ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนรีวิวเรื่องการสอบ DIFA TES เพราะว่าก่อนที่เราจะทำการสอบหารีวิวไม่เจอเลย
แล้วแนวข้อสอบก็น้อยมาก (ที่มีในเวปไซต์ครบถ้วนตามข้อสอบแต่น้อยมาก อยากได้แนวข้อสอบพร้อมเฉลยๆ เยอะๆ เพื่อซ้อม)
ลองถามคนที่เคยสอบมาแล้ว 1 คน ก็พบว่าแหล่งหาแนวข้อสอบก็มีเฉพาะในเวปไซต์ของ DIFA TES เอง
ไปดูคร่าวๆ แล้วก็คิดว่าเหมือน IELTS แน่นอน เพราะส่วนตัวสอบ IELTS มาทั้งชีวิตเกือบ 10 รอบ (ถ้าจำไม่ผิด)
ส่วนตัวไม่ใช่คนที่มีพื้นฐานภาษาดี และไม่ได้เก่งอยู่แล้วหรือได้คะแนนเยอะมาก่อน
แต่เป็นคนที่ดันทุรังสอบซ้ำสอบซาก เลยได้ข้อสรุปว่า
การทำข้อสอบเก่าเยอะๆ และซ้อมเสมือนสอบจริงคือทางออกที่เร็วและทำให้ไม่ Panic ตอนสอบดีที่สุด
เนื่องจากข้อสอบออกแบบมาให้ต้องวางแผนในการทำเป็นอย่างดี เพราะถ้าไม่วางแผน ทำไม่ทันแน่นอน
โดยข้อสอบ DIFA TES เหมือน IELTS แต่ยากกว่าใน Part Listening
การสอบแรกเริ่มต้นที่การสอบ Reading ซึ่งปกติ IELTS จะสอบ Listening ก่อน
ก็คิดว่าทำไมไม่สอบ Listening ก่อน เพราะมันเป็นตัวทำคะแนน
ปกติตัวเองจะทำข้อสอบ Reading ไม่เคยทัน และเดาเยอะเหมือนกัน เลยมั่นใจกับ Listening มากกว่า
แต่พอเจอข้อสอบ Listening แล้วพบว่าดีแล้วที่ให้สอบ Reading ก่อน
เพราะถ้าเจอ Listening ก่อน ก็จะ Freaking out และไม่มีสติทำข้อสอบ Reading แน่นอน
และก็เป็นครั้งแรกที่ทำ Listening ไม่ทัน คือเดาก็ไม่ทันเวลาไม่พอ
ทั้งๆ ที่เขาให้ฟังตั้ง 2 รอบ IELTS ให้ฟังรอบเดียวเอง
ถึงจะเคยสอบภาษามาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ประมาทเลย
เพราะถ้าสอบไม่ผ่าน DIFA TES ต้องรออีก 6 เดือนถึงจะสมัครใหม่ได้
และมันก็ไม่สนุกที่จะมาสมัครสอบใหม่ เพราะอยู่ต่างจังหวัด
ไม่ได้เสียเงินแค่ค่าสอบแต่เป็นค่าตั๋วเครื่องบินด้วย รวมๆ อาจจะได้ค่าสอบ IELTS ที่แพง แต่มีศูนย์สอบต่างจังหวัด
เริ่มต้นรีวิวที่ Reading มีเวลา 90 นาที กับ 5 บทความ
ใน Part Reading ที่เรามักได้คะแนนไม่ค่อยดีเท่าไรจาก IELTS
โดยส่วนตัวคิดว่ามาจากสมาธิ เลยอ่านข้อความไม่ถี่ถ้วนแล้วรีบตอบ
โดยเฉพาะข้อสอบประเภท True/False ที่จะออกแบบมาหลอกอยู่แล้ว
โชคดีที่ DIFA TES ไม่มี Not Given เพราะ Not Given จะยากสุด
คำแนะนำตรงตัวในการสอบคือไม่มีทางลัด เหมือนความรวยที่ไม่มีทางลัด (ขอโยงนิดกำลังอยู่ในยุค the iCon multiverse)
การทำคะแนนได้มากมีเพียงทางเลือกเดียวคืออ่านเยอะๆ และทำข้อสอบเยอะๆ เท่านั้น
แต่จะแนะนำหนังสือเล่มนี้ที่อ่านมาใช้สอบครั้งนี้ ที่รู้สึกว่าเล่มนี้ดีจริงๆ ตามคำเคลม
https://s.lazada.co.th/s.rWIqE ขอแปะลิ้งค์เผื่อได้ค่าขนมนิดหน่อย อิอิ
แนวข้อสอบก็ตาม DIFA TES Sample เลย
คือมีแบบ multiple choice/short answers/ matching/true/false with justification/sequencing
ซึ่งในหนังสือจะมีแบบฝึกหัดให้ทำแยกละเอียดในหลากหลายรูปแบบของคำถาม
ทำให้เรามองภาพของข้อสอบได้ง่ายขึ้น และเข้าใจจุดประสงค์ของการ Test ในหมวดหมู่นั้นๆ
การสอบของเราเจอ Sequencing เป็น Passage แรก
ซึ่งอันนี้ง่าย แต่ต้องระวังเพราะมีประโยคหลอกที่มีเนื้อหาเหมือนจะอยู่ใน Sequence
แต่จริงๆ ไม่เกี่ยวกับการเรียงลำดับเหตุการณ์ในเรื่องนั้นเป็นแค่เนื้อหาประกอบ
ซึ่งถ้าเว้น Passage ง่ายไปทำยากก่อน อาจจะกลับมาทำช่วงสุดท้ายแล้วทำให้เสียคะแนนช่วงที่ง่ายที่สุดไป
แม้จะไม่ใช่คนที่ทำได้คะแนนเต็มแล้วมาแนะนำ
แต่นี่คือคำแนะนำของคนธรรมดา ที่มีพื้นฐานภาษาเหมือนคนทั่วไป
หรืออาจจะด้อยกว่าคนที่อยู่ในแวดวงของการออกไปอบรมหรือเรียนต่างประเทศบ่อยๆ
Passage ที่เจออีกอันก็คือ matching ตามตัวอย่างของ DIFA TES เลย
อันนี้ต้องใช้ Grammar ช่วยได้เยอะ และเราที่พื้นฐานแกรมม่ากระท่อนกระแท่น
แม้จะผ่านการไปต่างประเทศมาหลายประเทศแล้วก็ตาม ก็จะทำให้เสียคะแนนตรงนี้ได้
ซึ่งเราทำโดยใช้ความเข้าใจเอา ว่าเนื้อหาต่อไปควรกล่าวเกี่ยวกับอะไร
ซึ่งบทความที่เจอถ้าจำไม่ผิดจะเป็นบทความของรถ EV Cars ที่เป็น non-driver
ข้อเสียของคนที่สื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วระดับหนึ่งแล้ว
แล้วมีพื้นฐานแกรมม่าไม่ดี คือเราจะไม่สนใจแกรมม่าเพราะเรารู้สึกว่าไม่จำเป็น
เพราะเราสื่อสารได้ และในการเรียนปัจจุบัน AI ก็ช่วยได้เยอะ ไม่จำเป็นต้องสนใจมาก
แค่เอามาใช้ได้จริงก็พอ แต่ปัญหาจะอยู่ตรงที่เมื่อเราจะมาสอบ
การไม่แม่นแกรมม่าและเจอบทความที่เรามีคำศัพท์ที่ไม่เข้าใจเยอะ จากโครงสร้างคำถามหรือรูปประโยค
จะทำให้เราสามารถเดาคำตอบที่มีความน่าจะเป็นที่จะถูกได้มากที่สุดจากโครงสร้างของ Tense นั้นๆ
ซึ่งเราจะเสียคะแนนตรงนี้ไป
คำแนะนำสำหรับน้องๆ ที่จะละเลยแกรมม่าเหมือนเราคือ
ศึกษาให้แม่นยำไปเลย จะได้ไม่ต้องมานั่งเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผิดแล้วผิดเล่าแบบนี้จ๊ะ
แต่ถ้าไม่เอาไปใช้สอบหรือไปเป็นนักการทูต ก็อาจจะไม่ต้องไปกังวลมาก
แต่ยังไงก็สนับสนุนให้ไม่เดาและแม่นยำในทุกๆ อย่างที่ทำ
เพื่อการพัฒนาแค่รอบเดียวและยั่งยืนนะ (เชื่อพี่ พี่ suffer มาก่อน 555)
อีก Passage ที่จำได้คือ True/False and Justifications
อันนี้ที่จำได้ เพราะใน IELTS ไม่มี ปกติมีแค่ True/False/Not Given หรือ Yes/No/Not Given
แต่ส่วนตัวจะชอบของ DIFA TES มากกว่า ที่ให้ตอบ True/False กับ Justified ว่าทำไมตอบแบบนั้น
โดยเขียน 4 คำแรกของประโยคที่ระบุว่าเราตอบ True/False เพราะข้อความในประโยคใด
มาถึงข้อสอบ Listening ที่เรามีความมั่นใจมากกว่า Reading เยอะมาก
เพราะ Listening คือคะแนนที่ช่วยให้คะแนนส่วนอื่นมีคะแนนเยอะขึ้นจากการสอบ IELTS
ซึ่งข้อสอบ IELTS ล่าสุดเราได้คะแนน Part Listening 7.5
เมื่อเจอข้อสอบ DIFA TES เข้าไปก็ลงมาเลยจ๊ะ จาก B2 เหลือ B1+
ขอบอกตามตรงว่าช็อคและโกรธมาก โกรธที่ข้อสอบยากเกินไป 555+
เพราะคิดว่าข้อสอบไม่น่าจะยากกว่า IELTS
การมีสมาธิและสติในห้องสอบนี่อาจจะสำคัญพอๆ กับความรู้ที่เตรียมไป
หรืออาจจะมีความสำคัญมากกว่าเลย เพราะเมื่อเรา Panic แล้ว
เราจะฟัง Listening บทอื่นไม่รู้เรื่องเลย มันจะล่องลอยไป
และในขณะที่ DIFA TES ใจดีให้ฟังถึง 2 รอบ ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบ และ Part ที่ยากมากสำหรับเราคือ Part ที่ 3
ปกติแล้ว การทำข้อสอบ Listening คือเขาจะให้เวลาในการดูข้อสอบ
ดูโจทย์ก่อนหนึ่งนาที แล้วค่อยฟัง
ในขณะนั้นเราจะต้องกวาดสายตาและขีดเส้นใต้ว่าแต่ละข้อต้องการคำตอบอะไร
เพื่อที่จะมีสมาธิโฟกัสถึงคำตอบนั้น ไม่ใช่ฟังแบบล่องลอย
โดยปกติแล้วก็จะดูไม่ทันหมดทุกข้อหรอก แล้วมาข้อสอบพาร์ทนี้คือ คำถามก็ยาวและเข้าใจยาก
แล้วคำตอบที่จะมาตอบเป็นแบบ Matching ก็ยังยาวและคล้ายๆ กันไปหมด
คือสามารถเข้าได้กับคำถามหลายๆ ข้อ
บทความที่เจอในรอบนี้คือบทความเกี่ยวกับ Trend ของคนรุ่นใหม่ใน Europe
ที่ไม่นิยมแยกบ้านจากพ่อแม่ แต่มีแนวโน้มที่จะกลับมาอยู่บ้านหลังจากเรียนมหาลัยจบมากขึ้น
และบทสนทนาเป็นไปในลักษณะที่พิธีกรถามคำถามต่างๆ จากหลากหลาย specialists
ที่สำเนียงฟังยาก พูดเร็ว และเนื้อหาก็ยาก แล้วมีหลายคนมาก
การฟังในพาร์ทนี้เลยสรุปได้ว่า ต้องเป็นการฟังแบบวิเคราะห์จับใจความและเข้าใจเนื้อหาการสนทนาจริงๆ
ไม่ใช่การฟังที่ไม่ซับซ้อนและได้คำตอบ คำตอบของคำถามพาร์ทนี้จะเป็นไปในแนวที่สรุปแบบ Academic
ซึ่งฟังไป 2 รอบ ก็ยังไม่ได้คำตอบในทุกข้อ และสับสนคำตอบเพราะเหมือนตอบได้หลายข้อ
หรืออาจจะเพราะ Panic ไปกับความยากของรอบแรกไปแล้ว
เลยเว้นไว้เดาตอนท้ายที่ได้ย้ายคำตอบลงกระดาษคำตอบ
ซึ่งคนคุมสอบแจ้งไว้แล้วว่าให้ตอบในกระดาษคำตอบเลย เราจะย้ายมาไม่ทันในเวลา 3 นาทีตอนท้าย
เราที่ย้ายคำตอบมาเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่การฟังรอบ 2 ในทุกพาร์ท ยกเว้นพาร์ทนี้
ก็กะว่าเอา 3 นาทีมาเดาคำตอบ แล้วก็ยังเดาไม่ได้ กรี๊ดดดดดดด
จนเค้าบอกว่าหมดเวลาแล้วก็ยังมีข้อที่ไม่ได้ตอบ
ช็อคมากกก ช็อคและโมโหที่ตัวเองทำไม่ทันและเดาก็ไม่ทัน
ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะปกติจะเว้นเวลาไว้เดาทันตลอด
เลยเขียนไปในข้อแนะนำแล้วว่า อยากให้มีการเตือนหมดเวลาก่อน 1 นาทีด้วย
เพราะเราไม่รู้แล้วว่าตอนนั้น 3 นาทีว่ามันนานแค่ไหน
แล้วตอนสอบ Reading จะมีนาฬิกานับถอยหลังให้เราดู
และประเมินความเร็วของการทำข้อสอบของเราในแต่ละพาร์ทได้
แต่ Listening ไม่มี
เราออกมาจากห้องสอบด้วยความหงุดหงิดมาก เพราะตั้งใจมาก
และทบทวน ทำข้อสอบเก่ามาพอสมควร (ใช้ข้อสอบ IELTS ในการซ้อมทำ)
แต่ดันมาผิดคาดตรงนี้ และก็ตั้งเป้าไว้ว่าอยากได้ B2 แต่ก็ไม่ได้จริงๆ จากทักษะการฟัง
ต่อในคอมเม้นนะ ตัวอักษรไม่พอ
[CR] รีวิวการสอบภาษากับสถาบันการต่างประเทศเทวะวงศ์วโรปการ DIFA TES (2567)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้