น หนังตัดมาเล่าชีวิตในปัจจุบันของ Lee ซึ่งเรารับรู้ได้ชัดเจนเลยว่า เค้าเปลี่ยนเป็นคนละคนจากตอนนั้นแล้ว เค้าแทบจะไม่ยิ้มแย้มเลย และเป็นคนหงุดหงิดและโมโหง่ายมาก ราวกับว่าเค้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยลมหายใจเพียงอย่างเดียว เรารู้สึกได้ทันทีว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตเค้าแน่ๆ
เราชอบการเล่า Flashback ความสัมพันธ์ของ Lee กับอดีตภรรยามากๆ หนังเล่าให้เห็นถึงช่วงที่พวกเค้าอยู่ด้วยกันพร้อมลูก 3 คน ซึ่งเป็นช่วงที่เรารับรู้ได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ Lee เป็นคนขี้เล่นมากๆ ซีนนี้มันทำให้เราได้เห็นคาเรคเตอร์ของ Lee อย่างชัดเจน หนังให้น้ำหนักซีนนี้อยู่พอสมควร ซึ่งเราคิดว่า มันช่วยส่งไปในตอนท้ายที่ทำให้เราอินมากๆในประเด็นครอบครัวของ Lee แต่แล้วก็กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งคู่ เกิดไฟไหม้บ้านของ Lee ด้วยเหตุเพียงเพราะ เค้าไม่ได้เอาที่แผงกั้นเตาผิงไฟมากั้นไว้ เลยน่าจะทำให้ฝืนกลิ้งออกมา จนเกิดไฟไหม้บ้าน ทำให้ลูกทั้ง 3 คนของเค้าต้องตายคาเปลวเพลิง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ Lee รู้สึกช็อคและโทษตัวเองอย่างหนักหน่วง ถึงขนาดพยายามจะฆ่าตัวตายตามลูกไปด้วย ซึ่งเราโคตรเข้าใจเค้าเลย ใครมันจะไปทำใจได้วะ มันเกิดขึ้นเร็วมาก อาจเพราะเค้าเมา อาจเพราะเค้าประมาท จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ มันไม่สำคัญ เพราะความจริงที่เกิดขึ้น คือลูกทั้ง 3 คนของเค้าได้จากไปแล้ว และจนต่อมาภรรยาก็มาทิ้งเค้าไปอีก Lee คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ เค้าคงต้องโทษตัวเองและต้องอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิต
Lee ไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปในเมืองนี้ได้ ทุกคนในเมืองทราบเหตุการณ์นี้ดี และเค้าก็คงถูกพูดถึงในแง่ไม่ดี เค้าอยู่ไม่ได้ เค้าต้องไป เค้าเลือกที่จะหนีเหตุการณ์นี้ โดยไปอาศัยและหางานทำที่เมืองอื่น แม้ว่าเค้าจะหนีไปจากสถานที่ตรงนี้ได้ แต่เค้าไม่สามารถหนีความรู้สึกนี้ไปได้ เค้าไม่สามารถกลับไปเป็นคนที่สดใสแบบเดิมได้อีกแล้ว
จนวันหนึ่ง ก็เกิดมีความจำเป็นที่ทำให้เค้าต้องเดินทางกลับมาที่เมืองแมนเชสเตอร์ แต่รอบนี้ มันอาจไม่ใช่แค่การกลับมาเยี่ยมบ้านแค่ชั่วคราว เหมือนตอนที่เค้ากลับมาบ้านตอนพี่ชายอาการป่วยทรุดลง รอบนี้พี่ชายของเค้าเสียชีวิตแล้ว และเค้าได้รับพินัยกรรมจากพี่ชายให้ช่วยดูแลลูกชายชื่อ Patrick ไปจนเค้าอายุครบ 18 ปี ตอนนี้เค้ายังแค่ 16 ปีเอง ซึ่ง Patrick เค้าไม่อยากเดินทางไปใช้ชีวิตที่เมืองอื่น เค้าอยากอยู่ที่เมืองนี้ เค้าโตที่นี่ ที่นี่เค้ามีเพื่อน มีแฟน มีวงดนตรี เป็นนักกีฬาทีมโรงเรียน เค้าต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่แล้ว Lee จะทำยังไงกับเรื่องนี้ Lee จะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไหม
Lee ยังคงหาทางออกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนึ้ แต่ในระหว่างนี้ เค้าต้องจัดการเรื่องงานศพของ Joe ให้เรียบร้อยก่อน เค้าต้องกลับไปย้ายของจากห้องพักของเค้า เพื่อกลับมาอยู่ที่แมนเชสเตอร์ชั่วคราว เค้าเก็บรูปตั้งโต๊ะ 3 อันมาตั้งในห้องนอนที่นี่ด้วย เราเห็นแว๊บๆรูปหนึ่ง เป็นรูปเด็ก ซึ่งเราก็คงพอเดาได้ว่า 3 รูปนี้ คือรูปใคร
ในชีวิตของ Lee นอกจาก Joe พี่ชาย และหลานชาย Patrick แล้ว เค้าแทบจะไม่เหลือใครในชีวิตแล้ว ภรรยาก็เลิกรากันไปแล้ว รวมไปถึงความรู้สึกผิดที่ยังฝังใจเค้าเสมอมา เค้าพยายามกลับมาใช้ชีวิตปกติในตอนที่ต้องกลับมาดูเรื่องจัดการศพ เรารู้สึกว่า เค้าต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก เพราะการกลับมาใช้ชีวิตในบรรยากาศเดิมๆ รวมไปถึงสายตาคนรอบข้างที่มองเค้า จากเรื่องราวเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น มันยากมากๆในการจะดำเนินชีวิตให้เป็นปกติให้ได้ เค้าแสดงมันออกทางสายตาอยู่ตลอดเวลาในความเจ็บปวดและความฝืน
ประเด็นความสัมพันธ์ของ Lee กับ Patrick ก็น่าสนใจมาก ถ้าดูเอาจากหนัง เราคิดว่าก่อนเหตุการณ์ไฟไหม้ Lee ดูสนิทกับหลานชายคนนี้มาก อาจจะด้วยความที่ตัวเค้าค่อนข้างเป็นคนขี้เล่น เลยชอบแกล้งเจ้าหลายชายตัวนี้ แต่พอเค้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เค้ากลับไปเป็นคนนั้นไม่ได้แล้ว เราคิดว่าตั้งแต่นั้น ความสัมพันธ์กับหลานก็คงค่อยๆแย่ลง และห่างเหินกันมากขึ้น สังเกตจากเหตุการณ์ที่ Lee กำลังจะย้ายออกจากเมือง Patrick ยังไม่ออกมาส่งเลย ถ้า Joe ไม่เรียกให้ออกมา ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งมักจะห่างครอบครัวมากขึ้น และไปมีสังคมของตัวเองกับเพื่อนๆแทน
แต่สิ่งที่เรายังรู้สึกในความสัมพันธ์ของเค้าทั้งคู่ คือเรารู้สึกว่าทั้ง 2 ยังเป็นห่วงกันอยู่ลึกๆตลอดเวลา บางทีการไม่แสดงออกตรงๆ มันก็ปิดความรู้สึกในใจไม่ได้หรอก หลายๆซีนที่เราชอบ เช่น ตอนที่ Lee ยอมเข้าไปนั่งคุยกับแม่แฟนของ Patrick ซึ่งแมร่งโคตรฝืนเลย แต่เค้ายอมทำเพื่อหลาน แม้เค้าจะทำมันได้ห่วยแตกมากๆ แต่เราโคตรประทับใจเลย เราเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่เพราะหลานขอ เค้าไม่มีทางยอมทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ ซีนที่บอกว่า Patrick จะเอาปืนไปขาย เพื่อเอาเงินมาซื้อมอเตอร์เรือ หรือซีนที่ Patrick เข้ามาเห็นรูปในห้องของ Lee เรารับรู้ได้ว่า Patrick ก็เป็นห่วง Lee มากๆเช่นกัน
ในเหตุการณ์พิธีศพของ Joe ทำให้ Lee มีโอกาสได้กลับมาคุยและพบเจอกับ Randi อีกครั้ง บทสนทนา น้ำเสียง และสายตาของ Lee ยังบ่งบอกได้ดีว่าเค้ายังรู้สึกยังไงกับเธอ แต่มันกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เค้ารู้สึกผิดต่อเธอมาก และที่สำคัญ ตอนนี้เธอก็มีคนใหม่แล้วและกำลังตั้งท้องอยู่
ในตอนท้ายเรื่องวันหนึ่ง Lee บังเอิญเดินมาเจอ Randi ที่มาพร้อมกับลูกน้อยของเธอบนรถเข็น Randi บอก Lee ว่าอยากพูดคุยด้วย สิ่งที่เธอพูดกับ Lee เธอพยายามบอกเค้าว่า เธอเข้าใจว่าสิ่งที่ Lee ต้องเจอมันโหดร้ายแค่ไหน ตัวเธอเองก็ใจสลายไม่ต่างกับ Lee เช่นกัน เธอเป็นห่วง Lee มาก เธอรู้สึกผิดเช่นกันที่พูดไม่ดีกับ Lee ไว้เยอะ เธอขอโทษ เธอบอกว่ารัก Lee แต่สำหรับ Lee แล้ว เค้าอยากรับสิ่งนี้ไว้เอง เค้าคิดว่ามันคือความผิดของเค้า เค้าไม่อยากให้เธอรู้สึกผิด เค้าไม่อยากให้เธอเสียใจและไม่มีความสุข ยิ่งเค้าได้ยินว่าเธอเป็นห่วงเค้าเท่าไหร่ เค้ายิ่งเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้าย Lee ก็ยอมรับความจริงได้ว่า เค้ายังเอาชนะสิ่งนี้ไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งที่เราเห็นและรู้สึกได้ คือเราเห็นว่าเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ ซึ่งเราชื่นชมเค้ามากๆในจุดนี้ แต่เราก็เข้าใจเค้ามากๆว่าสิ่งที่เค้าต้องเจอนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆที่จะเอาชนะมันได้และมันไม่ใช่ความผิดอะไรของเค้าด้วยที่สุดท้ายเค้าเอาชนะมันไม่ได้
บางครั้งสิ่งที่เราเจอ มันอาจหนักหนาเกินไปจริงๆแหละ ว่ากันว่า เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง เราคิดว่ามันอาจจะไม่เป็นจริงเช่นนั้นเสมอไป สิ่งที่สำคัญ เราคิดว่าเราแค่ต้องทำความเข้าใจ ทำใจยอมรับและยังต้องเคารพตัวเองให้ได้
ในชีวิตจริง เราคงไม่สามารถเอาชนะทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้หรอก แต่เราสามารถเรียนรู้จากทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้
เราชอบบทสรุปของหนังเรื่องนี้มาก เราชอบที่หนังไม่ได้ทำให้เราเห็นถึงการก้าวผ่านเอาชนะบางอย่างได้สำเร็จ เหมือนอย่างหนังทั่วๆไป แต่หนังเพียงแค่เล่าให้เราเห็นความจริงบางอย่างของชีวิตก็เท่านั้นเอง...แล้วชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
"อาเอาชนะมันไม่ได้...อาขอโทษ"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Manchester by the Sea - เราคงไม่สามารถเอาชนะทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้หรอก (Spoil)
พอดูจบ เราบอกได้เลยทันทีว่า เราชอบ Manchester by the Sea มากๆ หนังมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 17 นาที แต่หนังกลับสะกดให้เราอยู่กับเรื่องได้ตั้งแต่ซีนแรก จนถึงดนตรีสุดท้ายของหนังเลย เราคิดว่าหนังเรื่องนี้มันดึงให้เราเข้าไปอยู่ในโลกของหนังได้อย่างสมบูรณ์แบบ หรือมันอาจะเป็นทางหนังที่เราชอบด้วยแหละ มันเลยสะกดเราได้ตลอดทั้งเรื่องจริงๆ
การดำเนินเรื่อง แม้จะตัดสลับเหตุการณ์อยู่หลายช่วง แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากแต่อย่างใด เรารู้สึกว่าการตัดต่อแบบนี้มันช่วยส่งอารมณ์ให้ดำเนินไปในทางที่หนังต้องการ เราค่อยๆรู้สึกบางอย่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และพอถึงซีนพีค มันเลยส่งให้เรารู้สึกร่วมได้สุดๆเลย
เราชอบการเล่าด้วยภาพและดนตรี ไร้เสียงบทสนทนาในหลายๆซีน ซึ่งเราว่าเค้าเลือกซีนได้ดี ทั้งๆที่ซีนเหล่านั้นคือซีนสำคัญด้วยนะ แต่หนังกล้าจะใช้การเล่าด้วยแค่ภาพและดนตรี แทนที่จะให้เราได้ยินบทสนทนาของตัวละคร ซึ่งมันมีโอกาสจะสื่อสารได้ไม่ถึงอยู่มากพอสมควร แต่เรื่องนี้กลับทำได้ดี และเราชอบการเล่าของหนังซีนแบบนี้มากๆ
ดนตรีประกอบและเพลงประกอบ คือสิ่งที่เราชอบมากๆ มันช่วยพาอารมณ์ให้รู้สึกไปกับหนังมากขึ้น และที่สำคัญในบางซีน มันเป็นส่วนหลักในการเล่าเรื่องและสื่ออารมณ์อีกด้วย มันเจ๋งมากๆ
ผลงานการกำกับของ Kenneth Lonergan ซึ่งเรายอมรับว่าไม่เคยรู้จักเค้ามาก่อนเลย แต่เรื่องนี้เราว่าเค้ากำกับได้ดีมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสื่อสารประเด็นหลัก มันอิมแพคกับความรู้สึกของเรามากๆ เราอินกับเรื่องและตัวละครแบบสุดๆ ทั้งๆที่หนังไม่ได้พยายามขยี้อารมณ์เราเลย หลายซีนที่หนังน่าจะขยี้ได้มากกว่านี้ แต่หนังก็ไม่ได้เลือกทำ ซึ่งเราคิดว่าแบบนี้มันลงตัวพอดีแล้ว มันดูจริงมาก มันเลยกระทบความรู้สึกเราสุดๆ
การแสดงของ Casey Affleck คือส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสื่อสารสิ่งที่ต้องการจะสื่อออกมาได้เข้าถึงความรู้สึกสุดๆ Casey สร้างตัวละคร Lee Chandler ขึ้นมาราวกับเค้ามีตัวตนจริงๆ เราว่าเค้าเก่งมากๆ ที่คุมโทนตัวละครได้อย่างเนียนกริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของตัวละครหลังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ แต่เมื่อเวลาล่วงมา มันมีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองในรายละเอียดปลีกย่อยอีก ซึ่งเรารู้สึกได้ จุดเด่นที่ Casey ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ คือการแสดงออกทางร่างกายและสายตา ไม่รู้เราคิดไปเองรึเปล่า เรารู้สึกว่าหลังเหตุการณ์นั้น แม้กระทั่งเสียงพูดเค้ายังเปลี่ยนไปเลย เรารู้สึกเสียงเค้าแหบพร่ามากๆ ราวกับเสียงของคนที่ไม่มีพลังเหลืออยู่แล้ว ในบางซีนแค่เค้าตบไหล่ Patrick เรายังรับรู้ความรู้สึกเค้าได้เลย ซีนที่เค้ามองไปดูบรรยากาศรอบๆตัวในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ซึ่งมีความหลังของเค้า มันมีความรู้สึกอยู่ในสายตาของเค้าทุกซีน
จริงๆการแสดงของเค้า มันต้องชมในภาพรวมเลย เพราะจุดที่เจ๋งคือเค้าทำได้ต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่หากจะต้องบังคับเลือกซีนที่เราชอบ จะมีอยู่ 3-4 ซีน เราชอบซีนที่ Lee รับโทรศัพท์ที่ Randi อดีตภรรยาโทรมาถามเรื่องการเสียชีวิตของโจ เราชอบการรีแอคของเค้าต่อเรื่องที่พูดคุยกัน โดยเฉพาะตอนที่เธอบอกว่าเธอมีคนใหม่แล้วและเธอกำลังท้อง Casey รีแอคได้เฉียบคมมากๆ ซีนที่มาเจอกับ Randi ตอนท้ายเรื่องที่เธอมากับพร้อมลูกที่อยู่ในรถเข็น การแสดงช่วงนี้ยอดเยี่ยมมากๆ เราน้ำตาซึมเลย เราชอบการเพิ่มดีกรีความรู้สึกของเค้า ตาเค้าค่อยๆแดง น้ำตาค่อยๆซึม การแสดงออกทางร่างกายดูเกร็งและไร้การควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ มันรู้สึกได้จริงๆ
ซีนที่ต้องเล่ารายละเอียดเหตุการณ์วันไฟไหม้ให้ตำรวจฟัง อันนี้ก็สุดยอดมาก เราชอบสายตาเค้า ตาเค้าไม่โฟกัส มองไปมองมา และชอบความรู้สึกตอนที่เค้าค่อยๆเล่า มันค่อยๆเจ็บปวดเพิ่มไปทีละนิด จนถึงตอนท้ายที่เค้าถามตำรวจว่า "แค่นี้เหรอ" มันจุกในลำคอไปหมดเลย
และซีนสำคัญคือตอนที่เค้าบอก Patrick เรื่องที่จะให้ไปอาศัยอยู่กับ George แล้ว Patrick ถามว่า "อาอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ" Lee ตอบกลับไปว่า "อาเอาชนะมันไม่ได้ อาเอาชนะมันไม่ได้...อาขอโทษ" สิ่งที่เค้าสื่อสารมาตลอดทั้งเรื่อง ถูกส่งมาที่ซีนนี้ และเราหมดคำถามทันทีว่าทำไมเค้าถึงกวาดรางวัลต่างๆมามากมายในปีนี้
พร็อตเรื่องที่เรารู้ก่อนเข้าไปดูหนัง คือตัวเอก Lee Chandler มีอาชีพเป็นภารโรง แต่ต้องมารับหน้าที่ดูแลหลานชายวัยรุ่น หลังจากพี่ชายของเค้าเสียชีวิตลง ซึ่งตอนแรก เราก็เดาไปว่า จะมีประเด็นบางอย่างระหว่างตัวเอกกับหลานชายแค่นั้น แต่หนังกลับพาเราไปลึกและดำดิ่งกว่านั้นมากๆ
หนังเปิดเรื่องด้วยซีน ตอนที่ Patrick ยังเป็นเด็ก และออกเรือไปตกปลากับ Lee และ Joe พ่อของเค้า ซีนนี้มันน่ารักและอบอุ่นมาก ซึ่งหนังหลอกเราซะตายใจเลย 55
หลังจากนั้น หนังตัดมาเล่าชีวิตในปัจจุบันของ Lee ซึ่งเรารับรู้ได้ชัดเจนเลยว่า เค้าเปลี่ยนเป็นคนละคนจากตอนนั้นแล้ว เค้าแทบจะไม่ยิ้มแย้มเลย และเป็นคนหงุดหงิดและโมโหง่ายมาก ราวกับว่าเค้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยลมหายใจเพียงอย่างเดียว เรารู้สึกได้ทันทีว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับชีวิตเค้าแน่ๆ
เราชอบการเล่า Flashback ความสัมพันธ์ของ Lee กับอดีตภรรยามากๆ หนังเล่าให้เห็นถึงช่วงที่พวกเค้าอยู่ด้วยกันพร้อมลูก 3 คน ซึ่งเป็นช่วงที่เรารับรู้ได้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆ Lee เป็นคนขี้เล่นมากๆ ซีนนี้มันทำให้เราได้เห็นคาเรคเตอร์ของ Lee อย่างชัดเจน หนังให้น้ำหนักซีนนี้อยู่พอสมควร ซึ่งเราคิดว่า มันช่วยส่งไปในตอนท้ายที่ทำให้เราอินมากๆในประเด็นครอบครัวของ Lee แต่แล้วก็กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งคู่ เกิดไฟไหม้บ้านของ Lee ด้วยเหตุเพียงเพราะ เค้าไม่ได้เอาที่แผงกั้นเตาผิงไฟมากั้นไว้ เลยน่าจะทำให้ฝืนกลิ้งออกมา จนเกิดไฟไหม้บ้าน ทำให้ลูกทั้ง 3 คนของเค้าต้องตายคาเปลวเพลิง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ Lee รู้สึกช็อคและโทษตัวเองอย่างหนักหน่วง ถึงขนาดพยายามจะฆ่าตัวตายตามลูกไปด้วย ซึ่งเราโคตรเข้าใจเค้าเลย ใครมันจะไปทำใจได้วะ มันเกิดขึ้นเร็วมาก อาจเพราะเค้าเมา อาจเพราะเค้าประมาท จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ มันไม่สำคัญ เพราะความจริงที่เกิดขึ้น คือลูกทั้ง 3 คนของเค้าได้จากไปแล้ว และจนต่อมาภรรยาก็มาทิ้งเค้าไปอีก Lee คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ เค้าคงต้องโทษตัวเองและต้องอยู่กับความรู้สึกนี้ไปตลอดชีวิต
Lee ไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปในเมืองนี้ได้ ทุกคนในเมืองทราบเหตุการณ์นี้ดี และเค้าก็คงถูกพูดถึงในแง่ไม่ดี เค้าอยู่ไม่ได้ เค้าต้องไป เค้าเลือกที่จะหนีเหตุการณ์นี้ โดยไปอาศัยและหางานทำที่เมืองอื่น แม้ว่าเค้าจะหนีไปจากสถานที่ตรงนี้ได้ แต่เค้าไม่สามารถหนีความรู้สึกนี้ไปได้ เค้าไม่สามารถกลับไปเป็นคนที่สดใสแบบเดิมได้อีกแล้ว
จนวันหนึ่ง ก็เกิดมีความจำเป็นที่ทำให้เค้าต้องเดินทางกลับมาที่เมืองแมนเชสเตอร์ แต่รอบนี้ มันอาจไม่ใช่แค่การกลับมาเยี่ยมบ้านแค่ชั่วคราว เหมือนตอนที่เค้ากลับมาบ้านตอนพี่ชายอาการป่วยทรุดลง รอบนี้พี่ชายของเค้าเสียชีวิตแล้ว และเค้าได้รับพินัยกรรมจากพี่ชายให้ช่วยดูแลลูกชายชื่อ Patrick ไปจนเค้าอายุครบ 18 ปี ตอนนี้เค้ายังแค่ 16 ปีเอง ซึ่ง Patrick เค้าไม่อยากเดินทางไปใช้ชีวิตที่เมืองอื่น เค้าอยากอยู่ที่เมืองนี้ เค้าโตที่นี่ ที่นี่เค้ามีเพื่อน มีแฟน มีวงดนตรี เป็นนักกีฬาทีมโรงเรียน เค้าต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่แล้ว Lee จะทำยังไงกับเรื่องนี้ Lee จะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้ไหม
Lee ยังคงหาทางออกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนึ้ แต่ในระหว่างนี้ เค้าต้องจัดการเรื่องงานศพของ Joe ให้เรียบร้อยก่อน เค้าต้องกลับไปย้ายของจากห้องพักของเค้า เพื่อกลับมาอยู่ที่แมนเชสเตอร์ชั่วคราว เค้าเก็บรูปตั้งโต๊ะ 3 อันมาตั้งในห้องนอนที่นี่ด้วย เราเห็นแว๊บๆรูปหนึ่ง เป็นรูปเด็ก ซึ่งเราก็คงพอเดาได้ว่า 3 รูปนี้ คือรูปใคร
ในชีวิตของ Lee นอกจาก Joe พี่ชาย และหลานชาย Patrick แล้ว เค้าแทบจะไม่เหลือใครในชีวิตแล้ว ภรรยาก็เลิกรากันไปแล้ว รวมไปถึงความรู้สึกผิดที่ยังฝังใจเค้าเสมอมา เค้าพยายามกลับมาใช้ชีวิตปกติในตอนที่ต้องกลับมาดูเรื่องจัดการศพ เรารู้สึกว่า เค้าต้องพยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก เพราะการกลับมาใช้ชีวิตในบรรยากาศเดิมๆ รวมไปถึงสายตาคนรอบข้างที่มองเค้า จากเรื่องราวเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น มันยากมากๆในการจะดำเนินชีวิตให้เป็นปกติให้ได้ เค้าแสดงมันออกทางสายตาอยู่ตลอดเวลาในความเจ็บปวดและความฝืน
ประเด็นความสัมพันธ์ของ Lee กับ Patrick ก็น่าสนใจมาก ถ้าดูเอาจากหนัง เราคิดว่าก่อนเหตุการณ์ไฟไหม้ Lee ดูสนิทกับหลานชายคนนี้มาก อาจจะด้วยความที่ตัวเค้าค่อนข้างเป็นคนขี้เล่น เลยชอบแกล้งเจ้าหลายชายตัวนี้ แต่พอเค้าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เค้ากลับไปเป็นคนนั้นไม่ได้แล้ว เราคิดว่าตั้งแต่นั้น ความสัมพันธ์กับหลานก็คงค่อยๆแย่ลง และห่างเหินกันมากขึ้น สังเกตจากเหตุการณ์ที่ Lee กำลังจะย้ายออกจากเมือง Patrick ยังไม่ออกมาส่งเลย ถ้า Joe ไม่เรียกให้ออกมา ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งมักจะห่างครอบครัวมากขึ้น และไปมีสังคมของตัวเองกับเพื่อนๆแทน
แต่สิ่งที่เรายังรู้สึกในความสัมพันธ์ของเค้าทั้งคู่ คือเรารู้สึกว่าทั้ง 2 ยังเป็นห่วงกันอยู่ลึกๆตลอดเวลา บางทีการไม่แสดงออกตรงๆ มันก็ปิดความรู้สึกในใจไม่ได้หรอก หลายๆซีนที่เราชอบ เช่น ตอนที่ Lee ยอมเข้าไปนั่งคุยกับแม่แฟนของ Patrick ซึ่งแมร่งโคตรฝืนเลย แต่เค้ายอมทำเพื่อหลาน แม้เค้าจะทำมันได้ห่วยแตกมากๆ แต่เราโคตรประทับใจเลย เราเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่เพราะหลานขอ เค้าไม่มีทางยอมทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ ซีนที่บอกว่า Patrick จะเอาปืนไปขาย เพื่อเอาเงินมาซื้อมอเตอร์เรือ หรือซีนที่ Patrick เข้ามาเห็นรูปในห้องของ Lee เรารับรู้ได้ว่า Patrick ก็เป็นห่วง Lee มากๆเช่นกัน
ในเหตุการณ์พิธีศพของ Joe ทำให้ Lee มีโอกาสได้กลับมาคุยและพบเจอกับ Randi อีกครั้ง บทสนทนา น้ำเสียง และสายตาของ Lee ยังบ่งบอกได้ดีว่าเค้ายังรู้สึกยังไงกับเธอ แต่มันกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เค้ารู้สึกผิดต่อเธอมาก และที่สำคัญ ตอนนี้เธอก็มีคนใหม่แล้วและกำลังตั้งท้องอยู่
ในตอนท้ายเรื่องวันหนึ่ง Lee บังเอิญเดินมาเจอ Randi ที่มาพร้อมกับลูกน้อยของเธอบนรถเข็น Randi บอก Lee ว่าอยากพูดคุยด้วย สิ่งที่เธอพูดกับ Lee เธอพยายามบอกเค้าว่า เธอเข้าใจว่าสิ่งที่ Lee ต้องเจอมันโหดร้ายแค่ไหน ตัวเธอเองก็ใจสลายไม่ต่างกับ Lee เช่นกัน เธอเป็นห่วง Lee มาก เธอรู้สึกผิดเช่นกันที่พูดไม่ดีกับ Lee ไว้เยอะ เธอขอโทษ เธอบอกว่ารัก Lee แต่สำหรับ Lee แล้ว เค้าอยากรับสิ่งนี้ไว้เอง เค้าคิดว่ามันคือความผิดของเค้า เค้าไม่อยากให้เธอรู้สึกผิด เค้าไม่อยากให้เธอเสียใจและไม่มีความสุข ยิ่งเค้าได้ยินว่าเธอเป็นห่วงเค้าเท่าไหร่ เค้ายิ่งเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
สุดท้าย Lee ก็ยอมรับความจริงได้ว่า เค้ายังเอาชนะสิ่งนี้ไม่ได้จริงๆ แต่สิ่งที่เราเห็นและรู้สึกได้ คือเราเห็นว่าเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ ซึ่งเราชื่นชมเค้ามากๆในจุดนี้ แต่เราก็เข้าใจเค้ามากๆว่าสิ่งที่เค้าต้องเจอนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆที่จะเอาชนะมันได้และมันไม่ใช่ความผิดอะไรของเค้าด้วยที่สุดท้ายเค้าเอาชนะมันไม่ได้
บางครั้งสิ่งที่เราเจอ มันอาจหนักหนาเกินไปจริงๆแหละ ว่ากันว่า เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง เราคิดว่ามันอาจจะไม่เป็นจริงเช่นนั้นเสมอไป สิ่งที่สำคัญ เราคิดว่าเราแค่ต้องทำความเข้าใจ ทำใจยอมรับและยังต้องเคารพตัวเองให้ได้
ในชีวิตจริง เราคงไม่สามารถเอาชนะทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้หรอก แต่เราสามารถเรียนรู้จากทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้
เราชอบบทสรุปของหนังเรื่องนี้มาก เราชอบที่หนังไม่ได้ทำให้เราเห็นถึงการก้าวผ่านเอาชนะบางอย่างได้สำเร็จ เหมือนอย่างหนังทั่วๆไป แต่หนังเพียงแค่เล่าให้เราเห็นความจริงบางอย่างของชีวิตก็เท่านั้นเอง...แล้วชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
"อาเอาชนะมันไม่ได้...อาขอโทษ"
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/