สวัสดีค่ะเนื่องจากเราได้ไปสอบมาในวันที่ ๗ เดือนมกราคมต้นปีนี่นี้เองแล้วได้คะแนนที่ต้องการแล้วค่ะ
เราได้ overall 6.5
L 7.5
R 6
W 6
S 6
ถึงแม้คะแนนที่เราได้มาอาจจะไม่เยอะแต่เราบนไว้ว่าถ้าได้คะแนนตามที่หวังไว้จะมาเขียนรีวิว 5555
ยังไงเราก็ขอแบ่งประสบการณ์ในการสอบและการเตรียมตัวสอบไว้ให้ทุกคนให้ได้อ่านกันเผื่อเป็นประโยชน์กันนะคะ
ขอบอกก่อนว่าเราสอบมาสอบรอบรอบแรกคือวันที่ ๓ เดือนกันยายน ปีที่แล้วค่ะ
เพิ่มเติมอีกอย่างนึงคือเราเรียนโรงเรียนหลักสูตรอินเตอร์มาตอนมัธยมปลายค่ะแล้วตอนนี้เราอยู่มอหกค่ะ
ในการสอบรอบแรกเราได้ overall 6 ค่ะ
L 6.5
R 6
W 5
S 6
ก่อนอื่นเราขอแบ่งเป็นสองพาร์ทนะคะ
Part 1 - รีวิวตอนไปสอบ
Part 2 - การเตรียมตัว
Part 1
เราสอบกับ British Council ทั้งสองรอบค่ะสาเหตุหลักที่เราเลือกที่นี่คือสถานที่ค่ะเนื่องจากสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้ สะดวกต่อเรามากๆค่ะ
ลงสถานีนานาแล้วมองตามป้ายที่เขียนว่าทางไปโรงแรม Landmark เลยค่ะเดินไม่กี่เมตรก็ถึงแล้ว
ตอนที่เราไปสอบรอบแรก 3/09/2016 ราคายังอยู่ที่ 6440 แต่พอรอบสอง 07/01/2017 ราคาไปอยู่ที่ 6685 ค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจจะสอบรอบเดียวให้มันผ่านๆไปเลยแต่ดันไม่ผ่านเราเลยต้องกัดฟันจ่ายค่าสอบอีกรอบค่ะ
เราไปถึงโรงแรมLandmark ตอนประมาณตอนเจ็ดโมงกว่าๆค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมในวันสอบคือบัตรประชาชนและสำเนาบัตรประชาชนด้วยค่ะ เราจำได้ตอนสอบรอบแรกเราไม่ได้เอาสำเนาไปแต่โรงแรมมีบริการทำให้ค่ะถ้าใครลืมจริงๆจะมีอยู่ที่ชั้นสามค่ะแต่แนะนำให้เอาสำเนาไปด้วยเพราะใบนึงตั้งเจ็ดบาทค่ะถ้าให้โรงแรมทำถือว่าแพงมากๆ อุปกรณ์เครื่องเขียนไม่ต้องนำไปนะคะศูนย์สอบมีเตรียมเอาไว้ให้หมดค่ะ
พอถึงโรงแรมแล้วเราแนะนำให้เข้าห้องน้ำเป็นอันดับแรกเลยค่ะเพราะตอนฝากของและลงทะเบียนจะวุ่นวายและคนเยอะมากๆค่ะ อีกอย่างหนึ่งคือแนะนำเข้าห้องน้ำที่ชั้นสามค่ะเพราะคนน้อยกว่าชั้นอื่นค่ะจะไม่ต้องไปต่อแถว
หลังจากนั้นไปที่ชั้นเจ็ดเลยค่ะไปฝากของก่อนโดยจะเป็นห้องใหญ่ๆมี staff ดูแลค่ะห้องจะอยู่ขวามือของลิฟท์ค่ะเปิดลิฟท์มาไม่ต้องตกใจนะคะคนจะเยอะมากกกๆๆๆๆส่วนมากคนจะกรูกันมากกว่าค่ะไม่รู้อันไหนเป็นหัวหรือหางแถวเลย
อย่าลืมนะคะว่าห้ามเอาอะไรติดตัวเลยเอาแค่บัตรปชช. กับสำเนาพอค่ะ พกเสื้อหนาวไปก็ดีนะคะในห้องสอบค่อนข้างหนาวถ้าใครพกขวดน้ำไปก็ดึงฉลากออกด้วยนะคะ
หลังจากฝากของแล้วพี่สตาฟจะให้ใบฝากของมามีกาวติดอยู่ข้างหลังกระดาษแนะนำให้แปะไว้กับบัตรปชช.เลยค่ะกันหายกันหล่น จากนั้นเดินไปลงทะเบียนเลยค่ะแถวจะยาวมาๆๆมั่วกันไปหมดแนะนำให้ตั้งสติหาแถวให้ดีๆค่ะ ตอนเราไปสอบครั้งต่อแถวมั่วสรุปเดินไปเดินมาไม่ใช่แถวซะงั้นต้องไปต่ออีกรอบเซ็งมากค่ะเราเสียเวลากับต่อแถวทุกรอบเลยค่ะ55555
พี่staff เค้าจะเช็คว่าเรามีอะไรติดตัวก่อนไปลงทะเบียนนะคะอย่าลืมเอาทุกอย่างออกนะคะเดี๋ยวจะได้ไปต่อแถวกันอีกรอบ
โต๊ะที่สอบจะมีชื่อเราแปะไว้กับข้อมูลต่างๆรวมถึงวันและเวลาในการสอบ Listening ด้วยค่ะ
ระหว่างรอเวลาสอบให้เช็คหูฟังค่ะจะมีเสียงเพลงขึ้นมาให้เราฟังว่าหูฟังโอเคมั๊ยปรับความดังระดับความยาวของหูครอบได้ตามสะดวกเลยค่ะกว่าจะสอบก็ปาไปเก้าโมงค่ะรอรากงอกเลยทีเดียว555
ใครมีอะไรสงสัยในการสอบถามได้เลยนะคะเราจะพยายามตอบเท่าที่รู้นะคะ
Part 2
สำหรับการเตรียมตัวนะคะเราขอสารภาพว่าเราเป็นคนขี้เกียจมากๆๆเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอนค่ะเราเลยขออ่านไม่เยอะแต่ความรู้ที่ได้มาต้องเยอะค่ะ 555555
และเราเป็นคนขี้ตื่นเต้นมากๆตอนสอบรอบแรกหูอื้อไปหมดฟังอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะพลาดมากๆเลยขอไปทำสติและสมาธิมาแก้ตัวรอบสองค่ะ
เราไม่ได้ซื้อหนังสือมาทำนะคะมันแพงมากๆค่ะเราใช้เว็บไซต์นี้แทน
http://ieltsonlinetests.com/Catalogue ดีมากๆๆๆๆ มี Cambridge ครบทุกเล่มที่สำคัญคือมีตรวจให้ด้วยเราประหยัดตังค์ไปเยอะเลยค่ะแต่สำหรับตัวเราเองเราไม่ชอบอ่านReading ในหน้าจอค่ะเพราะเราติดเวลาเราอ่านเราชอบใช้ดินสอขีดตามตัวหนังสือที่เราอ่านค่ะเราว่ามันทำให้เราโฟกัสมากขึ้นเราเลยปริ้นท์เฉพาะบทความมาอ่านค่ะแล้วแยกกระดาษมาจดเป็นข้อๆดูคำถามในเว็บแล้วตอบเอาค่ะ
เราทำแค่นี้จริงๆค่ะ แนะนำให้ทำแค่นี้ด้วยตั้งแต่เล่ม 6 - 11 ค่ะพอทำหมดแล้วก็วนทำอีกรอบเพราะมันตรงกับข้อสอบมากๆๆๆๆ ความยากง่ายงี้เท่ากันเป๊ะๆเลย
Listening
เราขอบอกก่อนเลยว่าเราไม่ชอบพาร์ทนี้มากๆในทุกข้อสอบเพราะเราฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยอันนี้ถือว่าเป็นพาร์ทที่เราเกลียดที่สุดแต่เรากับได้มันเยอะมากที่สุดในทั้งสองรอบเราจะมาแชร์เคล็ดลับให้ทุกคนเองค่ะ 555
1. สมมติฟังถ้าเราเขาพูดไปเรื่อยๆแล้วไม่เข้าใจคำใดคำนึงในประโยคส่วนส่วนมากคนเราจะหยุดความคิดกับสติไว้คำๆนั้นแล้วคิดหาคำแปลหรือคิดว่าเมื่อกี้มันพูดว่าไรวะใช่มั๊ยคะ บางคนอาจไม่เป็นแต่เราเป็นค่ะ 5555 บางคนอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นพอรู้ตัวอีกทีก็อ่าวข้ออะไรแล้ววะ เราแนะนำให้ฟังไปเรื่อยๆค่ะอย่ายึดติกับคำๆหนึ่งมากเกินไปให้ฟังประโยคโดยรวมค่ะว่าพูดถึงอะไร
2. บางข้อที่ให้เขียนชื่อ เบอร์ เลขบัตรอะไรก็แล้วแต่ที่ให้สะกดตามที่เขาพูด บางคนอาจผิดโง่ๆเล็กน้อยๆมากมันทำให้เสียดายมากๆ เราขอแนะนำสิ่งที่เราพึ่งมารู้ตอนทำมาเยอะมากๆนั้นก็คือเขียนตามที่เขาพูดเลยค่ะอย่ารอให้จบประโยคแล้วค่อยเขียนอย่างเช่น ถ้าเขาพูด 017 895 697 เขียนตามทันทีที่พูดตัวเลขนั้นๆจบค่ะ อย่างเขาพูด zero จบปุ๊บเขียน 0 ตามลงในกระดาษเลยค่ะ ชื่อคนอะไรอย่างนี้ก็ทำแบบนี้ด้วยนะคะแต่ระวังเวลาเขาออกเสียงที่คล้ายๆกันอย่าง a กับ r ด้วยนะคะ วิธีนี้โคตรได้ผลกับเรามากๆ
3. ในตอนที่เขาให้เวลามาอ่าน information คร่าวๆว่าถามอะไรบ้างให้ทำตามที่เข้าพูดเลยนะคะแบบเวลาสมมติเขาให้เวลา 40 วินาทีในการอ่านคำถามใน section 1 เราแนะนำให้อ่านคำถามแค่ section 1 เท่านั้นนะคะเพราะถ้าเราเอาเวลาที่เหลือไปอ่าน section อื่นมันจะสับสนมากๆค่ะและทำให้เราไม่โฟกัสกับ section นั้นๆเลย ส่วนวิธีที่อ่านคำถามให้มีประสิทธิภาพในเวลาอันสั้นๆคือดูว่าในส่วนรวมในข้อที่จะถามต้องการข้อมูลอะไรสมมติข้อที่ 1 -8 เป็นTopic เกี่ยวกับลูกค้าที่จะมาสมัครบัตรเคดิตแล้วข้อ 1 ถามชื่อ ข้อ 2 ถามวันเกิด ข้อ 3 ถามที่อยู่ ให้เราดูช่องว่างที่เราจะต้องตอบค่ะว่าต้องการคำตอบเป็นอะไรพอถึงเวลาที่เขาพูดแล้วได้ยินข้อมูลส่วนนั้นๆมาแล้วก็ตั้งใจฟังและตอบค่ะ บางทีเขาอาจจะไม่พูดคำๆนั้นออกมาเป๊ะๆ อาจพูดเป็น symnonym มาแทนอันนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับบางคำที่ศัพท์ค่อนข้างแปลยากให้ฟังประโยคโดยรวมค่ะอย่างที่บอกว่ายึดติดกับคำบางคำมากเกินไปอาจใช้คำที่เขาพูดก่อนนหน้านี้มาช่วยทำความเข้าใจก็ได้ค่ะ
4. ในส่วนที่เป็นข้อกาให้คิดซะว่าเขามาเล่าเรื่องให้เราฟังค่ะแต่อย่าลืมดูคำถามด้วยว่าเขาต้องการคำตอบอะไรแล้วกาค่ะส่วนมากเขาจะพูดไล่ๆตามข้อลงมาเลยนะคะจับจังหวะให้ดีๆ ระวังอย่ายึดติกับข้อที่หาคำตอบไม่ได้นะคะผ่านไปเลยค่ะเดี๋ยวจะทำไม่ทันเอา ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะทำข้ามข้อไปมาในข้อกาเลยค่ะเพราะเขาพูดตามลำดับมาให้เลย
5. บางส่วนที่อาจจะมี map มาให้แล้วให้ locate มาว่าสถานที่นั้นอยู่ตรงใน map เราแนะนำก่อนดื่นให้ดูสัญลักษณ์ทิศก่อนค่ะมีประโยชน์มากๆ แล้วพอเขาพูดให้ลากเส้นไปตามที่เขาพูดเลยนะคะสมมติพอเขาพูดว่า We’re now at the beginning of the main path to the farmland ลากดินสอไปหา main path เลยค่ะหลังจากนั้นก็ลากดินสอตามที่เขาพูดไปเรื่อยถ้าเขาบอกทิศทางมาก็เหลือบตามองสัญลักษณ์เข็มทิศแล้วลากเลยค่ะซ้ายขวาบนล่าง
เราแนะนำเวลาผึก Listening ให้ทำหลายๆ Test ติดๆกันเลยนะคะพอทำไปเรื่อยๆจะรู้จะเราอ่อนหรือแข็ง section ไหนเป็นพิเศษก็ฝึกแต่ section นั้นๆค่ะ
อีกอย่างคืดพอทำแล้วตรวจเสร็จแล้วแล้วรู้ว่าผิดข้อไหนอย่าข้ามนะคะกลับไปทวนค่ะว่าทำไมถึงผิดผิดเพราะอะไร
Reading
เห็นได้ว่าเราได้ 6 มาทั้งสองรอบเลยซึ่งเราแปลกใจมากๆเพราะคิดว่ารอบสองผึกมือไปอย่างดีนึกว่าจะได้เยอะกว่ารอบแรกแต่ที่ไหนเท่ากันซะนี่ อย่างไงก็ตามเราถือว่าเราไม่ค่อยเก่งพาร์ทนี้เราไม่ค่อยมีอะไรจะแนะนำมากค่ะ 55555แต่พยายามจะคัดข้อที่น่าจะมีประโยชน์บ้าง
1. อย่าลืมอ่าน topic ทุกครั้งที่อ่านค่ะจะได้รู้ว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร
2. อ่านไปทำไปค่ะ อย่าอ่านทีเดียวแล้วทำหมดมันลืมค่ะพอเจอคำถามก็ต้องนั่งอ่านไหมยิ่ง IELTS ชอบถามคำถาม detail อยู่ด้วยอันตรายมากค่ะ ปวดหัวค่ะเครียดด้วย อ่านไปทำไปนั่งไล่ไปทีละข้อๆดีกว่าค่ะ
3. ดูคำถามก่อนอ่านค่ะว่าถามอะไร สมมติถามเกี่ยวกับชื่อคนพอเราอ่านบทความก็วงชื่อคนไว้ค่ะ
4. ข้อแตกต่างระหว่าง False กับ not given คือ
False
ตรงข้ามจากที่บทความพูด ผิดจากที่บทความให้ข้อความมา อย่าเช่นในบทความเขียนว่าพีระมิดมีมานานตั้งแต่ 4000 ปีที่แล้ว แต่คำถามถามว่า พีระมิดมีมานานมากจนไม่สามารถระบุเวลาได้ อันนี้ False ค่ะเพราะเขาก็ระบุอยู่ในบทความว่า 4000 ปีที่แล้ว
Not given
บทความไม่ได้กล่าวถึงข้อความนั้นสักนิดเลยค่ะ อย่างเช่นบทความเขียนว่าไอโฟนเป็นวิวัฒนาการที่เจ๋งมากๆ แต่คำถามเขียนมาว่าไอโฟนทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการที่รวดเร็วอันนี้ Not given ค่ะ บทความไม่ได้กล่าวถึงความเร็วของวิวัฒนาการเลย
Writing
ขอบอกว่าพาร์ทนี้เราทึ่งมากๆที่ได้ 6 ในรอบสองหลังจากได้แค่ 5 ในรอบแรกเพราะเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งสิ้นในรอบสอง 555555
เราเฟลจากรอบแรกค่ะเพราะเราคิดว่าเราเตรียมตัวไปค่อนข้างดีมากมีฝึกเขียนบ้างอ่านศัพท์บ้างพอคะแนนนออกเท่านั้นแหละค่ะโคตรรู้สึกแย่พอรอบสองไม่ฝึกเยอะแล้วค่ะเพราะคิดว่าพาร์ทนี้คะแนนอัพยากที่สุดแล้วไม่อยากเสียตังเรียนด้วยค่ะเลยไม่อ่านเลย 55555 อาศัยความรู้และบุญเก่าเอา 55555
เราไม่ฝึกเขียนเลยค่ะในรอบสองเคยพยายามจะฝึกแล้วแต่ขี้เกียจมากๆค่ะเลยขอบายเราเลยใช้วิธีดู structure ของ IELTS essay เอาซึ่งจะประมาณนี้
เราคิดว่า writing ของ IELTS มันค่อนข้างแปลกนิดนึงในความรู้สึกเราที่ว่าต้องเขียนความเห็นทั้งสองด้านในด้านที่เรา disagree/agree หรือ เขียนว่าเราagree กับมันมากแค่ไหนแล้วทำไมถึง disagree
Part 2
Introduction
-paraphrase statement (เขียน statement ที่เขาให้มาด้วยstyle ของเราเองค่ะพยายามใช้คำที่สวยๆและหลากหลาย)
-answer question
-เราจะจบด้วย this essay will contain...../ The reason will list/ illustrate in this essay (แล้วแต่คนนะคะ)
**Body paragraph (จะแบ่งเป็นสองหรือสามแล้วแต่เราค่ะจะเป็นดังนี้นะคะ)
Body paragraph 1
- agree/disagree or +/- สมมติถ้าparagraphนี้เป็น agree อีก paragraph นึงต้องเป็น disagree นะคะ จะจัด format ยังไงก็ได้เอาอันไหนไว้บนไว้ล่างแล้วแต่สะดวกค่ะ
-supporting idea
-example/experience (***อันนี้สำคัญมากๆค่ะต้องเขียนให้ clear สมตติถ้าเราหา supporting idea ไม่คอนดีเท่าไหร่แต่ example or explanation ส่วนนี้ต้องชัดเจนเพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนของเราว่าเราคิดแบบนี้และเพราะแบบนี้ไงฉันเลยคิดแบบนี้ แบบเขียนให้มันมี logic)
Body paragraph 2
- เหมือน body paragraph 1 เลยค่ะแค่สลับกันถ้าข้างบนเขียน agree แล้วก็ใส่ on the other hand แล้ว disagre บลาๆๆ
Conclusion
- answer the question
-list the main reasons why you agree and disagree
Part1
พาร์ทนี้เราอ่อนมากๆเพราะเราดูข้อมูลตามที่ให้มาแล้วเขียน เราว่าที่สำคัญของพาร์ทนี้คือมองข้อมูลที่เขาให้มาให้ออกว่าให้อะไรมาบ้างแล้วส่วนสำคัญคืออะไร พาร์ทนี้เราปริ้นท์ตัวอย่างมาจากในอินเตอร์เน็ตหลายๆ format ค่ะ เพื่อมาอ่านดูเค้าเขียนมายังไงบ้างแค่นี้ค่ะขอไม่แนะนำอะไรมากค่ะ
Speaking
บอกตรงๆว่าไม่ชอบพาร์ทนี้ค่ะเพราะปกติเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องมากๆๆพยายามแนะนำเท่าที่เป็นได้ค่ะ
เราแนะนำให้ดูคลิปในyoutube speaking test IELTS เอาค่ะ บาง topic อาจจะไม่คุ้นเลยดูไปเยอะๆเอาเป็นideaเอาค่ะ
พูดชัดๆดังๆนะคะเพราะเขาอัดเสียงไป
ถ้าข้อไหนคิดไม่ออกจริงๆพูดไปเลยค่ะอย่าบอกว่าขอเปลี่ยนคำถาม
พยายามเท่าที่จะพูดได้ค่ะอย่าเงียบไปเลยมันจะเสียคะแนนเราก็ใช้วิธีนี้ค่ะพูดไปเรื่อยๆพยายามตอบ 555
ขอบคุณค่ะ
แชร์ประการณ์+การเตรียมตัวสอบ IELTS academic
เราได้ overall 6.5
L 7.5
R 6
W 6
S 6
ถึงแม้คะแนนที่เราได้มาอาจจะไม่เยอะแต่เราบนไว้ว่าถ้าได้คะแนนตามที่หวังไว้จะมาเขียนรีวิว 5555
ยังไงเราก็ขอแบ่งประสบการณ์ในการสอบและการเตรียมตัวสอบไว้ให้ทุกคนให้ได้อ่านกันเผื่อเป็นประโยชน์กันนะคะ
ขอบอกก่อนว่าเราสอบมาสอบรอบรอบแรกคือวันที่ ๓ เดือนกันยายน ปีที่แล้วค่ะ
เพิ่มเติมอีกอย่างนึงคือเราเรียนโรงเรียนหลักสูตรอินเตอร์มาตอนมัธยมปลายค่ะแล้วตอนนี้เราอยู่มอหกค่ะ
ในการสอบรอบแรกเราได้ overall 6 ค่ะ
L 6.5
R 6
W 5
S 6
ก่อนอื่นเราขอแบ่งเป็นสองพาร์ทนะคะ
Part 1 - รีวิวตอนไปสอบ
Part 2 - การเตรียมตัว
เราสอบกับ British Council ทั้งสองรอบค่ะสาเหตุหลักที่เราเลือกที่นี่คือสถานที่ค่ะเนื่องจากสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้ สะดวกต่อเรามากๆค่ะ
ลงสถานีนานาแล้วมองตามป้ายที่เขียนว่าทางไปโรงแรม Landmark เลยค่ะเดินไม่กี่เมตรก็ถึงแล้ว
ตอนที่เราไปสอบรอบแรก 3/09/2016 ราคายังอยู่ที่ 6440 แต่พอรอบสอง 07/01/2017 ราคาไปอยู่ที่ 6685 ค่ะ ตอนแรกเราตั้งใจจะสอบรอบเดียวให้มันผ่านๆไปเลยแต่ดันไม่ผ่านเราเลยต้องกัดฟันจ่ายค่าสอบอีกรอบค่ะ
เราไปถึงโรงแรมLandmark ตอนประมาณตอนเจ็ดโมงกว่าๆค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมในวันสอบคือบัตรประชาชนและสำเนาบัตรประชาชนด้วยค่ะ เราจำได้ตอนสอบรอบแรกเราไม่ได้เอาสำเนาไปแต่โรงแรมมีบริการทำให้ค่ะถ้าใครลืมจริงๆจะมีอยู่ที่ชั้นสามค่ะแต่แนะนำให้เอาสำเนาไปด้วยเพราะใบนึงตั้งเจ็ดบาทค่ะถ้าให้โรงแรมทำถือว่าแพงมากๆ อุปกรณ์เครื่องเขียนไม่ต้องนำไปนะคะศูนย์สอบมีเตรียมเอาไว้ให้หมดค่ะ
พอถึงโรงแรมแล้วเราแนะนำให้เข้าห้องน้ำเป็นอันดับแรกเลยค่ะเพราะตอนฝากของและลงทะเบียนจะวุ่นวายและคนเยอะมากๆค่ะ อีกอย่างหนึ่งคือแนะนำเข้าห้องน้ำที่ชั้นสามค่ะเพราะคนน้อยกว่าชั้นอื่นค่ะจะไม่ต้องไปต่อแถว
หลังจากนั้นไปที่ชั้นเจ็ดเลยค่ะไปฝากของก่อนโดยจะเป็นห้องใหญ่ๆมี staff ดูแลค่ะห้องจะอยู่ขวามือของลิฟท์ค่ะเปิดลิฟท์มาไม่ต้องตกใจนะคะคนจะเยอะมากกกๆๆๆๆส่วนมากคนจะกรูกันมากกว่าค่ะไม่รู้อันไหนเป็นหัวหรือหางแถวเลย
อย่าลืมนะคะว่าห้ามเอาอะไรติดตัวเลยเอาแค่บัตรปชช. กับสำเนาพอค่ะ พกเสื้อหนาวไปก็ดีนะคะในห้องสอบค่อนข้างหนาวถ้าใครพกขวดน้ำไปก็ดึงฉลากออกด้วยนะคะ
หลังจากฝากของแล้วพี่สตาฟจะให้ใบฝากของมามีกาวติดอยู่ข้างหลังกระดาษแนะนำให้แปะไว้กับบัตรปชช.เลยค่ะกันหายกันหล่น จากนั้นเดินไปลงทะเบียนเลยค่ะแถวจะยาวมาๆๆมั่วกันไปหมดแนะนำให้ตั้งสติหาแถวให้ดีๆค่ะ ตอนเราไปสอบครั้งต่อแถวมั่วสรุปเดินไปเดินมาไม่ใช่แถวซะงั้นต้องไปต่ออีกรอบเซ็งมากค่ะเราเสียเวลากับต่อแถวทุกรอบเลยค่ะ55555
พี่staff เค้าจะเช็คว่าเรามีอะไรติดตัวก่อนไปลงทะเบียนนะคะอย่าลืมเอาทุกอย่างออกนะคะเดี๋ยวจะได้ไปต่อแถวกันอีกรอบ
โต๊ะที่สอบจะมีชื่อเราแปะไว้กับข้อมูลต่างๆรวมถึงวันและเวลาในการสอบ Listening ด้วยค่ะ
ระหว่างรอเวลาสอบให้เช็คหูฟังค่ะจะมีเสียงเพลงขึ้นมาให้เราฟังว่าหูฟังโอเคมั๊ยปรับความดังระดับความยาวของหูครอบได้ตามสะดวกเลยค่ะกว่าจะสอบก็ปาไปเก้าโมงค่ะรอรากงอกเลยทีเดียว555
ใครมีอะไรสงสัยในการสอบถามได้เลยนะคะเราจะพยายามตอบเท่าที่รู้นะคะ
สำหรับการเตรียมตัวนะคะเราขอสารภาพว่าเราเป็นคนขี้เกียจมากๆๆเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอนค่ะเราเลยขออ่านไม่เยอะแต่ความรู้ที่ได้มาต้องเยอะค่ะ 555555
และเราเป็นคนขี้ตื่นเต้นมากๆตอนสอบรอบแรกหูอื้อไปหมดฟังอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องค่ะพลาดมากๆเลยขอไปทำสติและสมาธิมาแก้ตัวรอบสองค่ะ
เราไม่ได้ซื้อหนังสือมาทำนะคะมันแพงมากๆค่ะเราใช้เว็บไซต์นี้แทน http://ieltsonlinetests.com/Catalogue ดีมากๆๆๆๆ มี Cambridge ครบทุกเล่มที่สำคัญคือมีตรวจให้ด้วยเราประหยัดตังค์ไปเยอะเลยค่ะแต่สำหรับตัวเราเองเราไม่ชอบอ่านReading ในหน้าจอค่ะเพราะเราติดเวลาเราอ่านเราชอบใช้ดินสอขีดตามตัวหนังสือที่เราอ่านค่ะเราว่ามันทำให้เราโฟกัสมากขึ้นเราเลยปริ้นท์เฉพาะบทความมาอ่านค่ะแล้วแยกกระดาษมาจดเป็นข้อๆดูคำถามในเว็บแล้วตอบเอาค่ะ
เราทำแค่นี้จริงๆค่ะ แนะนำให้ทำแค่นี้ด้วยตั้งแต่เล่ม 6 - 11 ค่ะพอทำหมดแล้วก็วนทำอีกรอบเพราะมันตรงกับข้อสอบมากๆๆๆๆ ความยากง่ายงี้เท่ากันเป๊ะๆเลย
เราขอบอกก่อนเลยว่าเราไม่ชอบพาร์ทนี้มากๆในทุกข้อสอบเพราะเราฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยอันนี้ถือว่าเป็นพาร์ทที่เราเกลียดที่สุดแต่เรากับได้มันเยอะมากที่สุดในทั้งสองรอบเราจะมาแชร์เคล็ดลับให้ทุกคนเองค่ะ 555
1. สมมติฟังถ้าเราเขาพูดไปเรื่อยๆแล้วไม่เข้าใจคำใดคำนึงในประโยคส่วนส่วนมากคนเราจะหยุดความคิดกับสติไว้คำๆนั้นแล้วคิดหาคำแปลหรือคิดว่าเมื่อกี้มันพูดว่าไรวะใช่มั๊ยคะ บางคนอาจไม่เป็นแต่เราเป็นค่ะ 5555 บางคนอาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นพอรู้ตัวอีกทีก็อ่าวข้ออะไรแล้ววะ เราแนะนำให้ฟังไปเรื่อยๆค่ะอย่ายึดติกับคำๆหนึ่งมากเกินไปให้ฟังประโยคโดยรวมค่ะว่าพูดถึงอะไร
2. บางข้อที่ให้เขียนชื่อ เบอร์ เลขบัตรอะไรก็แล้วแต่ที่ให้สะกดตามที่เขาพูด บางคนอาจผิดโง่ๆเล็กน้อยๆมากมันทำให้เสียดายมากๆ เราขอแนะนำสิ่งที่เราพึ่งมารู้ตอนทำมาเยอะมากๆนั้นก็คือเขียนตามที่เขาพูดเลยค่ะอย่ารอให้จบประโยคแล้วค่อยเขียนอย่างเช่น ถ้าเขาพูด 017 895 697 เขียนตามทันทีที่พูดตัวเลขนั้นๆจบค่ะ อย่างเขาพูด zero จบปุ๊บเขียน 0 ตามลงในกระดาษเลยค่ะ ชื่อคนอะไรอย่างนี้ก็ทำแบบนี้ด้วยนะคะแต่ระวังเวลาเขาออกเสียงที่คล้ายๆกันอย่าง a กับ r ด้วยนะคะ วิธีนี้โคตรได้ผลกับเรามากๆ
3. ในตอนที่เขาให้เวลามาอ่าน information คร่าวๆว่าถามอะไรบ้างให้ทำตามที่เข้าพูดเลยนะคะแบบเวลาสมมติเขาให้เวลา 40 วินาทีในการอ่านคำถามใน section 1 เราแนะนำให้อ่านคำถามแค่ section 1 เท่านั้นนะคะเพราะถ้าเราเอาเวลาที่เหลือไปอ่าน section อื่นมันจะสับสนมากๆค่ะและทำให้เราไม่โฟกัสกับ section นั้นๆเลย ส่วนวิธีที่อ่านคำถามให้มีประสิทธิภาพในเวลาอันสั้นๆคือดูว่าในส่วนรวมในข้อที่จะถามต้องการข้อมูลอะไรสมมติข้อที่ 1 -8 เป็นTopic เกี่ยวกับลูกค้าที่จะมาสมัครบัตรเคดิตแล้วข้อ 1 ถามชื่อ ข้อ 2 ถามวันเกิด ข้อ 3 ถามที่อยู่ ให้เราดูช่องว่างที่เราจะต้องตอบค่ะว่าต้องการคำตอบเป็นอะไรพอถึงเวลาที่เขาพูดแล้วได้ยินข้อมูลส่วนนั้นๆมาแล้วก็ตั้งใจฟังและตอบค่ะ บางทีเขาอาจจะไม่พูดคำๆนั้นออกมาเป๊ะๆ อาจพูดเป็น symnonym มาแทนอันนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับบางคำที่ศัพท์ค่อนข้างแปลยากให้ฟังประโยคโดยรวมค่ะอย่างที่บอกว่ายึดติดกับคำบางคำมากเกินไปอาจใช้คำที่เขาพูดก่อนนหน้านี้มาช่วยทำความเข้าใจก็ได้ค่ะ
4. ในส่วนที่เป็นข้อกาให้คิดซะว่าเขามาเล่าเรื่องให้เราฟังค่ะแต่อย่าลืมดูคำถามด้วยว่าเขาต้องการคำตอบอะไรแล้วกาค่ะส่วนมากเขาจะพูดไล่ๆตามข้อลงมาเลยนะคะจับจังหวะให้ดีๆ ระวังอย่ายึดติกับข้อที่หาคำตอบไม่ได้นะคะผ่านไปเลยค่ะเดี๋ยวจะทำไม่ทันเอา ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะทำข้ามข้อไปมาในข้อกาเลยค่ะเพราะเขาพูดตามลำดับมาให้เลย
5. บางส่วนที่อาจจะมี map มาให้แล้วให้ locate มาว่าสถานที่นั้นอยู่ตรงใน map เราแนะนำก่อนดื่นให้ดูสัญลักษณ์ทิศก่อนค่ะมีประโยชน์มากๆ แล้วพอเขาพูดให้ลากเส้นไปตามที่เขาพูดเลยนะคะสมมติพอเขาพูดว่า We’re now at the beginning of the main path to the farmland ลากดินสอไปหา main path เลยค่ะหลังจากนั้นก็ลากดินสอตามที่เขาพูดไปเรื่อยถ้าเขาบอกทิศทางมาก็เหลือบตามองสัญลักษณ์เข็มทิศแล้วลากเลยค่ะซ้ายขวาบนล่าง
เราแนะนำเวลาผึก Listening ให้ทำหลายๆ Test ติดๆกันเลยนะคะพอทำไปเรื่อยๆจะรู้จะเราอ่อนหรือแข็ง section ไหนเป็นพิเศษก็ฝึกแต่ section นั้นๆค่ะ
อีกอย่างคืดพอทำแล้วตรวจเสร็จแล้วแล้วรู้ว่าผิดข้อไหนอย่าข้ามนะคะกลับไปทวนค่ะว่าทำไมถึงผิดผิดเพราะอะไร
เห็นได้ว่าเราได้ 6 มาทั้งสองรอบเลยซึ่งเราแปลกใจมากๆเพราะคิดว่ารอบสองผึกมือไปอย่างดีนึกว่าจะได้เยอะกว่ารอบแรกแต่ที่ไหนเท่ากันซะนี่ อย่างไงก็ตามเราถือว่าเราไม่ค่อยเก่งพาร์ทนี้เราไม่ค่อยมีอะไรจะแนะนำมากค่ะ 55555แต่พยายามจะคัดข้อที่น่าจะมีประโยชน์บ้าง
1. อย่าลืมอ่าน topic ทุกครั้งที่อ่านค่ะจะได้รู้ว่าเนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร
2. อ่านไปทำไปค่ะ อย่าอ่านทีเดียวแล้วทำหมดมันลืมค่ะพอเจอคำถามก็ต้องนั่งอ่านไหมยิ่ง IELTS ชอบถามคำถาม detail อยู่ด้วยอันตรายมากค่ะ ปวดหัวค่ะเครียดด้วย อ่านไปทำไปนั่งไล่ไปทีละข้อๆดีกว่าค่ะ
3. ดูคำถามก่อนอ่านค่ะว่าถามอะไร สมมติถามเกี่ยวกับชื่อคนพอเราอ่านบทความก็วงชื่อคนไว้ค่ะ
4. ข้อแตกต่างระหว่าง False กับ not given คือ
False
ตรงข้ามจากที่บทความพูด ผิดจากที่บทความให้ข้อความมา อย่าเช่นในบทความเขียนว่าพีระมิดมีมานานตั้งแต่ 4000 ปีที่แล้ว แต่คำถามถามว่า พีระมิดมีมานานมากจนไม่สามารถระบุเวลาได้ อันนี้ False ค่ะเพราะเขาก็ระบุอยู่ในบทความว่า 4000 ปีที่แล้ว
Not given
บทความไม่ได้กล่าวถึงข้อความนั้นสักนิดเลยค่ะ อย่างเช่นบทความเขียนว่าไอโฟนเป็นวิวัฒนาการที่เจ๋งมากๆ แต่คำถามเขียนมาว่าไอโฟนทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการที่รวดเร็วอันนี้ Not given ค่ะ บทความไม่ได้กล่าวถึงความเร็วของวิวัฒนาการเลย
ขอบอกว่าพาร์ทนี้เราทึ่งมากๆที่ได้ 6 ในรอบสองหลังจากได้แค่ 5 ในรอบแรกเพราะเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรทั้งสิ้นในรอบสอง 555555
เราเฟลจากรอบแรกค่ะเพราะเราคิดว่าเราเตรียมตัวไปค่อนข้างดีมากมีฝึกเขียนบ้างอ่านศัพท์บ้างพอคะแนนนออกเท่านั้นแหละค่ะโคตรรู้สึกแย่พอรอบสองไม่ฝึกเยอะแล้วค่ะเพราะคิดว่าพาร์ทนี้คะแนนอัพยากที่สุดแล้วไม่อยากเสียตังเรียนด้วยค่ะเลยไม่อ่านเลย 55555 อาศัยความรู้และบุญเก่าเอา 55555
เราไม่ฝึกเขียนเลยค่ะในรอบสองเคยพยายามจะฝึกแล้วแต่ขี้เกียจมากๆค่ะเลยขอบายเราเลยใช้วิธีดู structure ของ IELTS essay เอาซึ่งจะประมาณนี้
เราคิดว่า writing ของ IELTS มันค่อนข้างแปลกนิดนึงในความรู้สึกเราที่ว่าต้องเขียนความเห็นทั้งสองด้านในด้านที่เรา disagree/agree หรือ เขียนว่าเราagree กับมันมากแค่ไหนแล้วทำไมถึง disagree
Part 2
Introduction
-paraphrase statement (เขียน statement ที่เขาให้มาด้วยstyle ของเราเองค่ะพยายามใช้คำที่สวยๆและหลากหลาย)
-answer question
-เราจะจบด้วย this essay will contain...../ The reason will list/ illustrate in this essay (แล้วแต่คนนะคะ)
**Body paragraph (จะแบ่งเป็นสองหรือสามแล้วแต่เราค่ะจะเป็นดังนี้นะคะ)
Body paragraph 1
- agree/disagree or +/- สมมติถ้าparagraphนี้เป็น agree อีก paragraph นึงต้องเป็น disagree นะคะ จะจัด format ยังไงก็ได้เอาอันไหนไว้บนไว้ล่างแล้วแต่สะดวกค่ะ
-supporting idea
-example/experience (***อันนี้สำคัญมากๆค่ะต้องเขียนให้ clear สมตติถ้าเราหา supporting idea ไม่คอนดีเท่าไหร่แต่ example or explanation ส่วนนี้ต้องชัดเจนเพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนของเราว่าเราคิดแบบนี้และเพราะแบบนี้ไงฉันเลยคิดแบบนี้ แบบเขียนให้มันมี logic)
Body paragraph 2
- เหมือน body paragraph 1 เลยค่ะแค่สลับกันถ้าข้างบนเขียน agree แล้วก็ใส่ on the other hand แล้ว disagre บลาๆๆ
Conclusion
- answer the question
-list the main reasons why you agree and disagree
Part1
พาร์ทนี้เราอ่อนมากๆเพราะเราดูข้อมูลตามที่ให้มาแล้วเขียน เราว่าที่สำคัญของพาร์ทนี้คือมองข้อมูลที่เขาให้มาให้ออกว่าให้อะไรมาบ้างแล้วส่วนสำคัญคืออะไร พาร์ทนี้เราปริ้นท์ตัวอย่างมาจากในอินเตอร์เน็ตหลายๆ format ค่ะ เพื่อมาอ่านดูเค้าเขียนมายังไงบ้างแค่นี้ค่ะขอไม่แนะนำอะไรมากค่ะ
บอกตรงๆว่าไม่ชอบพาร์ทนี้ค่ะเพราะปกติเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องมากๆๆพยายามแนะนำเท่าที่เป็นได้ค่ะ
เราแนะนำให้ดูคลิปในyoutube speaking test IELTS เอาค่ะ บาง topic อาจจะไม่คุ้นเลยดูไปเยอะๆเอาเป็นideaเอาค่ะ
พูดชัดๆดังๆนะคะเพราะเขาอัดเสียงไป
ถ้าข้อไหนคิดไม่ออกจริงๆพูดไปเลยค่ะอย่าบอกว่าขอเปลี่ยนคำถาม
พยายามเท่าที่จะพูดได้ค่ะอย่าเงียบไปเลยมันจะเสียคะแนนเราก็ใช้วิธีนี้ค่ะพูดไปเรื่อยๆพยายามตอบ 555
ขอบคุณค่ะ