พอดีว่าเราไปเปิดดูไดอารี่เก่าๆ ก็เลยเผลอคิดถึงเรื่องราว และรอยแผลที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอนนั้นจำได้ว่าเจ็บปวดมากจนแทบจะอยากทำให้ตนเองจางหายไปเสีย...ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนและสายตาที่จับจ้องมา ไปให้ไกลๆจากโลกใบนี้ ตอนนั้นโทษคนอื่นเสียมากมายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่น แต่มาย้อนดูอีกทีตอนนี้ ถึงได้ตระหนักความจริงว่า
“ตัวเราเองต่างหาก ที่เฝ้าทำร้ายตัวเองเสมอมา”
1) เคยไหม...ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต คุณลืมว่าตัวเองเป็นใคร และยังลืมว่าคนรอบตัวของคุณเป็นใคร
ตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ใหญ่ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเราเลย คือ การย้ายจากม.3 เข้าม.4 โรงเรียนใหม่ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้จักการว้าก และการรับน้อง อะไรๆก็ตามในตอนนั้นมันดูใหม่สด และน่าตื่นเต้น ชวนให้ค้นหาไปเสียหมด เราอยากจะลองนั่นลองนี่ไปเสียทุกเรื่อง
วันนั้นรุ่นพี่พาเรากับเพื่อนๆไปรับน้องที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เราเล่นฐานแต่ละฐานที่เขาจัดกันไปเรื่อยๆ โดยแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ จนกระทั่งมาถึงฐานฐานหนึ่ง เราจำได้ชัดเจนเลยว่า พอไปถึง พี่ๆเขาก็เข้ามายืนล้อมเรากับเพื่อนๆในกลุ่ม และก็เข็นกล้วยหอมลังใหญ่มา พี่เขาให้เด็กผู้ชายยืน และเอากล้วยจุ่มนมข้น จากนั้นก็เอาให้พวกเขาถือกล้วยไว้ตรงตำแหน่งเป้า และพี่เขาก็เรียกให้พวกเราเด็กผู้หญิงมา คุกเข่าลงไป และก้มลงเลียนมข้นจากกล้วยเหล่านั้น
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเด็กน้อยอายุสิบห้าปีที่เพิ่งถูกว้ากมาหมาดๆ และกำลังถูกรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งสั่งให้ทำตามคำสั่ง ลองถามตัวเองดูว่า...คุณจะทำอย่างไร
นั่น คือ สิ่งที่เราทำทั้งหมดเลยหลังจากที่เราถูกรุ่นพี่สั่งให้ทำแบบนั้น เรายืนนิ่ง คิด...เฮ้ย แบบนี้มันไม่ถูกนี่นา ผิด! ผิดสิ! มันผิดมากๆเลย ไม่ว่าพิจารณาในแง่ไหนมันก็ผิด ! เรามองเพื่อนค่อยๆคุกเข่าลงไปทีละคน และรุ่นพี่ข้างๆเราก็พูดขึ้นมาว่า “ทำสิ ใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าไม่ทำ คือ น้องไม่รักเพื่อนนะ”
และเราก็ทำตามที่พี่เขาสั่งในที่สุด
นมข้นรสหวานอย่างที่ใครๆก็ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่รสน้ำตาในหัวใจนั้นยังขมขื่นในใจเราตราบจนเวลาเฝ้าเวียนผ่านไป
เราลองไปถามเพื่อนหลายๆคนดูหลังจากเหตุการณ์คราวนั้น...พวกแก รู้สึกเป็นไงบ้าง...คำตอบที่ได้ช่างหลากหลายเหมือนเฉดสีที่อยู่ในใจมนุษย์ ...สนุก ตลก เฉยๆ ใครๆก็ทำกันเป็นเรื่องปรกติ โคตรเสียวเลยว่ะ หยะแหยงอ้ะ... มากมายจริงๆ
ตอนนั้นเราจำได้ว่า เราโกรธทุกคนเลยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำแบบนี้ เราประณามอย่างเปิดเผยความรู้สึกว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการกระทำที่ต่ำช้ามากๆ ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สุดๆ รุ่นพี่ของเราคนนึงเคยบอกว่า “อมกล้วยไม่ผิดอะไรสักหน่อย เดี๋ยวพอเข้ามหาลัยน้องก็ต้องโดนรับน้องแบบนี้นะ” (อ่านถึงตอนนี้โปรดระลึกไว้ ว่ารุ่นพี่คนนั้นแก่กว่าเราปีเดียว และอายุเพียงสิบหกปี) เรายัวะขึ้นมาเลยสวนกลับไปว่า “ถ้าแม่พี่เข้าทำงาน และถูกคนที่ที่ทำงานจัดให้อมกล้วยบ้าง โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการรับน้องกระชับมิตรล่ะ จะรู้สึกยังไงบ้าง”
ความโกรธของเราแผดเผาและลามเลียจนเหมารวมสถาบันทุกอย่างที่มีลักษณะ Conservative หรือว่า SOTUS ว่าเป็นสถาบันที่ต่ำช้ามาก มีนิดเดียวก็พอให้เราเกลียดถึงกระดูกดำเสียแล้ว
หนึ่งปี...สองปี...สองปีกว่าๆ ทุกครั้งที่เราคิดถึงเรื่องนั้นทีไร เราจะโกรธ...ไม่ได้โกรธรุ่นพี่หรือว่าโกรธเพื่อน โกรธระบบ แต่โกรธความเยาว์วัยของตนเอง โกรธที่ตอนนั้นตนเองไม่กล้าทำสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ไม่กล้าหันหลังให้ และเดินจากไป โกรธที่ทุกครั้งที่เราคิดถึงเรื่องนี้ทีไร เราจะถูกทำร้ายด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเองทุกครั้ง
เราพยายามทำแคมเปญ รณรงค์ต่อต้าน SOTUS ต่อต้านการว้าก ไปชักชวนเพื่อน รุ่นน้อง และใครต่อใครให้ยกเลิกการว้าก พวกคนที่เห็นด้วยกับเรามีน้อยมาก และตอนนั้นเราก็เสียใจบอบช้ำอยู่กับการคาดหวังอยู่นาน พอได้สติขึ้นมา เราถึงเพิ่งรู้ว่า “เราลืมว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่”
เราลืมว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ณ ตอนนั้น คือ
“การยัดเยียดสิ่งที่ตนเอง “คิดว่าดี” ให้ผู้อื่น” ได้แก่การต่อต้านว้าก การเกลียดคนทุกคน และทุกสถาบันแบบเหมารวม ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ยัดเยียดความคิด และการละลายพฤติกรรม” แบบที่การว้ากทำเลย เราถึงเพิ่งรู้ว่า
คนทำสิ่งที่ตนเองคิดว่า “ถูกต้อง” นั้นน่ากลัวกว่าการทำชั่วมากนัก เพราะ คนที่ทำแบบนั้นจะทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะคิดว่า ส่งที่ตนเองทำอยู่มันดีจริงๆโดยปราศจากความสงสัยเลยสักนิด และคนแบบนี้นี่เอง ที่น่ากลัว เพราะใครห้ามก็ไม่ฟัง มีแต่จะถลำลึกเข้าไปยิ่งขึ้น
เราไม่ได้ต้องการจะบอกว่าการรับน้องแบบนั้นมันผิดหรือว่าถูก อันนี้ขอให้แต่ละคนพิจารณาตามความเห็นสมควรของตัวเอง แต่เราอยากจะบอกว่าสิ่งที่เราพยายามทำ มันไม่ได้ถูกต้องไปเสียทั้งหมด แม้ว่าตอนนั้นเราจะลงมือทำด้วยความปรารถนาดีก็ตาม บางครั้งความหวังดีที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดเป็นผลร้ายได้
เราจึงได้ตระหนักว่า ความโกรธนี้ได้ทำลายหัวใจของเราเองด้วย มันทำให้เราลืมว่า “คนอื่นๆเป็นใคร” ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็น “มนุษย์” เหมือนเรา มาจากครอบครัวที่แตกต่างหลากหลาย ดังนั้นจึงมีทัศนคติในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน
แล้วทำไมจู่ๆเราถึงเพิ่งรู้ตัว ?
สติของเรากลับคืนมาหลังจากวันนึงที่เราถูกนักเลงหัวโจก ในห้องหาเรื่อง (เขาเป็นผู้ชาย สูงแค่ร้อยหกสิบกว่าเซ็น) เราจำได้ว่ามีเพื่อนคนนึงในห้อง เราเกลียดมันมากเพราะมันเป็นหัวหน้าพี่ว้าก แต่ตอนที่เราถูกหาเรื่อง มันกลับเป็นคนที่เข้ามาช่วยเรา ตอนนั้นเรารู้สึกขอบคุณมันมาก จนกระทั่งรู้สึกละอายใจ เมื่อเราจำได้ว่าแต่ก่อนนั้น เราเคยเกลียดมันแค่ไหน
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราระลึกได้ว่า คนหนึ่งคนมีหลายแง่มุมหลายมิติในตัวเอง การที่เราตัดสินเขาว่า “ไอ้หมอนี่มันชอบการว้าก มันชอบ SOTUS นะ” ก็ทำให้เราเกลียดเขาไปเลย ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เขาก็มีข้อดีในแบบของเขาเหมือนกัน แต่เราดันมองไม่เห็นเพราะทุกครั้งที่เราเห็นเขา เราจะมองเห็นแต่ “พี่ว้าก” ในตัวของเขาเสียก่อน
พอเราเติบโตขึ้น เราจึงได้สรุปบทเรียนไว้กับตัวเองว่า คนเราต้องกล้าหาญในสิ่งที่ตนเองคิด และกล้าเลือกเส้นทางที่เราคิดว่ามันถูกต้อง แต่ต้องไม่ลืมว่า ระหว่างทางที่เดินนั้นยังมีอะไรหลายๆอย่างที่มีหลากหลายแง่มุมให้พิจารณา หากว่าคุณหยิบก้อนหินธรรมดาๆหนึ่งก้อนขึ้นมา และโยนมันทิ้งไป มันก็จะเป็นแค่ “ก้อนหินธรรมดาๆ” ตามที่คุณตัดสิน แต่หากคุณถือมันไว้ในมือให้นานกว่านี้สักเล็กน้อย และมองดูมันอย่างระมัดระวัง คุณจะเห็นว่า ยิ่งพิศดูมากเท่าไรก็จะยิ่งเห็นว่ามันไม่ใช่แค่ก้อนหินกลมๆธรรมดา แต่ยังมีหลายเหลี่ยมหลากเงา มีหลากหลายเฉกสีจากแร่ธาตุที่ต่างชนิดกัน
ณ วินาทีที่เราคิดได้แบบนั้น เด็กน้อยอายุสิบห้าปีที่เคยเจ็บปวดด้วยความสมเพชตนเองเมื่อถูกสั่งให้คุกเข่าลงอมกล้วยวันนั้น และเด็กน้อยที่เคยกราดเกรี้ยวมองทุกอย่างด้วยสายตาตัดสิน ก็ได้เติบโตเป็นเด็กอีกคนหนึ่งที่มองโลกใบเดิมด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป
โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าตัวเรามากนัก และจักรวาลก็กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่านั้น ทุกสิ่งล้วนมีกระบวนการ และครรลองในการดำเนินไปของมันเอง การคิดจะสวนกระแสไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณคิดว่าสิ่งใดที่มันผิด ไม่ถูกต้อง คุณก็มีสิทธิ์ที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องความคิดของตนเอง คุณมีสิทธิ์ที่จะลงมือทำให้เต็มที่เพิ่งสิ่งนั้น แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะสามารถกำหนดได้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นเช่นไร
ความพยายามและความคิดเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่ปลายทางย่อมบรรจบตามครรลองของเอกภพ
อย่าลืมก็พอว่า แท้จริงแล้วตนเองเป็นใคร และคนอื่นเป็นใคร
พวกเราก็เป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆในโลกที่กว้างใหญ่ และจักรวาลที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลก
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อนะคะ มีอีก 2 ข้อที่อยากจะแชร์ค่ะ
2) เคยไหม...ที่ไม่รู้จักอะไรของคนๆนั้นเลยยกเว้น “ชื่อ” แต่กลับเอาเรื่องราวราวของเขาไปเล่าต่อมากมาย
นั่นสินะ ถ้าหันไปมองคนรอบกาย ก็จะเห็นว่าใครต่อใครก็ทำกัน เราพูดเรื่องของคนอื่นบ่อยอย่างรู้ดีอย่างกับเป็นเรื่องของคนในครอบครัว
ตัวเราเองเป็นคนช่างคุย เม้าท์เก่งสุดๆ บางครั้งพอเม้าท์เรื่องตัวเองหมดเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อไปที่จะหยิบมาเป็นประเด็นคือ
เรื่องของผู้อื่น
ตอนม.ต้น เรามีเพื่อนอยู่คนนึง...เป็นคนที่เห็นแก่ตัวสุดๆ งานกลุ่มไม่เคยทำ งานห้องไม่เคยช่วย อ่านนั่นอ้างนี่ตลอดเวลาที่นัดกันมาทำงาน แถมยังชอบโกหกตลอด ว่า “คอมเสียนะ เลยหาข้อมูลไม่ได้” “ขอโทษที รถมันติดตอนเย็น เค้าเลยกลับบ้านดึก” บลาๆๆๆ มากมายเหลือเกิน
เรามารู้ความจริงทีหลังว่า...ข้ออ้างทั้งหลายแหล่นั่นมีไว้เพื่อปกปิดเรื่องที่เขาไปเรียนพิเศษจนดึก
ตอนนั้นเราเกลียดเขาเข้าไส้เลยจ้า เกลียดแบบ..เห็นหน้าเป็นต้องด่า ลับหลังเป็นต้องนินทา แบบทำนองว่า...ทำไมไม่รับผิดชอบเลยวะ? นิสัยไม่ดีสุดๆ เลวมาก และอีกหลายๆคำที่ไม่กล้าเขียนลงในนี้ ตอนนั้นเพื่อนๆในห้องก็รุมแอนตี้คนๆนั้นอีกด้วย พอตอนหลังเราจบม.ต้น และย้ายเข้าม.4 โรงเรียนใหม่ เขาก็ย้ายมาด้วย แต่เนื่องจากทั้งเราและเขาต่างก็อยู่คนละห้องกัน อาคารเรียน และคาบเรียนก็ไม่เคยชนกันจึงแทบไม่เจอหน้ากัน ตอนนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากับเพื่อน และรุ่นพี่เนื่องจากมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องระบบ SOTUS ในสังคม ตอนนั้นเรายังเด็ก...การแสดงออกจึงก้าวร้าวเหมือนลูกแมวที่ขู่ฟ่อใส่คนที่มาเหยียบหาง สุดท้าย...ด้วยความคิดที่แตกต่างของเรา เราจึงตกเป็นคนที่โดนเพื่อนๆรุมแอนตี้บ้าง เราจึงเริ่มตั้งคำถามในใจว่า “เฮ้ย เราเคยไปเผาบ้านคนพวกนี้เหรอ หรือว่าเราทำอะไรที่เลวร้ายมากไปกว่าการไม่เห็นด้วยกับระบบ และสิ่งที่พวกนั้นเอาเราไปนินทา พวกเขารู้อะไรเกี่ยวกับเราจริงๆมากไหม ยกเว้นชื่อของเรา”
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เราโตขึ้น และเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในสังคมใหม่ได้ เรื่องราวของเขาก็แว่วเข้าหูเรามาอีกครั้ง เราเพิ่งรู้ทีหลังว่าครอบครัวของเขากดดันเขาให้เรียนๆๆๆๆๆ ลูกต้องเป็นหมอนะ ต้องสอบได้ที่หนึ่งนะ ต้องนั่นนู่นนี่นะ ถ้าไม่ได้เป็นหมอก็ต้องเป็นวิศวะอันดับสองเลยนะ ต้องสอบติดสถาบันดังๆนะ ต่างๆนานามากมาย
ตอนนั้นเรารู้สึกผิดมาก...ช่วงเวลาที่เราได้ห่างกันไปทำให้ความเกลียดชังของแต่ละฝ่ายเบาบางลง เราเจอกันทีไรอย่างน้อยสุดก็มียิ้มๆ และพยักหน้าให้กันบ้าง แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เราจะรู้สึกผิดอยู่ในใจเสมอ
พอถึงวันงานปัจฉิมม.6 เราก็ทำการ์ดปัจฉิมให้เพื่อนๆ รุ่นน้อง และคุณครูบางท่าน ทำไปเกือบร้อยใบ และตอนที่กระดาษเหลือจวนจะแผ่นสุดท้ายนั้น เราก็คิดถึงเขาขึ้นมา เรารู้ข่าวว่าเขาสอบไม่ติดหมอตามที่ครอบครัววาดหวังไว้(เขาจะวาดหวังไว้อย่างนั้นด้วยหรือเปล่าเราก็ไม่รู้) และเขาก็วางแผนจะซิ่วด้วย (เหมือนเราเลย เราก็ไม่ติดปีนั้น ฮ่าๆๆๆ) เราจึงหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมา และเริ่มลงมือเขียน
เคยเขียนการ์ดอวยพรถึงคนที่เคยเกลียดมากๆไหม ? ตอนนั้นจำได้ว่ามันยากน่าดู เพราะทุกครั้งที่เราคิดถึงเขา เราจะรู้สึกละอายใจ สุดท้าย...เราก็จะเสียใจ
ตอนหลัง เราก็เขียนจนได้
“แก...เราขอโทษนะที่เคยด่าแกเสียๆหายๆ เคยพูดจาไม่ดีใส่ เคยทำอะไรชั่วๆใส่สารพัด ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำมันแย่แค่ไหน เราขอโทษจริงๆ ตอนนั้นเราคงเป็นคนเลวมากเลยล่ะ แกจะซิ่วหมออีกปีใช่ไหม? งั้นเราก็ขอให้แกสมหวังนะ เราเองก็จะซิ่วเหมือนกันสู้ๆ และพยายามด้วยกันนะ ปีนี้จะต้องเป็นปีของเรา”
ตอนงานปัจฉิมมันวุ่นวายมาก เราหาเขาไม่เจอ สุดท้ายเราเลยฝากเพื่อนของเขาให้เอาไปให้ เย็นวันนั้นเอง เขาทักแชทเฟสมาหาเรา
“มอส ขอบคุณสำหรับของขวัญน่ะ เค้าได้รับมันแล้ว ยังไงก้อขอให้ได้คณะที่ใฝ่ฝันไว้น่ะ อะไรที่มันผ่านไปก้อลืมไปให้หมด เริ่มต้นใหม่กันเนอะ มีไรก้อทักมาน๊าา ทางนี้ก้อมีคนซิ่วเหมือนกัน 5555”
แชร์ประสบการณ์ เคยทำให้ตัวเองเสียใจเรื่องอะไรมากที่สุดในชีวิต
1) เคยไหม...ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต คุณลืมว่าตัวเองเป็นใคร และยังลืมว่าคนรอบตัวของคุณเป็นใคร
ตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ใหญ่ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเราเลย คือ การย้ายจากม.3 เข้าม.4 โรงเรียนใหม่ ตอนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้จักการว้าก และการรับน้อง อะไรๆก็ตามในตอนนั้นมันดูใหม่สด และน่าตื่นเต้น ชวนให้ค้นหาไปเสียหมด เราอยากจะลองนั่นลองนี่ไปเสียทุกเรื่อง
วันนั้นรุ่นพี่พาเรากับเพื่อนๆไปรับน้องที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เราเล่นฐานแต่ละฐานที่เขาจัดกันไปเรื่อยๆ โดยแบ่งกันเป็นกลุ่มๆ จนกระทั่งมาถึงฐานฐานหนึ่ง เราจำได้ชัดเจนเลยว่า พอไปถึง พี่ๆเขาก็เข้ามายืนล้อมเรากับเพื่อนๆในกลุ่ม และก็เข็นกล้วยหอมลังใหญ่มา พี่เขาให้เด็กผู้ชายยืน และเอากล้วยจุ่มนมข้น จากนั้นก็เอาให้พวกเขาถือกล้วยไว้ตรงตำแหน่งเป้า และพี่เขาก็เรียกให้พวกเราเด็กผู้หญิงมา คุกเข่าลงไป และก้มลงเลียนมข้นจากกล้วยเหล่านั้น
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเด็กน้อยอายุสิบห้าปีที่เพิ่งถูกว้ากมาหมาดๆ และกำลังถูกรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งสั่งให้ทำตามคำสั่ง ลองถามตัวเองดูว่า...คุณจะทำอย่างไร
นั่น คือ สิ่งที่เราทำทั้งหมดเลยหลังจากที่เราถูกรุ่นพี่สั่งให้ทำแบบนั้น เรายืนนิ่ง คิด...เฮ้ย แบบนี้มันไม่ถูกนี่นา ผิด! ผิดสิ! มันผิดมากๆเลย ไม่ว่าพิจารณาในแง่ไหนมันก็ผิด ! เรามองเพื่อนค่อยๆคุกเข่าลงไปทีละคน และรุ่นพี่ข้างๆเราก็พูดขึ้นมาว่า “ทำสิ ใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าไม่ทำ คือ น้องไม่รักเพื่อนนะ”
และเราก็ทำตามที่พี่เขาสั่งในที่สุด
นมข้นรสหวานอย่างที่ใครๆก็ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่รสน้ำตาในหัวใจนั้นยังขมขื่นในใจเราตราบจนเวลาเฝ้าเวียนผ่านไป
เราลองไปถามเพื่อนหลายๆคนดูหลังจากเหตุการณ์คราวนั้น...พวกแก รู้สึกเป็นไงบ้าง...คำตอบที่ได้ช่างหลากหลายเหมือนเฉดสีที่อยู่ในใจมนุษย์ ...สนุก ตลก เฉยๆ ใครๆก็ทำกันเป็นเรื่องปรกติ โคตรเสียวเลยว่ะ หยะแหยงอ้ะ... มากมายจริงๆ
ตอนนั้นเราจำได้ว่า เราโกรธทุกคนเลยที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำแบบนี้ เราประณามอย่างเปิดเผยความรู้สึกว่า การกระทำแบบนั้นเป็นการกระทำที่ต่ำช้ามากๆ ดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สุดๆ รุ่นพี่ของเราคนนึงเคยบอกว่า “อมกล้วยไม่ผิดอะไรสักหน่อย เดี๋ยวพอเข้ามหาลัยน้องก็ต้องโดนรับน้องแบบนี้นะ” (อ่านถึงตอนนี้โปรดระลึกไว้ ว่ารุ่นพี่คนนั้นแก่กว่าเราปีเดียว และอายุเพียงสิบหกปี) เรายัวะขึ้นมาเลยสวนกลับไปว่า “ถ้าแม่พี่เข้าทำงาน และถูกคนที่ที่ทำงานจัดให้อมกล้วยบ้าง โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการรับน้องกระชับมิตรล่ะ จะรู้สึกยังไงบ้าง”
ความโกรธของเราแผดเผาและลามเลียจนเหมารวมสถาบันทุกอย่างที่มีลักษณะ Conservative หรือว่า SOTUS ว่าเป็นสถาบันที่ต่ำช้ามาก มีนิดเดียวก็พอให้เราเกลียดถึงกระดูกดำเสียแล้ว
หนึ่งปี...สองปี...สองปีกว่าๆ ทุกครั้งที่เราคิดถึงเรื่องนั้นทีไร เราจะโกรธ...ไม่ได้โกรธรุ่นพี่หรือว่าโกรธเพื่อน โกรธระบบ แต่โกรธความเยาว์วัยของตนเอง โกรธที่ตอนนั้นตนเองไม่กล้าทำสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง ไม่กล้าหันหลังให้ และเดินจากไป โกรธที่ทุกครั้งที่เราคิดถึงเรื่องนี้ทีไร เราจะถูกทำร้ายด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเองทุกครั้ง
เราพยายามทำแคมเปญ รณรงค์ต่อต้าน SOTUS ต่อต้านการว้าก ไปชักชวนเพื่อน รุ่นน้อง และใครต่อใครให้ยกเลิกการว้าก พวกคนที่เห็นด้วยกับเรามีน้อยมาก และตอนนั้นเราก็เสียใจบอบช้ำอยู่กับการคาดหวังอยู่นาน พอได้สติขึ้นมา เราถึงเพิ่งรู้ว่า “เราลืมว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่”
เราลืมว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ณ ตอนนั้น คือ “การยัดเยียดสิ่งที่ตนเอง “คิดว่าดี” ให้ผู้อื่น” ได้แก่การต่อต้านว้าก การเกลียดคนทุกคน และทุกสถาบันแบบเหมารวม ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “ยัดเยียดความคิด และการละลายพฤติกรรม” แบบที่การว้ากทำเลย เราถึงเพิ่งรู้ว่า
คนทำสิ่งที่ตนเองคิดว่า “ถูกต้อง” นั้นน่ากลัวกว่าการทำชั่วมากนัก เพราะ คนที่ทำแบบนั้นจะทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะคิดว่า ส่งที่ตนเองทำอยู่มันดีจริงๆโดยปราศจากความสงสัยเลยสักนิด และคนแบบนี้นี่เอง ที่น่ากลัว เพราะใครห้ามก็ไม่ฟัง มีแต่จะถลำลึกเข้าไปยิ่งขึ้น
เราไม่ได้ต้องการจะบอกว่าการรับน้องแบบนั้นมันผิดหรือว่าถูก อันนี้ขอให้แต่ละคนพิจารณาตามความเห็นสมควรของตัวเอง แต่เราอยากจะบอกว่าสิ่งที่เราพยายามทำ มันไม่ได้ถูกต้องไปเสียทั้งหมด แม้ว่าตอนนั้นเราจะลงมือทำด้วยความปรารถนาดีก็ตาม บางครั้งความหวังดีที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดเป็นผลร้ายได้
เราจึงได้ตระหนักว่า ความโกรธนี้ได้ทำลายหัวใจของเราเองด้วย มันทำให้เราลืมว่า “คนอื่นๆเป็นใคร” ซึ่งแท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็น “มนุษย์” เหมือนเรา มาจากครอบครัวที่แตกต่างหลากหลาย ดังนั้นจึงมีทัศนคติในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน
แล้วทำไมจู่ๆเราถึงเพิ่งรู้ตัว ?
สติของเรากลับคืนมาหลังจากวันนึงที่เราถูกนักเลงหัวโจก ในห้องหาเรื่อง (เขาเป็นผู้ชาย สูงแค่ร้อยหกสิบกว่าเซ็น) เราจำได้ว่ามีเพื่อนคนนึงในห้อง เราเกลียดมันมากเพราะมันเป็นหัวหน้าพี่ว้าก แต่ตอนที่เราถูกหาเรื่อง มันกลับเป็นคนที่เข้ามาช่วยเรา ตอนนั้นเรารู้สึกขอบคุณมันมาก จนกระทั่งรู้สึกละอายใจ เมื่อเราจำได้ว่าแต่ก่อนนั้น เราเคยเกลียดมันแค่ไหน
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราระลึกได้ว่า คนหนึ่งคนมีหลายแง่มุมหลายมิติในตัวเอง การที่เราตัดสินเขาว่า “ไอ้หมอนี่มันชอบการว้าก มันชอบ SOTUS นะ” ก็ทำให้เราเกลียดเขาไปเลย ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เขาก็มีข้อดีในแบบของเขาเหมือนกัน แต่เราดันมองไม่เห็นเพราะทุกครั้งที่เราเห็นเขา เราจะมองเห็นแต่ “พี่ว้าก” ในตัวของเขาเสียก่อน
พอเราเติบโตขึ้น เราจึงได้สรุปบทเรียนไว้กับตัวเองว่า คนเราต้องกล้าหาญในสิ่งที่ตนเองคิด และกล้าเลือกเส้นทางที่เราคิดว่ามันถูกต้อง แต่ต้องไม่ลืมว่า ระหว่างทางที่เดินนั้นยังมีอะไรหลายๆอย่างที่มีหลากหลายแง่มุมให้พิจารณา หากว่าคุณหยิบก้อนหินธรรมดาๆหนึ่งก้อนขึ้นมา และโยนมันทิ้งไป มันก็จะเป็นแค่ “ก้อนหินธรรมดาๆ” ตามที่คุณตัดสิน แต่หากคุณถือมันไว้ในมือให้นานกว่านี้สักเล็กน้อย และมองดูมันอย่างระมัดระวัง คุณจะเห็นว่า ยิ่งพิศดูมากเท่าไรก็จะยิ่งเห็นว่ามันไม่ใช่แค่ก้อนหินกลมๆธรรมดา แต่ยังมีหลายเหลี่ยมหลากเงา มีหลากหลายเฉกสีจากแร่ธาตุที่ต่างชนิดกัน
ณ วินาทีที่เราคิดได้แบบนั้น เด็กน้อยอายุสิบห้าปีที่เคยเจ็บปวดด้วยความสมเพชตนเองเมื่อถูกสั่งให้คุกเข่าลงอมกล้วยวันนั้น และเด็กน้อยที่เคยกราดเกรี้ยวมองทุกอย่างด้วยสายตาตัดสิน ก็ได้เติบโตเป็นเด็กอีกคนหนึ่งที่มองโลกใบเดิมด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป
โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าตัวเรามากนัก และจักรวาลก็กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่านั้น ทุกสิ่งล้วนมีกระบวนการ และครรลองในการดำเนินไปของมันเอง การคิดจะสวนกระแสไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณคิดว่าสิ่งใดที่มันผิด ไม่ถูกต้อง คุณก็มีสิทธิ์ที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องความคิดของตนเอง คุณมีสิทธิ์ที่จะลงมือทำให้เต็มที่เพิ่งสิ่งนั้น แต่คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะสามารถกำหนดได้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นเช่นไร
อย่าลืมก็พอว่า แท้จริงแล้วตนเองเป็นใคร และคนอื่นเป็นใคร
พวกเราก็เป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆในโลกที่กว้างใหญ่ และจักรวาลที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าโลก
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อนะคะ มีอีก 2 ข้อที่อยากจะแชร์ค่ะ
2) เคยไหม...ที่ไม่รู้จักอะไรของคนๆนั้นเลยยกเว้น “ชื่อ” แต่กลับเอาเรื่องราวราวของเขาไปเล่าต่อมากมาย
นั่นสินะ ถ้าหันไปมองคนรอบกาย ก็จะเห็นว่าใครต่อใครก็ทำกัน เราพูดเรื่องของคนอื่นบ่อยอย่างรู้ดีอย่างกับเป็นเรื่องของคนในครอบครัว
ตัวเราเองเป็นคนช่างคุย เม้าท์เก่งสุดๆ บางครั้งพอเม้าท์เรื่องตัวเองหมดเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อไปที่จะหยิบมาเป็นประเด็นคือ เรื่องของผู้อื่น
ตอนม.ต้น เรามีเพื่อนอยู่คนนึง...เป็นคนที่เห็นแก่ตัวสุดๆ งานกลุ่มไม่เคยทำ งานห้องไม่เคยช่วย อ่านนั่นอ้างนี่ตลอดเวลาที่นัดกันมาทำงาน แถมยังชอบโกหกตลอด ว่า “คอมเสียนะ เลยหาข้อมูลไม่ได้” “ขอโทษที รถมันติดตอนเย็น เค้าเลยกลับบ้านดึก” บลาๆๆๆ มากมายเหลือเกิน
เรามารู้ความจริงทีหลังว่า...ข้ออ้างทั้งหลายแหล่นั่นมีไว้เพื่อปกปิดเรื่องที่เขาไปเรียนพิเศษจนดึก
ตอนนั้นเราเกลียดเขาเข้าไส้เลยจ้า เกลียดแบบ..เห็นหน้าเป็นต้องด่า ลับหลังเป็นต้องนินทา แบบทำนองว่า...ทำไมไม่รับผิดชอบเลยวะ? นิสัยไม่ดีสุดๆ เลวมาก และอีกหลายๆคำที่ไม่กล้าเขียนลงในนี้ ตอนนั้นเพื่อนๆในห้องก็รุมแอนตี้คนๆนั้นอีกด้วย พอตอนหลังเราจบม.ต้น และย้ายเข้าม.4 โรงเรียนใหม่ เขาก็ย้ายมาด้วย แต่เนื่องจากทั้งเราและเขาต่างก็อยู่คนละห้องกัน อาคารเรียน และคาบเรียนก็ไม่เคยชนกันจึงแทบไม่เจอหน้ากัน ตอนนั้นเราก็เริ่มมีปัญหากับเพื่อน และรุ่นพี่เนื่องจากมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องระบบ SOTUS ในสังคม ตอนนั้นเรายังเด็ก...การแสดงออกจึงก้าวร้าวเหมือนลูกแมวที่ขู่ฟ่อใส่คนที่มาเหยียบหาง สุดท้าย...ด้วยความคิดที่แตกต่างของเรา เราจึงตกเป็นคนที่โดนเพื่อนๆรุมแอนตี้บ้าง เราจึงเริ่มตั้งคำถามในใจว่า “เฮ้ย เราเคยไปเผาบ้านคนพวกนี้เหรอ หรือว่าเราทำอะไรที่เลวร้ายมากไปกว่าการไม่เห็นด้วยกับระบบ และสิ่งที่พวกนั้นเอาเราไปนินทา พวกเขารู้อะไรเกี่ยวกับเราจริงๆมากไหม ยกเว้นชื่อของเรา”
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เราโตขึ้น และเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในสังคมใหม่ได้ เรื่องราวของเขาก็แว่วเข้าหูเรามาอีกครั้ง เราเพิ่งรู้ทีหลังว่าครอบครัวของเขากดดันเขาให้เรียนๆๆๆๆๆ ลูกต้องเป็นหมอนะ ต้องสอบได้ที่หนึ่งนะ ต้องนั่นนู่นนี่นะ ถ้าไม่ได้เป็นหมอก็ต้องเป็นวิศวะอันดับสองเลยนะ ต้องสอบติดสถาบันดังๆนะ ต่างๆนานามากมาย
ตอนนั้นเรารู้สึกผิดมาก...ช่วงเวลาที่เราได้ห่างกันไปทำให้ความเกลียดชังของแต่ละฝ่ายเบาบางลง เราเจอกันทีไรอย่างน้อยสุดก็มียิ้มๆ และพยักหน้าให้กันบ้าง แต่ทุกครั้งที่ทำแบบนั้น เราจะรู้สึกผิดอยู่ในใจเสมอ
พอถึงวันงานปัจฉิมม.6 เราก็ทำการ์ดปัจฉิมให้เพื่อนๆ รุ่นน้อง และคุณครูบางท่าน ทำไปเกือบร้อยใบ และตอนที่กระดาษเหลือจวนจะแผ่นสุดท้ายนั้น เราก็คิดถึงเขาขึ้นมา เรารู้ข่าวว่าเขาสอบไม่ติดหมอตามที่ครอบครัววาดหวังไว้(เขาจะวาดหวังไว้อย่างนั้นด้วยหรือเปล่าเราก็ไม่รู้) และเขาก็วางแผนจะซิ่วด้วย (เหมือนเราเลย เราก็ไม่ติดปีนั้น ฮ่าๆๆๆ) เราจึงหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมา และเริ่มลงมือเขียน
เคยเขียนการ์ดอวยพรถึงคนที่เคยเกลียดมากๆไหม ? ตอนนั้นจำได้ว่ามันยากน่าดู เพราะทุกครั้งที่เราคิดถึงเขา เราจะรู้สึกละอายใจ สุดท้าย...เราก็จะเสียใจ
ตอนหลัง เราก็เขียนจนได้
“แก...เราขอโทษนะที่เคยด่าแกเสียๆหายๆ เคยพูดจาไม่ดีใส่ เคยทำอะไรชั่วๆใส่สารพัด ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสิ่งที่เราทำมันแย่แค่ไหน เราขอโทษจริงๆ ตอนนั้นเราคงเป็นคนเลวมากเลยล่ะ แกจะซิ่วหมออีกปีใช่ไหม? งั้นเราก็ขอให้แกสมหวังนะ เราเองก็จะซิ่วเหมือนกันสู้ๆ และพยายามด้วยกันนะ ปีนี้จะต้องเป็นปีของเรา”
ตอนงานปัจฉิมมันวุ่นวายมาก เราหาเขาไม่เจอ สุดท้ายเราเลยฝากเพื่อนของเขาให้เอาไปให้ เย็นวันนั้นเอง เขาทักแชทเฟสมาหาเรา
“มอส ขอบคุณสำหรับของขวัญน่ะ เค้าได้รับมันแล้ว ยังไงก้อขอให้ได้คณะที่ใฝ่ฝันไว้น่ะ อะไรที่มันผ่านไปก้อลืมไปให้หมด เริ่มต้นใหม่กันเนอะ มีไรก้อทักมาน๊าา ทางนี้ก้อมีคนซิ่วเหมือนกัน 5555”