เรื่องมีอยู่ว่า นาย ก และนาย ข ซื้อที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ โดยออกเงินคนละครึ่ง โดยใช้ชื่อ นาง ง. เป็นผู้ซื้อและ นาง ง ไม่เข้าทำประโยชน์ โดยตลอดเวลา 15-16 ปีที่ผ่านมา นาย ก ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ ต่อมาที่กรมดินได้ดำเนินการออกรังวัดออกโฉนด นาย ข จึงแจ้งให้นาย ก ทราบและมายื่นเอกสารออกโฉนด โดยที่ดินแบ่งเป็น 2 แปลง ถือกรรมสิทธิ์ คนละแปลง ทีแรกตกลงกันไม่ได้ เพราะนาย ก ไม่ยอม แต่สุดท้ายนาย ก ยอมรับและเซนต์รับรองพื้นที่ข้างเคียง เจ้า หน้าที่จริงออกสำรวจและทำการออกโฉนดที่ดิน ต่อมาอีก 4 เดือน นายก ไปคัดค้านการออกโฉนดที่สำนักงานที่ดิน โดยแจ้งว่าภายใน 15 วัน จะนำบันทึก การตกลง ของนาย ข ที่จะยินยอมสละสิทธิให้นาย กแต่เมื่อพ้นกำหนด นาย ก ก็มิได้มีบันทึกใดๆถึง สนง.ที่ดิน สำนักงานที่ดินจึงดำเนินการออกโฉนด และทำการประกาศแจก โฉนดที่ดินและให้คัดค้านภายใน 30 วัน นาย ก ก็มิได้คัดค้าน อีกทั้งยังรับโฉนดไปก่อน นาย ข ภายหลังได้ฟ้องต่อศาลว่า นาย ข เป็นเพียงตัวเเทนของนาย ก (อ้างว่านาย ก เป็น ตัวการ ให้นาย ข เป็นตัวแทนดูแลสวน) นาย ข จึงไม่มีสิทธิ ที่จะมีกรรมสิทธิบนที่ดิน นาย ก อ้างว่า การออกโฉนดดังกล่าว นาย ก ไม่รู้เรื่องใดๆ มารู้อีกทีคือตอนที่ออกโฉนด แล้ว ทำให้คัดค้านไม่ทัน จึงฟ้องให้นาย ข คืนที่ดินให้ โดยอ้างว่าตนเอง เป็นผู้ทำประโยชน์ ครอบครองมาโดยตลอด ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง เพราะนาย ก มายื่ยเอกสารและเซนต์รับรองพื้นที่ข้างเคียงตั้งแต่วันแรกที่เจ้าหน้าที่ออกเดินสำรวจ
คำถาม กรณีเช่นนี้ นาย ข มีสิทธิชนะคดีหรือไม่เพราะนาย ข เป็นผู้ลงทุน ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งขอ ใช้น้ำประปาหมู่บ้าน น้ำพลังไฟฟ้า สัญญาซื้อขายผลผลิต ค่าปุ๋ย ค่าอุปกรณ์ โดยเป็นชื่อของนาย ข ทั้งสิ้น อีกทั้ง ยังมีพยานบุคคล ที่รับรองได้ว่า นาย ข เป็นผู้ทำผู้ลงทุน
ที่ดินมือเปล่า
คำถาม กรณีเช่นนี้ นาย ข มีสิทธิชนะคดีหรือไม่เพราะนาย ข เป็นผู้ลงทุน ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ทั้งขอ ใช้น้ำประปาหมู่บ้าน น้ำพลังไฟฟ้า สัญญาซื้อขายผลผลิต ค่าปุ๋ย ค่าอุปกรณ์ โดยเป็นชื่อของนาย ข ทั้งสิ้น อีกทั้ง ยังมีพยานบุคคล ที่รับรองได้ว่า นาย ข เป็นผู้ทำผู้ลงทุน