สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “สาส์นสมเด็จ”
ฉบับองค์การค้าของคุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๔ เล่ม ๘ หน้า ๑๗ กล่าวถึงพระเจ้าธรรมเจดีย์กษัตริย์พม่า (พ.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๓๕) ว่า
“รับสั่งให้ราชบุรุษไปบอกภิกษุซึ่งเคยสะสมทรัพย์สมบัติ คือ เงินทองช้างม้าและทาสกรรมกรเป็นต้นมาแต่ก่อน ขอให้เลือกเอาอย่างหนึ่ง คือสละทรัพย์สมบัติทั้งปวงเสีย แล้วบวชแปลงประพฤติตามพระพุทธบัญญัติต่อไป…
พระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงเริ่มจัดการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๑๙ จัดอยู่ ๓ ปีจึงสำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๒”
พระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงจับสาเหตุถูกเพราะถ้าปล่อยให้พระภิกษุมีเงินแล้วความชั่วร้ายทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าใครเมื่อมีเงินแล้วย่อมมีอิทธิพล ต้องการทำอะไรก็ได้ อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อเอา คนที่ต้องการประจบประแจงเพื่อเอาผลประโยชน์จากเจ้าของเงินก็มีมาก พระที่มีเงินมาก จึงเป็นที่หมายปองของผู้หญิงที่อยากสึกพระไปเป็นสามี ถ้าหักห้ามใจไม่ไหว ลาสึกออกไปเป็นเจ้าบ่าวก็ค่อยยังชั่ว แต่บางรายอยากได้ทั้งสองอย่าง พระก็จะเป็น ผัวก็จะเป็น ก็เลยเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาอย่างที่รู้ๆ กันอยู่
หลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วเสด็จไปสอนพระปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรกด้วยหัวข้อธรรมชื่อ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เบื้องแรกทรงกล่าวถึง “ทางสุดโต่ง ๒ อย่างที่บรรพชิตไม่ควรเสพ” แล้วจึงทรงแสดงเรื่องอริยสัจ ๔ แต่เมื่อมาดูการกระทำของพระภิกษุส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มักจะข้ามเรื่อง “ทางสุดโต่งฯ” ไปเสีย ชาวพุทธส่วนมากก็ไม่เข้าใจพระพุทธประสงค์ พากันประเคนเงินทอง สิ่งของเครื่องอำนวยความสุดแบบชาวโลกให้แก่พระ ชาติหน้าก็จะมีเครื่องอุปโภคบริโภคแบบเดียวกันนั้นบริบูรณ์ พระก็เลยมีทุกอย่างที่ผู้ครองเรือนเขามีกัน พระสมัยนี้จึงมีรถเก๋ง บ้าน ที่ดิน ถึงตนไม่ใช้เองก็ซื้อให้ญาติพี่น้อง อยากให้ลองมีการทำวิจัยกันว่า เงินทองที่พระรับจากประชาชนไปนั้นตกไปอยู่ในมือใครบ้าง มูลค่าของสิ่งที่พระแจกจ่ายให้แก่ญาติพี่น้อง (บางรายอาจไม่ใช่ญาติพี่น้องด้วยซ้ำไป) คงจะมากมายมหาศาลจนขนลุกทีเดียว) ไม่เชื่อก็ลองทำกันดู
https://www.silpa-mag.com/club/miscellaneous/article_6390
วิธีกำจัดพระทุศีลของประเทศพม่า
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “สาส์นสมเด็จ”
ฉบับองค์การค้าของคุรุสภา พ.ศ. ๒๕๐๔ เล่ม ๘ หน้า ๑๗ กล่าวถึงพระเจ้าธรรมเจดีย์กษัตริย์พม่า (พ.ศ. ๒๐๑๕-๒๐๓๕) ว่า
“รับสั่งให้ราชบุรุษไปบอกภิกษุซึ่งเคยสะสมทรัพย์สมบัติ คือ เงินทองช้างม้าและทาสกรรมกรเป็นต้นมาแต่ก่อน ขอให้เลือกเอาอย่างหนึ่ง คือสละทรัพย์สมบัติทั้งปวงเสีย แล้วบวชแปลงประพฤติตามพระพุทธบัญญัติต่อไป…
พระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงเริ่มจัดการตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๑๙ จัดอยู่ ๓ ปีจึงสำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๐๒๒”
พระเจ้าธรรมเจดีย์ทรงจับสาเหตุถูกเพราะถ้าปล่อยให้พระภิกษุมีเงินแล้วความชั่วร้ายทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าใครเมื่อมีเงินแล้วย่อมมีอิทธิพล ต้องการทำอะไรก็ได้ อยากได้อะไรก็ใช้เงินซื้อเอา คนที่ต้องการประจบประแจงเพื่อเอาผลประโยชน์จากเจ้าของเงินก็มีมาก พระที่มีเงินมาก จึงเป็นที่หมายปองของผู้หญิงที่อยากสึกพระไปเป็นสามี ถ้าหักห้ามใจไม่ไหว ลาสึกออกไปเป็นเจ้าบ่าวก็ค่อยยังชั่ว แต่บางรายอยากได้ทั้งสองอย่าง พระก็จะเป็น ผัวก็จะเป็น ก็เลยเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาอย่างที่รู้ๆ กันอยู่
หลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วเสด็จไปสอนพระปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรกด้วยหัวข้อธรรมชื่อ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เบื้องแรกทรงกล่าวถึง “ทางสุดโต่ง ๒ อย่างที่บรรพชิตไม่ควรเสพ” แล้วจึงทรงแสดงเรื่องอริยสัจ ๔ แต่เมื่อมาดูการกระทำของพระภิกษุส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้มักจะข้ามเรื่อง “ทางสุดโต่งฯ” ไปเสีย ชาวพุทธส่วนมากก็ไม่เข้าใจพระพุทธประสงค์ พากันประเคนเงินทอง สิ่งของเครื่องอำนวยความสุดแบบชาวโลกให้แก่พระ ชาติหน้าก็จะมีเครื่องอุปโภคบริโภคแบบเดียวกันนั้นบริบูรณ์ พระก็เลยมีทุกอย่างที่ผู้ครองเรือนเขามีกัน พระสมัยนี้จึงมีรถเก๋ง บ้าน ที่ดิน ถึงตนไม่ใช้เองก็ซื้อให้ญาติพี่น้อง อยากให้ลองมีการทำวิจัยกันว่า เงินทองที่พระรับจากประชาชนไปนั้นตกไปอยู่ในมือใครบ้าง มูลค่าของสิ่งที่พระแจกจ่ายให้แก่ญาติพี่น้อง (บางรายอาจไม่ใช่ญาติพี่น้องด้วยซ้ำไป) คงจะมากมายมหาศาลจนขนลุกทีเดียว) ไม่เชื่อก็ลองทำกันดู
https://www.silpa-mag.com/club/miscellaneous/article_6390