สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
เอาง่ายๆ ครับ หลักฐานใหม่ ที่ใช้ในการยื่นของรื้อคดี คือ มีตัว นายสับ มารับว่าเป็นคนขับรถยนต์ชน นายเหลือ ตาย
โดยอ้างว่า ใช้รถคันทะเบียน บค 56 มุกดาหาร
ภาษาชาวบ้านเท่ากับเป็นการรับผิดแทนครู ที่คนเชื่อกันเพราะคิดว่า นายสับ ไม่ผิดจริงจะหาเรื่องติดคุกทำไม
เหตุผลนี้คือเหตุผลที่ศาล รับให้มีการไต่สวนรื้อคดี ศาลชั้นต้นไม่รับ แต่ศาลอุทธรธ์ให้ไต่สวนว่าจะรื้อคดีหรือไม่
นายสับ พร้อมกับ ครู ก็ไปออกรายการด้วยกันตลอด พูดกันเป็นเรื่องเป็นราว เล่าเป็นฉากๆ
แต่ปรากฎว่า นายสับ นั้นมีพิรุธมากมาย ที่จับได้ด้วยพยานเอกสาร พยานบุคคล
อย่างแรก นายสับ ไปแจ้งต่อตำรวจไว้ 2 ที่ ลงเป็นเอกสารไว้เรียบร้อย ลงชื่อตัวเอง ครั้งแรกไปในฐานะพยานเจ้าของรถ อ้างว่าเป็นคนให้
รถยนต์กับ นายเสริฐ ยืม แล้ว นายเสริฐ ขับไปชนคนตาย โดยครั้งนี้ นายเสริฐ รับว่าเป็นคนขับ
ปรากฎว่าตำรวจซักถาม นายเสริฐ ขับรถไม่ได้ ไม่มีใบขับขี่
ปีต่อมา ในอีกโรงพัก นายสับ ก็ไปแจ้งตำรวจว่าตัวเองเป็นคนขับรถชน นายเหลือ ตายเอง โดยคนที่ไปด้วยกันก็เป็นขบวนการเดิม ทั้งครูอ๋อง
นางทัศนีย์ มีหลักฐานชัดเจนเป็นพยานเอกสาร และเจ้าหน้าที่ รวมทั้ง นายเสริฐ ที่เบิกความในศาลไปแล้ว
ส่วนเรื่องรถนั้น นายสับ ออกรายการโทรทัศน์ ให้สัมภาษณ์หลายครั้ง ว่ารถที่ชนคือรถคัน บค 56 มุกดาหาร
ซึ่งเป็นรถเก่าของตัวเอง ไม่ได้ต่อทะเบียน พอชนแล้วก็เอาไปซ่อนในป่าอ้อย แล้วเอาไปขายคนรับซื้อของเก่า
แต่ปรากฎว่า รถคันดังกล่าว มีการต่อทะเบียน ปรากฎหลักฐานที่ สำนักงานขนส่ง ทั้งในปี 2548,2549,2550 ซึ่งขัดแย้งกับคำพูดของ
นายสับ อย่างมาก โดยในปี 2548 ก็มีการต่อทะเบียนตั้งแต่เดือน ก.พ. แล้ว นายสับ โกหกหรือไม่รู้ได้ไงว่ารถมีการต่อทะเบียน
ที่สำคัญมีหลักฐานชัดเจน ที่ บ.ประกัน ซึ่งมีการซื้อ พ.ร.บ. เพื่อต่อทะเบียนว่า คนที่ไปต่อทะเบียนที่ขนส่ง คือ
นายอุบล ซึ่งให้การว่า ตนเองนั้นซื้อรถคัน บค 56 มุกดาหาร มาจากพี่เขย นายสับ ตั้งแต่ปี 2547 และต่อทะเบียนด้วยตัวเองมาตลอด
ย่อมแสดงว่า นายสับ โกหกว่ารถอยู่ที่ตัวเองในตอนเกิดเหตุ โดยยังสามารถสอบปากคำพยานทั้ง คนขายรถให้ นายอุบล ซึ่งเป็นพี่เขย นายสับ
เมีย นายสับ เอง ลูก นายสับ ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้าน พ่อค้ารับซื้อรถต่อจาก นายอุบล ฯลฯ
แค่พยานหลักฐาน 2 อย่างนี้ ก็ยืนยันอย่างชัดเจน ว่า นายสับ โกหก และพูดเท็จมาโดยตลอด นั่นรวมถึงขบวนการครู ที่อ้างว่าไปเลี้ยงเหล้า
นายสับ จนรับว่าเป็นคนชน รวมทั้งพา นายสับ ไปลงบันทึกที่โรงพักด้วย
นอกจากนั้น นายสับ นั้นจนมาก ก่อนจะไปรับว่าเป็นคนชนและจ่ายค่าเสียหายให้ลูกคนตาย ยังไม่มีเงินประกันตัวตอนถูกจับคดีไม้ด้วยซ้ำ
บ้านเป็นกระท่อมเพิงหมาแหงน แล้วเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ญาติคนตายที่ศาลเพ่ง
ส่วนครู จะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นกับ นายสับ นั้นไม่ได้ เพราะครูออกรายการพูดสอดรับกับ นายสับ ตลอด ยืนยันความน่าเชื่อถือตลอด
ที่สำคัญ ญาติคนตายฟ้องครูเรียกค่าเสียหายทางเพ่ง ถ้าครูไม่รู้ไม่เห็น แล้ว นายสับ ไปแสดงตัวเป็นคนขับแทนครูที่ศาลเพ่งได้อย่างไร
เอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ญาติคนตาย
ด้วยหลักฐานเหล่านี้ เป็นหลักฐานมัดตัว ที่ทำให้ฝั่งครู และกระทรวง ยธ ไม่กล้าเอา นายสับ ไปขึ้นศาล เพราะพยานหลักฐานมัดตัว
จนดิ้นไม่หลุด ไร้ทางสู้ ว่า นายสับ เป็นตัวปลอม และให้การเท็จ หากขึ้นศาลก็เจ๊งกันทั้งกระบวนการ
เหตุผลหล่อๆ ว่าถ้าขึ้นศาลจะยืดเยื้อ จะสับสน อะไรนั่น คือการแก้ตัว แล้วใช้กระแสสังคม และสื่อก็แค่นั้น
เรื่องจริงกระทรวงพลาดแบบไม่น่าให้อภัย ตอนนี้คือการแก้ผ้าเอาหน้ารอด
โดยอ้างว่า ใช้รถคันทะเบียน บค 56 มุกดาหาร
ภาษาชาวบ้านเท่ากับเป็นการรับผิดแทนครู ที่คนเชื่อกันเพราะคิดว่า นายสับ ไม่ผิดจริงจะหาเรื่องติดคุกทำไม
เหตุผลนี้คือเหตุผลที่ศาล รับให้มีการไต่สวนรื้อคดี ศาลชั้นต้นไม่รับ แต่ศาลอุทธรธ์ให้ไต่สวนว่าจะรื้อคดีหรือไม่
นายสับ พร้อมกับ ครู ก็ไปออกรายการด้วยกันตลอด พูดกันเป็นเรื่องเป็นราว เล่าเป็นฉากๆ
แต่ปรากฎว่า นายสับ นั้นมีพิรุธมากมาย ที่จับได้ด้วยพยานเอกสาร พยานบุคคล
อย่างแรก นายสับ ไปแจ้งต่อตำรวจไว้ 2 ที่ ลงเป็นเอกสารไว้เรียบร้อย ลงชื่อตัวเอง ครั้งแรกไปในฐานะพยานเจ้าของรถ อ้างว่าเป็นคนให้
รถยนต์กับ นายเสริฐ ยืม แล้ว นายเสริฐ ขับไปชนคนตาย โดยครั้งนี้ นายเสริฐ รับว่าเป็นคนขับ
ปรากฎว่าตำรวจซักถาม นายเสริฐ ขับรถไม่ได้ ไม่มีใบขับขี่
ปีต่อมา ในอีกโรงพัก นายสับ ก็ไปแจ้งตำรวจว่าตัวเองเป็นคนขับรถชน นายเหลือ ตายเอง โดยคนที่ไปด้วยกันก็เป็นขบวนการเดิม ทั้งครูอ๋อง
นางทัศนีย์ มีหลักฐานชัดเจนเป็นพยานเอกสาร และเจ้าหน้าที่ รวมทั้ง นายเสริฐ ที่เบิกความในศาลไปแล้ว
ส่วนเรื่องรถนั้น นายสับ ออกรายการโทรทัศน์ ให้สัมภาษณ์หลายครั้ง ว่ารถที่ชนคือรถคัน บค 56 มุกดาหาร
ซึ่งเป็นรถเก่าของตัวเอง ไม่ได้ต่อทะเบียน พอชนแล้วก็เอาไปซ่อนในป่าอ้อย แล้วเอาไปขายคนรับซื้อของเก่า
แต่ปรากฎว่า รถคันดังกล่าว มีการต่อทะเบียน ปรากฎหลักฐานที่ สำนักงานขนส่ง ทั้งในปี 2548,2549,2550 ซึ่งขัดแย้งกับคำพูดของ
นายสับ อย่างมาก โดยในปี 2548 ก็มีการต่อทะเบียนตั้งแต่เดือน ก.พ. แล้ว นายสับ โกหกหรือไม่รู้ได้ไงว่ารถมีการต่อทะเบียน
ที่สำคัญมีหลักฐานชัดเจน ที่ บ.ประกัน ซึ่งมีการซื้อ พ.ร.บ. เพื่อต่อทะเบียนว่า คนที่ไปต่อทะเบียนที่ขนส่ง คือ
นายอุบล ซึ่งให้การว่า ตนเองนั้นซื้อรถคัน บค 56 มุกดาหาร มาจากพี่เขย นายสับ ตั้งแต่ปี 2547 และต่อทะเบียนด้วยตัวเองมาตลอด
ย่อมแสดงว่า นายสับ โกหกว่ารถอยู่ที่ตัวเองในตอนเกิดเหตุ โดยยังสามารถสอบปากคำพยานทั้ง คนขายรถให้ นายอุบล ซึ่งเป็นพี่เขย นายสับ
เมีย นายสับ เอง ลูก นายสับ ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้าน พ่อค้ารับซื้อรถต่อจาก นายอุบล ฯลฯ
แค่พยานหลักฐาน 2 อย่างนี้ ก็ยืนยันอย่างชัดเจน ว่า นายสับ โกหก และพูดเท็จมาโดยตลอด นั่นรวมถึงขบวนการครู ที่อ้างว่าไปเลี้ยงเหล้า
นายสับ จนรับว่าเป็นคนชน รวมทั้งพา นายสับ ไปลงบันทึกที่โรงพักด้วย
นอกจากนั้น นายสับ นั้นจนมาก ก่อนจะไปรับว่าเป็นคนชนและจ่ายค่าเสียหายให้ลูกคนตาย ยังไม่มีเงินประกันตัวตอนถูกจับคดีไม้ด้วยซ้ำ
บ้านเป็นกระท่อมเพิงหมาแหงน แล้วเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ญาติคนตายที่ศาลเพ่ง
ส่วนครู จะบอกว่าไม่รู้ไม่เห็นกับ นายสับ นั้นไม่ได้ เพราะครูออกรายการพูดสอดรับกับ นายสับ ตลอด ยืนยันความน่าเชื่อถือตลอด
ที่สำคัญ ญาติคนตายฟ้องครูเรียกค่าเสียหายทางเพ่ง ถ้าครูไม่รู้ไม่เห็น แล้ว นายสับ ไปแสดงตัวเป็นคนขับแทนครูที่ศาลเพ่งได้อย่างไร
เอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ญาติคนตาย
ด้วยหลักฐานเหล่านี้ เป็นหลักฐานมัดตัว ที่ทำให้ฝั่งครู และกระทรวง ยธ ไม่กล้าเอา นายสับ ไปขึ้นศาล เพราะพยานหลักฐานมัดตัว
จนดิ้นไม่หลุด ไร้ทางสู้ ว่า นายสับ เป็นตัวปลอม และให้การเท็จ หากขึ้นศาลก็เจ๊งกันทั้งกระบวนการ
เหตุผลหล่อๆ ว่าถ้าขึ้นศาลจะยืดเยื้อ จะสับสน อะไรนั่น คือการแก้ตัว แล้วใช้กระแสสังคม และสื่อก็แค่นั้น
เรื่องจริงกระทรวงพลาดแบบไม่น่าให้อภัย ตอนนี้คือการแก้ผ้าเอาหน้ารอด
ความคิดเห็นที่ 14
การกลับลำมาใช้ รถคัน บค 56 สกลนคร อ้างว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่และพยานหลักฐานสำคัญ
บอกได้เลยคือการหาทางออก ของ กระทรวง เนื่องจากรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอก เพลี่ยงพล้ำแน่ๆ ในประเด็น นายสับ
เพราะ รถยนต์คัน บค 56 สกลนคร นั้น เคยมีการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ ร่องรอยการชนไปแล้ว ตั้งแต่หลังเกิดเหตุ
โดยกองพิสูจน์หลักฐาน และได้ถูกนำไปใช้ในการพิจารณาคดีของศาล ทั้ง 3 ศาล มีการต่อสู้คดี ซักค้าน โดย 2 ฝั่ง
พยานผู้ตรวจก็ต้องไปขึ้นศาล ตอบคำถามของฝั่งจำเลย ชี้แจงให้ศาลทราบ ว่าตรวจยังไง ด้วยเครื่องมืออะไร ผลเป็นไง เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
คืออะไร
ที่สำคัญร่องรอยนั้นเป็นร่องรอยหลังเกิดเหตุในเวลาแทบจะทันที ร่องรองหลักฐานต่างๆ ย่อมมีความชัดเจน ยากต่อการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ทั้งโดยคน และสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาของตัวรถ
พยานหลักฐานนี้ จึงเป็นพยานหลักฐานเก่า มิใช่หลักฐานใหม่ที่จะใช้รื้อคดี
ในการยื่นขอรื้อคดีต่อศาลครั้งแรก ทางฝั่งครูยื่น นายสับ และพยานอื่นเป็นพยานสำคัญ แต่พยานไม่มาศาล ศาลจึงให้เลื่อนมาเป็นวันที่
8-10 ก.พ. ที่ผ่านมา
แต่กระทรวง กลับลำเอา รถมาเป็นพยานสำคัญ ทั้งที่ไม่ได้เป็นพยานใหม่ แถมยังเอาไปจอดกดดังศาลที่หน้าศาล แล้วเอาสื่อไปถ่าย
ใช้กระแสสังคมในการสู้คดี
การอ้างว่าตรวจแล้วรถไม่มีรอยชน โดยหน่วยเอกชน 3 ฝ่าย ทำให้กองเชียร์ หรือคนที่เชียร์ครูตามกระแส เกลียดตำรวจ
คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย
ทั้งๆ ที่ทุกคน ไม่เคยได้ยิน ได้เห็นการตรวจ เอกชนทั้ง 3 ฝ่าย ไม่เคยออกมาบอกว่ารถมีรอยชนหรือไม่ ไม่เคยนำเอกสารมาแสดง
ปรากฎว่า เมื่อถึงเวลาเบิกความในศาล บ.โตโยต้า บอกว่า ยืนยันไม่ได้ว่ารถเคยชนหรือไม่
ขนส่ง ก็บอกได้แค่ป้ายเป็นป้ายที่ขนส่งออกให้ เลขอะไร แค่นั้น ขนส่ง ไม่ได้ตรวจเรื่องร่องรอยการชนที่ป้าย และคงตรวจไม่ได้ด้วย
เพราะหน้าที่นี้เป็นของพิสูจน์หลักฐาน รถขนส่งชน ก็ยังต้องส่งไปตรวจด้วยซ้ำ
อาจารย์ของมหาลัย ก็ไม่ได้ยืนยันอะไรเลยว่ารถไม่มีรอยชน
ทั้งหมดเป็นการตรวจหลังเกิดเหตุ 12 ปี รถมีการใช้ตลอด ป้ายทะเบียนจะมีการแจ้งหายทำใหม่ก็ได้ สภาพรถอาจเปลี่ยนแปลงได้จาก
สภาพแวดล้อม ฝุ่น ฝน แดด สนิม ความเสื่อมของสีและตัวรถเอง มันจะน่าเชื่อถือกว่าการตรวจครั้งแรกได้อย่างไร
ถามว่า ที่ฝ่ายครู กระทรวง มาให้ข่าวว่า รถของครู ไม่เคยชน เอามาจากไหน
แถมครูยังเอาพยานมาเบิกความว่า รถเคยชนลวดหนาม แล้วไปพูดอย่างไรว่า รถไม่เคยชน ร่องรอยที่รถก็มีทั้งรอยครูดรอยชน มองเห็นด้วย
ตาเปล่า
ถ้ามีพยานหลักฐานแค่นี้ ข้อสงสัยมากขนาดนั้น ถ้าครูได้รื้อคดี นั่นต่างหากที่น่าสงสัย
บอกได้เลยคือการหาทางออก ของ กระทรวง เนื่องจากรู้ตัวแล้วว่าถูกหลอก เพลี่ยงพล้ำแน่ๆ ในประเด็น นายสับ
เพราะ รถยนต์คัน บค 56 สกลนคร นั้น เคยมีการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ทางวิทยาศาสตร์ ร่องรอยการชนไปแล้ว ตั้งแต่หลังเกิดเหตุ
โดยกองพิสูจน์หลักฐาน และได้ถูกนำไปใช้ในการพิจารณาคดีของศาล ทั้ง 3 ศาล มีการต่อสู้คดี ซักค้าน โดย 2 ฝั่ง
พยานผู้ตรวจก็ต้องไปขึ้นศาล ตอบคำถามของฝั่งจำเลย ชี้แจงให้ศาลทราบ ว่าตรวจยังไง ด้วยเครื่องมืออะไร ผลเป็นไง เหตุผลทางวิทยาศาสตร์
คืออะไร
ที่สำคัญร่องรอยนั้นเป็นร่องรอยหลังเกิดเหตุในเวลาแทบจะทันที ร่องรองหลักฐานต่างๆ ย่อมมีความชัดเจน ยากต่อการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ทั้งโดยคน และสภาพแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาของตัวรถ
พยานหลักฐานนี้ จึงเป็นพยานหลักฐานเก่า มิใช่หลักฐานใหม่ที่จะใช้รื้อคดี
ในการยื่นขอรื้อคดีต่อศาลครั้งแรก ทางฝั่งครูยื่น นายสับ และพยานอื่นเป็นพยานสำคัญ แต่พยานไม่มาศาล ศาลจึงให้เลื่อนมาเป็นวันที่
8-10 ก.พ. ที่ผ่านมา
แต่กระทรวง กลับลำเอา รถมาเป็นพยานสำคัญ ทั้งที่ไม่ได้เป็นพยานใหม่ แถมยังเอาไปจอดกดดังศาลที่หน้าศาล แล้วเอาสื่อไปถ่าย
ใช้กระแสสังคมในการสู้คดี
การอ้างว่าตรวจแล้วรถไม่มีรอยชน โดยหน่วยเอกชน 3 ฝ่าย ทำให้กองเชียร์ หรือคนที่เชียร์ครูตามกระแส เกลียดตำรวจ
คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย
ทั้งๆ ที่ทุกคน ไม่เคยได้ยิน ได้เห็นการตรวจ เอกชนทั้ง 3 ฝ่าย ไม่เคยออกมาบอกว่ารถมีรอยชนหรือไม่ ไม่เคยนำเอกสารมาแสดง
ปรากฎว่า เมื่อถึงเวลาเบิกความในศาล บ.โตโยต้า บอกว่า ยืนยันไม่ได้ว่ารถเคยชนหรือไม่
ขนส่ง ก็บอกได้แค่ป้ายเป็นป้ายที่ขนส่งออกให้ เลขอะไร แค่นั้น ขนส่ง ไม่ได้ตรวจเรื่องร่องรอยการชนที่ป้าย และคงตรวจไม่ได้ด้วย
เพราะหน้าที่นี้เป็นของพิสูจน์หลักฐาน รถขนส่งชน ก็ยังต้องส่งไปตรวจด้วยซ้ำ
อาจารย์ของมหาลัย ก็ไม่ได้ยืนยันอะไรเลยว่ารถไม่มีรอยชน
ทั้งหมดเป็นการตรวจหลังเกิดเหตุ 12 ปี รถมีการใช้ตลอด ป้ายทะเบียนจะมีการแจ้งหายทำใหม่ก็ได้ สภาพรถอาจเปลี่ยนแปลงได้จาก
สภาพแวดล้อม ฝุ่น ฝน แดด สนิม ความเสื่อมของสีและตัวรถเอง มันจะน่าเชื่อถือกว่าการตรวจครั้งแรกได้อย่างไร
ถามว่า ที่ฝ่ายครู กระทรวง มาให้ข่าวว่า รถของครู ไม่เคยชน เอามาจากไหน
แถมครูยังเอาพยานมาเบิกความว่า รถเคยชนลวดหนาม แล้วไปพูดอย่างไรว่า รถไม่เคยชน ร่องรอยที่รถก็มีทั้งรอยครูดรอยชน มองเห็นด้วย
ตาเปล่า
ถ้ามีพยานหลักฐานแค่นี้ ข้อสงสัยมากขนาดนั้น ถ้าครูได้รื้อคดี นั่นต่างหากที่น่าสงสัย
แสดงความคิดเห็น
คดีครูจอมทรัพย์ .. ถ้าศาลยกคำร้อง หรือ ไม่เชื่อถือหลักฐานที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ../sao..เหลือ..noi
ขออ้างอิงกระทู้เดิม ที่เพื่อนๆ สมาชิกซึ่งบางท่านน่าจะอยู่ในวงการยุติธรรม ได้แสดงความคิดเห็นไว้น่าสนใจ
มองในแง่ที่ กระทรวงยุติธรรมแพ้ในคดีนี้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
.... ด้านครูจอมทรัพย์ คุณครูก็ยังเป็นอดีตผู้ต้องโทษ ขับรถชนคนตายโดยประมาท และไม่ยอมรับสารภาพ
จะมีตราบาปติดตัวนี้ไปตลอดชีวิต คงไม่สามรถประกอบ อาชีพเดิมได้แม้ว่า สังคมจะเห็นว่าครูคือ "แพะ"
.... ศาล อัยการ ตำรวจ จะได้รับความเชื่อถือ จากสังคมต่อไป ไหม ขอใช้มาตรฐานตัวเองหน่อย ทุกฝ่ายเหมือน
ออกมาปกป้องตัวเอง คำตัดสินเดิม ถูกต้องชอบ แล้ว
ถ้ากระทรวงยุติธรรมชนะ ศาลฎีกายอมรับ คำร้อง และหลักฐานใหม่ ตัดสินคืนความเป็นธรรมให้ครูจอมทรัพย์
.... ด้านครูจอมทรัพย์ คุณครูคือผู้บริสุทธ์ เป็น "แพะ" อย่างที่สังคมให้ความสนใจ สงสัย มาตั้งแต่ต้น
กลับไปสอนหนังสือ ดำเนินชีวิตประกอบอาชีพเดิมได้อย่างสง่างาม ได้รับเงินชดเชย ตามกฎหมาย
.... ศาล อัยการ ตำรวจ นับว่ามี สปิริต ยอมรับในความผิดพลาด ไม่ดันทุรัง ไม่ยอมรับ หลักฐานใหม่
โยนบาปให้ปชช. รับเคราะห์ต่อไป เพียงเพื่อรักษา หน้าตาของตัวเท่านั้น
ตามประสาคนรู้น้อย จึงคิดว่า เรื่องนี้แล้วแต่วิจารณญานของศาล ท่านจะตัดสินอย่างไร ให้ปชช.ยอมรับไป
เชื่อว่า ทุกคนกำลังรอคำตัดสินของศาลฎีกา ว่าครูจอมทรัพย์ จะเป็น"แพะ" ต่อไปหรือไม่
ส่วนใครคือ ตัวจริง ที่เป็นผู้ขับรถชน โดยประมาท ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะ ดำเนินคดีต่อไป
อ้อ ... ถามผู้รู้ แบบ "ลุงโอลด์" ดีกว่า คิดอย่างไรกับกรณี นี้