วิธีเอาชนะโรคพานิค (Panic disorder)
อาการ เหมือนคนกำลังจะคุมตัวเองไม่ได้ จะวูบ เป็นลม แขนขาไม่มีแรง เดินเหมือนร่างกายโคลงเคลง ใจลอย ใจสั่น ใจหวิว หัวใจเต้นเร็ว ไม่เป็นจังหวะ หน้ามืด เวียนหัว หายใจไม่ค่อยออก เหมือนร่างกายเราเปลี่ยนไป กำลังจะตาย จิตตก กำลังจะเป็นบ้า มือชา เท้าชา รู้สึกร้อนวูบวาบ เหมือนกำลังจะตาย หลังอาการแพนิคสงบลง ผู้ป่วยมักรู้สึกอ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง และกังวลว่าอาการจะกลับมากำเริบอีก ผู้ป่วยมักพยายามคิดเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนที่จะเริ่มมีอาการ เช่นขับรถ อยู่ในห้องประชุม ในห้างที่มีคนเยอะๆ ดื่มกาแฟ เหล้า หรืออื่นๆ ผลก็คือการกลัวที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวไปเลย โดยเฉพาะถ้ามีอาการตอนกำลังจะนอน ทำให้นอนไม่หลับ จึงนำไปสู่การกลัวการนอนส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม อาการหลักของพานิคคือหัวใจจะเต้นเร็วจนทำให้เหนื่อยมาก พอมีอะไรมากระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วเช่น ทำงานที่ออกแรงมากกว่าปกติ การตกใจ โมโห โกรธ พอหัวใจเต้นเร็วแล้วมันจะไม่ยอมลดลงเหมือนคนปกติถึงแม้สิ่งที่มากระตุ้นจะหายไปแล้ว
สาเหตุ จากข้อมูลทางการแพทย์โรคพานิคมีสองสาเหตุ หนึ่งคือดวามผิดปกติของสารเคมีในสมองทำให้สมองไวต่อความรู้สึกเกินไป และสองเกิดจากความเครียดที่สะสมมานานทำให้สมองไวต่อความรู้สึกเกินไป แต่ไม่ว่าอะไรเกิดก่อนกันผลก็คือสมองมันไวต่อความรู้สึกเกินไป ยังไม่ทันเหนื่อยก็เหนื่อยจะเป็นลมซะแล้ว พอมีอาการก็เลยกลัว เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เลยยิ่งทำให้อาการหนักขึ้น
การรักษา ถ้ามีอาการคลายกับที่กล่าวเบื้องต้นอย่าด่วนสรุปว่าเราเป็นโรคพานิคเด็ดขาด เพราะอาการเหล่านั้นอาจมาจากโรคร้ายอื่นๆ ต้องไปพบแพทย์ตรวจให้ขัดเจน เช่นหัวใจ ไทรอยย์ เบาหวาน ความดัน ซึ่งผู้เขียนตรวจมาครบทุกอย่าง เช่น ตรวจคลื่นหัวใจ EKG ทำอัลตร้าซาวน์หัวใจและหลอดเลือด การทดสอบด้วยเตียงที่ปรับเอียง (Tilt – table test) ตรวจเลือดหา ไทรอยย์ เบาหวาน ความดัน และเมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นโรคต่างๆที่ว่ามาค่อยไปพบแพทย์ทางจิตประสาท เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเราเป็นโรคพานิคก็จเริ่มขันตอนการรักษา จะมียาอยู่สองแบบคือแบบแก้ไขอาการทันที่ทีเป็นคือ Frisium, Sanac และยาทีใช้ปรับความสมดุลย์ของเคมีในสมองที่ต้องกินกันยาวๆหกเดือนถึงหนึ่งปีเลยครับเช่น Zolof ,lexapro ผู้เขียนเคยรับการรักษาโดยใช้ยามาสามครั้งแล้วตั้งแต่ปี 2012 ครั้งแรกใช้ยาประมาณ 6 เดือนแล้วค่อยๆลดลงจาก 1 เม็ดครึ่ง เหลือ1 เม็ดและ ครึ่งเม็ดตามลำคับประกอบกับการปรับการใช้ชีวิตคือการกิน พักผ่อน ออกกำลังกาย ชึ่งผลก็ตือดีขึ้นจนหยุดยาแล้วก็ลืมๆไปแต่ก็กลับมาเป็นใหม่ครับ ผมก็เริ่มไปตรวจโรคที่เคยสงสัยทั้งหัวใจ ไทรอยย์ เบาหวาน ความดัน แล้วก็กลับมาหาหมอทางจิตประสาทแล้วก็กินยาใหม่ รอบสองรอบสามคราวนี้กินเกือบปีหมดค่ารักษาไปไม่รู้เท่าไหร่ทั้งประกันบ้างจ่ายเองบ้างเบิกที่ทำงานบ้าง น่าจะหายแสนครับ แต่แล้วมันก็มาอีกครับเป็นครั้งที่สี่ คราวนี้ผมเลยต้องคิดใหม่ครับเริ่มต้นด้วยการตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นโรคต่างๆแล้วก็ไปหาหมอทางจิตประสาทคนเดิมแต่เนื่องจากอาการยังไม่รุนแรง ผมขอยาแบบแก้ไขอาการชั่วคราวติดไว้ครับแล้วเปลี่ยนชีวิตตามนี้ครับ
1.อาหาร งดอาหารที่ทำลายสุขภาพเช่น น้ำอัดลม ไขมัน แป้ง น้ำตาล หยุดดื่มสิ่งกระตุ้นทุกอย่างครับ ทั้งเหล้า กาแฟ บุหรี่ เพื่อคุมน้ำหนักและความดัน
2.การพักผ่อน สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน และนอนเร็วขึ้นครับสามทุ่มก็นอนแล้ว
3.ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอทุกวันเช้าเย็น 15-30 นาที เริ่มจากเดิน วิ่ง วิดพื้น Sit up แต่ก็อย่าหนักเกินไป
4.ควบคุมอารมย์ พยายามไม่โกรธ ไม่โมโห ปล่อยวาง ไม่เครียด ลดการชิงดีชิงเด่นไม่สร้างศัตรู
5.อ่านหนังสือดูหนังฟังเพลงก็เลือกที่เบาๆ ตลก ที่ดุเดือดเลือดท่วมก็งดไปครับ
6.ไปวัดทำบุญตักบาตรเป็นประจำ ช่วยเหลือญาติพี่น้องให้มากขึ้น
7.อย่าอยู่คนเดียวให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น พาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนมากชึ้น
8.ต้องพูดคุยกับคนอื่นระบายความรู้สึกอย่าเก็บความทุขก์ไว้ในใจ
9.คบเพื่อนที่ห่วงใยสุขภาพเรา หลีกเลี่ยงพวกพาเราแย่ลง
10.แต่ก็ไม่ใข่หนีไปหมดครับ เราสังสรรค์ได้ใช้ชีวิตได้ตามปกติแต่อย่าลืมตัว
เราแก้ที่ต้นเหตุทั้งหมดทั้งร่างกายและจิตใจครับ เมื่อไม่มีอะไรมากระตุ้น เหล้า กาแฟ บุหรี่ ไม่แตะ เราแข็งแรงไม่เหนื่อยง่าย ไม่เครียด ไม่โกรธ ไม่โมโห มีความสุขกับครอบครัว ใช้ชีวิตให้มันเบาลง(Slow life) แต่แข็งแรงขึ้นสุขภาพก็ดีขึ้น สี่เดือนแล้วครับที่ผมไม่ได้กินยาเลย มีอาการบ้างแต่นานๆที จนแทบไม่มี แค่นี้ผมก็ OK แล้วครับดีกว่ากินยาครับมันแค่ไปกดประสาทไว้พอหยุดมันก็มาอีกถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ลองคูครับผมสู้ได้ทุกคนก็ต้องสู้ได้ ที่สำคัญต้องทำต่อเนื่องอย่าลืมอย่าคิดว่ามันหายแล้ว คิดซ่ะว่ามันยังอยู่กับเรา ต้องอยู่กับมันตลอดไปด้วยความเข้าใจไม่ประมาท เราก็จะชนะมันได้แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอ่อนแอลงมันก็จะเล่นงานเราครับ
วิธีเอาชนะโรคพานิค (Panic disorder)
อาการ เหมือนคนกำลังจะคุมตัวเองไม่ได้ จะวูบ เป็นลม แขนขาไม่มีแรง เดินเหมือนร่างกายโคลงเคลง ใจลอย ใจสั่น ใจหวิว หัวใจเต้นเร็ว ไม่เป็นจังหวะ หน้ามืด เวียนหัว หายใจไม่ค่อยออก เหมือนร่างกายเราเปลี่ยนไป กำลังจะตาย จิตตก กำลังจะเป็นบ้า มือชา เท้าชา รู้สึกร้อนวูบวาบ เหมือนกำลังจะตาย หลังอาการแพนิคสงบลง ผู้ป่วยมักรู้สึกอ่อนเพลียไม่ค่อยมีแรง และกังวลว่าอาการจะกลับมากำเริบอีก ผู้ป่วยมักพยายามคิดเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนที่จะเริ่มมีอาการ เช่นขับรถ อยู่ในห้องประชุม ในห้างที่มีคนเยอะๆ ดื่มกาแฟ เหล้า หรืออื่นๆ ผลก็คือการกลัวที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวไปเลย โดยเฉพาะถ้ามีอาการตอนกำลังจะนอน ทำให้นอนไม่หลับ จึงนำไปสู่การกลัวการนอนส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม อาการหลักของพานิคคือหัวใจจะเต้นเร็วจนทำให้เหนื่อยมาก พอมีอะไรมากระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วเช่น ทำงานที่ออกแรงมากกว่าปกติ การตกใจ โมโห โกรธ พอหัวใจเต้นเร็วแล้วมันจะไม่ยอมลดลงเหมือนคนปกติถึงแม้สิ่งที่มากระตุ้นจะหายไปแล้ว
สาเหตุ จากข้อมูลทางการแพทย์โรคพานิคมีสองสาเหตุ หนึ่งคือดวามผิดปกติของสารเคมีในสมองทำให้สมองไวต่อความรู้สึกเกินไป และสองเกิดจากความเครียดที่สะสมมานานทำให้สมองไวต่อความรู้สึกเกินไป แต่ไม่ว่าอะไรเกิดก่อนกันผลก็คือสมองมันไวต่อความรู้สึกเกินไป ยังไม่ทันเหนื่อยก็เหนื่อยจะเป็นลมซะแล้ว พอมีอาการก็เลยกลัว เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เลยยิ่งทำให้อาการหนักขึ้น
การรักษา ถ้ามีอาการคลายกับที่กล่าวเบื้องต้นอย่าด่วนสรุปว่าเราเป็นโรคพานิคเด็ดขาด เพราะอาการเหล่านั้นอาจมาจากโรคร้ายอื่นๆ ต้องไปพบแพทย์ตรวจให้ขัดเจน เช่นหัวใจ ไทรอยย์ เบาหวาน ความดัน ซึ่งผู้เขียนตรวจมาครบทุกอย่าง เช่น ตรวจคลื่นหัวใจ EKG ทำอัลตร้าซาวน์หัวใจและหลอดเลือด การทดสอบด้วยเตียงที่ปรับเอียง (Tilt – table test) ตรวจเลือดหา ไทรอยย์ เบาหวาน ความดัน และเมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นโรคต่างๆที่ว่ามาค่อยไปพบแพทย์ทางจิตประสาท เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเราเป็นโรคพานิคก็จเริ่มขันตอนการรักษา จะมียาอยู่สองแบบคือแบบแก้ไขอาการทันที่ทีเป็นคือ Frisium, Sanac และยาทีใช้ปรับความสมดุลย์ของเคมีในสมองที่ต้องกินกันยาวๆหกเดือนถึงหนึ่งปีเลยครับเช่น Zolof ,lexapro ผู้เขียนเคยรับการรักษาโดยใช้ยามาสามครั้งแล้วตั้งแต่ปี 2012 ครั้งแรกใช้ยาประมาณ 6 เดือนแล้วค่อยๆลดลงจาก 1 เม็ดครึ่ง เหลือ1 เม็ดและ ครึ่งเม็ดตามลำคับประกอบกับการปรับการใช้ชีวิตคือการกิน พักผ่อน ออกกำลังกาย ชึ่งผลก็ตือดีขึ้นจนหยุดยาแล้วก็ลืมๆไปแต่ก็กลับมาเป็นใหม่ครับ ผมก็เริ่มไปตรวจโรคที่เคยสงสัยทั้งหัวใจ ไทรอยย์ เบาหวาน ความดัน แล้วก็กลับมาหาหมอทางจิตประสาทแล้วก็กินยาใหม่ รอบสองรอบสามคราวนี้กินเกือบปีหมดค่ารักษาไปไม่รู้เท่าไหร่ทั้งประกันบ้างจ่ายเองบ้างเบิกที่ทำงานบ้าง น่าจะหายแสนครับ แต่แล้วมันก็มาอีกครับเป็นครั้งที่สี่ คราวนี้ผมเลยต้องคิดใหม่ครับเริ่มต้นด้วยการตรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นโรคต่างๆแล้วก็ไปหาหมอทางจิตประสาทคนเดิมแต่เนื่องจากอาการยังไม่รุนแรง ผมขอยาแบบแก้ไขอาการชั่วคราวติดไว้ครับแล้วเปลี่ยนชีวิตตามนี้ครับ
1.อาหาร งดอาหารที่ทำลายสุขภาพเช่น น้ำอัดลม ไขมัน แป้ง น้ำตาล หยุดดื่มสิ่งกระตุ้นทุกอย่างครับ ทั้งเหล้า กาแฟ บุหรี่ เพื่อคุมน้ำหนักและความดัน
2.การพักผ่อน สวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน และนอนเร็วขึ้นครับสามทุ่มก็นอนแล้ว
3.ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอทุกวันเช้าเย็น 15-30 นาที เริ่มจากเดิน วิ่ง วิดพื้น Sit up แต่ก็อย่าหนักเกินไป
4.ควบคุมอารมย์ พยายามไม่โกรธ ไม่โมโห ปล่อยวาง ไม่เครียด ลดการชิงดีชิงเด่นไม่สร้างศัตรู
5.อ่านหนังสือดูหนังฟังเพลงก็เลือกที่เบาๆ ตลก ที่ดุเดือดเลือดท่วมก็งดไปครับ
6.ไปวัดทำบุญตักบาตรเป็นประจำ ช่วยเหลือญาติพี่น้องให้มากขึ้น
7.อย่าอยู่คนเดียวให้เวลากับครอบครัวมากขึ้น พาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนมากชึ้น
8.ต้องพูดคุยกับคนอื่นระบายความรู้สึกอย่าเก็บความทุขก์ไว้ในใจ
9.คบเพื่อนที่ห่วงใยสุขภาพเรา หลีกเลี่ยงพวกพาเราแย่ลง
10.แต่ก็ไม่ใข่หนีไปหมดครับ เราสังสรรค์ได้ใช้ชีวิตได้ตามปกติแต่อย่าลืมตัว
เราแก้ที่ต้นเหตุทั้งหมดทั้งร่างกายและจิตใจครับ เมื่อไม่มีอะไรมากระตุ้น เหล้า กาแฟ บุหรี่ ไม่แตะ เราแข็งแรงไม่เหนื่อยง่าย ไม่เครียด ไม่โกรธ ไม่โมโห มีความสุขกับครอบครัว ใช้ชีวิตให้มันเบาลง(Slow life) แต่แข็งแรงขึ้นสุขภาพก็ดีขึ้น สี่เดือนแล้วครับที่ผมไม่ได้กินยาเลย มีอาการบ้างแต่นานๆที จนแทบไม่มี แค่นี้ผมก็ OK แล้วครับดีกว่ากินยาครับมันแค่ไปกดประสาทไว้พอหยุดมันก็มาอีกถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ลองคูครับผมสู้ได้ทุกคนก็ต้องสู้ได้ ที่สำคัญต้องทำต่อเนื่องอย่าลืมอย่าคิดว่ามันหายแล้ว คิดซ่ะว่ามันยังอยู่กับเรา ต้องอยู่กับมันตลอดไปด้วยความเข้าใจไม่ประมาท เราก็จะชนะมันได้แต่ถ้าเมื่อไหร่เราอ่อนแอลงมันก็จะเล่นงานเราครับ