เรื่อง แม่ยิ่ง ของฉัน
บทความเขียน โดย วิวัย จิตต์แจ้ง
วันแม่ปีนี้ มีหลายๆคนได้กอดแม่ ได้บอกรักแม่ ได้พาแม่ไปทานอาหารพาแม่ไปเที่ยว.... แต่มีหลายคนและ บางคนใจหายเหงาเศร้าหว้าเหว่ขาดที่พักพิงและความอบอุ่นทางจิตใจ คิดถึงตอนนอนตักอุ่นๆ ของแม่ เพราะแม่อันเป็นที่รัก ได้จากเราไปแล้ว.. ลาลับไม่มีวันกลับ..ชั่วนิจนิรันดร.. แม่จ๋า แม่,,, แม่อยู่ไหน..? แม่ครับ แม่อยู่ไหน...?.
วันแม่ หรือวันใดๆกอดแม่ เถอะครับ ก่อนจะ ไม่มีแม่ให้กอด ความอบอุ่นใดๆ ในโลกนี้ไม่มีเทียบเทียมอกแม่ ของเราทุกๆคนครับ
วันนี้เป็นวันมงคลในเทศกาลวันแม่แห่งชาติ ผมวิวัย จิตต์แจ้ง มาร่วมรำลึกคิดถึงแม่กันครับ เขียนเล่าถึงแม่ แม่ชื่อ ยิ่ง จิตต์แจ้ง เป็นชาว จังหวัดตรัง ช่วงปลายชีวิตของท่านย้ายมาอยู่ที่ลาดพร้าว กรุงเทพฯ หลายปี และท่านก็สิ้นบุญไปนานแล้ว ปีนี้พ.ศ 2559 นี้ ถ้าแม่ มีชีวิตอยู่ ก็จะมีอายุครบ 100 ชาตกาล พอดี จึงต้องเขียนบันทึกนี้ไว้
แม่ยิ่ง จิตต์แจ้ง เกิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2459 ท่านจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2529 ศิริอายุ 71 ปี
ขอย้อยเวลาหาอดีตทับเที่ยง บ้านที่จังหวัตตรังเมื่อ 50 ที่แล้วครอบครัวจิตต์แจ้ง คุณพ่อคุณแม่ เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ดัง ดำเนินธุระกิจต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2480 สร้างและเปิดโรงหนังโรงแรกของจังหวัดตรังชื่อว่าทับเที่ยงภาพยนตร์ และมาเปิดเพิ่มใหม่อีกชื่อ โรงหนังคิงส์ตรัง ทำงานต่อเนื่องเป็นอาชีพหลายปี จนหมดยุคไปตามกาลเวลา ที่บ้านยังเปิดร้านขายเครื่องเสียงและวิทยุอีกด้วย “ ชื่อร้านไทยนำพานิช”
ทั้งหมดนี้แหละครับธุรกิจใหญ่พอสมควร แม่เป็นคนดูแลระบบการเงินทั้งหมด เรื่องนับเงินเก็บเงินอยู่ที่แม่คนเดียว โดยเก็บเงินไว้ที่ตู้เซฟอยู่ในบ้านกุญแจแม่ถือ เรื่องขายตั๋วโรงหนัง รายได้ อยู่ที่แม่ทั้งหมดทั้งทำบัญชีรายรับรายจ่ายเอง แม่เป็นเจ้าของโรงหนังตั้งแต่ แม่มีอายุ เพียง 21 ปี จึงมีทักษะและความชำนาญ หลังจากแต่งงานกับคุณพ่อคือ คุณเว้ง จิตต์แจ้ง พอเริ่มมีลูกก็มาเปิดโรงหนัง แม่ ช่วยงานคุณพ่อซึ่งเป็นผู้บริหารงาน แม่ ทำมาหากินด้วยความ วิริยะอุตสาหะ ตั้งมั่น สู้อดทนส่งเสียเลี้ยงลูกหลายคนจนจบ ประสพความสำเร็จทุกคน นี่คือ
พระคุณแม่ ที่มีต่อครอบครัวมีต่อลูกๆ แม่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ที่โรงภาพยนตร์ แม่ต้องตื่นแต่เช้าและนอนดึก อาจมีผลทางสุขภาพแต่แม่แม่ขยันทำงานเคียงข้าง คุณพ่อ สู้ไม่เคยบ่น ให้ลูกได้ยินสักคำเดียว
พ่อกับแม่ส่งลูกๆมาเรียนหนังสือกรุงเทพฯกันหมดพี่ๆมาตั้งแต่เด็กๆผู้ที่ช่วยแม่ทำงานโรงหนังเป็นหลัก มี ผมวิวัย จิตต์แจ้ง กับน้องชาย ชื่อน้อย ช่วยงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายทุกเรื่อง ฯลฯ
ครอบครัวเราสร้างบ้านพักเป็นตึกสูง 4 ชั้นอยู่กลางเมืองทับเที่ยงสร้างอย่างดีแบบรู่นโบราณคลาสสิกสวยงามตึกสีเหลือง ที่ตรังเขาเรียกตึกเหลืองใครๆก็รู้ว่าเป็น บ้านเจ้าของโรงหนัง แต่ปัจุบันไม่มีแล้วไฟไหม้หมด เหลือแต่เรื่องเล่าเก่าๆ ให้คิดถึงกันเท่านั้น ภาพถ่ายที่ยังพอมี
สิ่งที่ผมประทับใจจำมิรู้ลืม เรื่องของแม่ยิ่ง คืออะไร?.... ติดตามกันครับ
ตอนเสียงเรียกจากดวงใจคือแม่
ที่บ้านตึก 4 ชั้นมีช่องระบบระบายอากาศอย่างดี เช้าๆจะได้ยินเสียงแม่ยิ่งเรียก ปลุก แถบทุกเช้าโดยเฉพาะตอนปิดภาคเรียน เมื่อลูกวัยน้อย นอนตื่นสายบ่อยๆ เพราะนอนดึกไปดูหนังทุกคืน
“วัย น้อย ตื่นได้แล้ว ตื่นๆๆๆ เสียงแม่ เรียกดังขึ้นมา บางทีผมกำลังนอนสบายๆ บางทีก็แกล้งทำเป็น ไม่ได้ยินเสียงแม่ เสียนิ.. วัยน้อย
คราวนี้ได้ยินเสียง ตะโกน ดังๆอาว กลาย เป็นเสียงป่าป๋า วัย.. วัยน้อย.. ตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง ลงมามาด่วนเสียงดังชัดๆ วัยน้อยรีบตอบรับ ครับยาวๆ ทันที กลัวพ่อ ผมรียกพ่อว่า ป่าป๋า เรียก แม่ ม่าม้า มา ตลอด ตั้งแต่เกิดและจำความได้
วัยกับน้อย กูรีกูจอ ต้องรีบตื่นอาบน้าล้างหน้าอย่างรวดเร็ว รีบลงมาหาแม่ทันที สปีด ๆ ด้วยความเร็วแทบวิ่ง
ไม่มีอะไรครับ แม่ยิ่ง ท่านติดกาแฟ ต้องหาทานทุกวันเช้าๆไม่เคยขาดวันละ2รอบ เช้า บ่าย บางวันแถมรอบค่ำด้วยถ้าหนังดีๆมาฉาย นี่ละแม่ยิ่ง ของผม สุดยอด เสียงแม่บอกให้หยิบเงินบนโต๊ะอาหาร แม่จะวางให้ไว้ทุกวัน “เสียงแม่ยิ่ง พูดน่ารักครับ ยังฝังใจผม ทุกวันนี้ “ แม่ พูดว่าอย่างไร? ติดตามต่อครับ”
“วัยเอาตังไปซึ้อกาแฟร้อนๆ แม่ย้ำว่า เอากาแฟดำ ให้เขา ชงแก่ๆหวานๆ อร่อยๆๆ นะ วัย “ “ ผมตอบครับแม่”
“ไป ลูก ซื้อร้านมิ่งกง เอาขนมจีบเหลือง และซาลาเปาด้วยมาให้ ป่าป๋า”
และซี้อโจ๋กมาด้วยพร้อมปาต๋องโก๋ ที่ตรังเขาเรียกโกปีออ หรือโอยั๊วคือกาแฟดำ แบบใช้ถุงชง กาแฟเขาช่องแบบโบราณขั้วขายสดๆ ทุกวัน
ปาตองโก๋เรียกจาวโกย วัยน้อย ไปสั่งอย่างนี้ทุกเช้า ที่เมืองทับเที่ยงแถมถือเอาขวดแม่โขงไปใส่กาแฟที่ร้านมิ่งกง ปัจจุบันปิดไปแล้วร้านนี้
แม่ยิ่งนอกจากทำงานเก่งแล้ว มีฝีมือปรุงอาหารอร่อย เช่น แกงคั่วพริก แกงส้ม แกงไตปลา และเก๋ายุค อาหารของมืองตรังที่ ขี้นชื่อหรือ ผัดหมี่ฮอกเกี่ยน ฝีมือแม่ อร่อยมากๆ เวลาไปตลาดผมจะไปกับแม่ทุกครั้ง
ชีวิตจึงผูกพันกับแม่มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ที่ผ่านมาผมจึงรู้ถึงความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อเรา ถึงจะโตเป็นหนุ่มแล้ว แม่ก็ยังดูเราเป็นเด็ก
และวันหนึ่งสิ่งที่ผมไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นเร็ว วันที่เสาหลักอย่างแม่ไม่มีให้เราได้พักพิงอีกแล้ว เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตเราไป แม่ป๋วย พี่ๆส่ง
แม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท วันที่ 17 กย 2529 ผมไปนอนเฝ้าแม่2
คืนคือ 17- 18 กลางคืนดูแม่ดีขึ้นบ้าง วันที่ 19 กย 29 เช้า ผมไปทำงานหมอมารับแม่ไปแต่เช้า จำได้ว่าจับมือแม่ไว้ หารู้ไม่ว่า เป็นการจับมือแม่
ครั้งสุดท้าย จะไม่มีโอกาสพบกันอีกแล้วชาตินี้ ต้องจากกันชั่วนิจนิรันดร ชีวิตแม่จบลงแล้วท่านจากไปอย่างสงบ ตรงกับวันที่ 19 ก.ย 29
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมไม่เคยคิดถึงความพลัดพราก ไม่เคยคิดว่า
แม่ต้องมาตายจากเราไป วันที่เราต้องสูญเสียมารดาคือแม่ผู้ให้กำเนิด
คนที่เรารักที่สุดคือแม่คนทีรักเราห่วงใยเรา ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว จำได้ว่า
แม่ชอบกุหลาบสีชมพูและดอกมะลิ ก่อนเขียนบทความนี้น้ำตาไหลพรากน้ำตาแห่งความอาลัยคิดถึงแม่ ผมไป ซื้อดอกกุหลาบและ ดอกมะลิ สีขาวบริสุทธิ์ มากราบไหว้ แม่ยิ่ง จิตต์แจ้ง
อธิษฐานบอกแม่ว่า เนื่องในโอกาสวันแม่ 12 สค 59 นี้ ถ้าแม่ฟังอยู่ ดูอยู่ ไม่ว่าแม่จะ
อยู่ไหนที่ใดภพภูมิใด หรือมิติในโลกของแม่ ที่เราไม่อาจรู้ได้ ให้แม่ได้รับรู้ว่าลูกๆทุกคนของแม่ รักแม่คิดถึงแม่ ให้แม่ส่งจิตกลับมา ด้วยญาณ อะไรก็ตาม ให้แม่รับรู้ว่าบทความนี้ตั้งใจ เขียนถึงแม่ด้วยดวงใจ รักแม่ จากลูก วิวัย จิตต์แจ้ง
ใครหนอ.....รักเราเท่าชีวี ใครหนอ.... ปราณีไม่มีเสื่อมคลาย..
ใครหนอ....รักเราใช่เพียงรูปกาย รักเขาไม่หน่าย...
ไม่คิดทำลาย ..... ใครหนอ.....
ใครหนอ...... รักเราเท่าทรวงใน ใครหนอ...เอาใจปลอบเราเรื่อยมา
ใครหนอ....รักเราเท่าดวงแก้วตา รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ
จะเอาโลกมาทำปากกา.. และเอานภา... มาแทนกระดาษ
เอาน้ำหมด.. มหาสมุทร แทน หมึกวาด ประกาศพระคุณ ไม่พอ
ใครหนอ.. รักเราเท่าชีวัน...ๆ ใครหนอ.... ใครกันให้เรา ขี่คอ..
.คุณพ่อ... คุณแม่...
ใครหนอ.... ชักชวนดูหนังสี่จอ.... รู้แล้วละก็
อย่ามัวรั้นรอ ..... ทดแทน ..บุญคุณ
เรื่องแม่ของฉัน
บทความเขียน โดย วิวัย จิตต์แจ้ง
วันแม่ปีนี้ มีหลายๆคนได้กอดแม่ ได้บอกรักแม่ ได้พาแม่ไปทานอาหารพาแม่ไปเที่ยว.... แต่มีหลายคนและ บางคนใจหายเหงาเศร้าหว้าเหว่ขาดที่พักพิงและความอบอุ่นทางจิตใจ คิดถึงตอนนอนตักอุ่นๆ ของแม่ เพราะแม่อันเป็นที่รัก ได้จากเราไปแล้ว.. ลาลับไม่มีวันกลับ..ชั่วนิจนิรันดร.. แม่จ๋า แม่,,, แม่อยู่ไหน..? แม่ครับ แม่อยู่ไหน...?.
วันแม่ หรือวันใดๆกอดแม่ เถอะครับ ก่อนจะ ไม่มีแม่ให้กอด ความอบอุ่นใดๆ ในโลกนี้ไม่มีเทียบเทียมอกแม่ ของเราทุกๆคนครับ
วันนี้เป็นวันมงคลในเทศกาลวันแม่แห่งชาติ ผมวิวัย จิตต์แจ้ง มาร่วมรำลึกคิดถึงแม่กันครับ เขียนเล่าถึงแม่ แม่ชื่อ ยิ่ง จิตต์แจ้ง เป็นชาว จังหวัดตรัง ช่วงปลายชีวิตของท่านย้ายมาอยู่ที่ลาดพร้าว กรุงเทพฯ หลายปี และท่านก็สิ้นบุญไปนานแล้ว ปีนี้พ.ศ 2559 นี้ ถ้าแม่ มีชีวิตอยู่ ก็จะมีอายุครบ 100 ชาตกาล พอดี จึงต้องเขียนบันทึกนี้ไว้
แม่ยิ่ง จิตต์แจ้ง เกิด เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2459 ท่านจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2529 ศิริอายุ 71 ปี
ขอย้อยเวลาหาอดีตทับเที่ยง บ้านที่จังหวัตตรังเมื่อ 50 ที่แล้วครอบครัวจิตต์แจ้ง คุณพ่อคุณแม่ เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ดัง ดำเนินธุระกิจต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2480 สร้างและเปิดโรงหนังโรงแรกของจังหวัดตรังชื่อว่าทับเที่ยงภาพยนตร์ และมาเปิดเพิ่มใหม่อีกชื่อ โรงหนังคิงส์ตรัง ทำงานต่อเนื่องเป็นอาชีพหลายปี จนหมดยุคไปตามกาลเวลา ที่บ้านยังเปิดร้านขายเครื่องเสียงและวิทยุอีกด้วย “ ชื่อร้านไทยนำพานิช”
ทั้งหมดนี้แหละครับธุรกิจใหญ่พอสมควร แม่เป็นคนดูแลระบบการเงินทั้งหมด เรื่องนับเงินเก็บเงินอยู่ที่แม่คนเดียว โดยเก็บเงินไว้ที่ตู้เซฟอยู่ในบ้านกุญแจแม่ถือ เรื่องขายตั๋วโรงหนัง รายได้ อยู่ที่แม่ทั้งหมดทั้งทำบัญชีรายรับรายจ่ายเอง แม่เป็นเจ้าของโรงหนังตั้งแต่ แม่มีอายุ เพียง 21 ปี จึงมีทักษะและความชำนาญ หลังจากแต่งงานกับคุณพ่อคือ คุณเว้ง จิตต์แจ้ง พอเริ่มมีลูกก็มาเปิดโรงหนัง แม่ ช่วยงานคุณพ่อซึ่งเป็นผู้บริหารงาน แม่ ทำมาหากินด้วยความ วิริยะอุตสาหะ ตั้งมั่น สู้อดทนส่งเสียเลี้ยงลูกหลายคนจนจบ ประสพความสำเร็จทุกคน นี่คือ
พระคุณแม่ ที่มีต่อครอบครัวมีต่อลูกๆ แม่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ที่โรงภาพยนตร์ แม่ต้องตื่นแต่เช้าและนอนดึก อาจมีผลทางสุขภาพแต่แม่แม่ขยันทำงานเคียงข้าง คุณพ่อ สู้ไม่เคยบ่น ให้ลูกได้ยินสักคำเดียว
พ่อกับแม่ส่งลูกๆมาเรียนหนังสือกรุงเทพฯกันหมดพี่ๆมาตั้งแต่เด็กๆผู้ที่ช่วยแม่ทำงานโรงหนังเป็นหลัก มี ผมวิวัย จิตต์แจ้ง กับน้องชาย ชื่อน้อย ช่วยงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายทุกเรื่อง ฯลฯ
ครอบครัวเราสร้างบ้านพักเป็นตึกสูง 4 ชั้นอยู่กลางเมืองทับเที่ยงสร้างอย่างดีแบบรู่นโบราณคลาสสิกสวยงามตึกสีเหลือง ที่ตรังเขาเรียกตึกเหลืองใครๆก็รู้ว่าเป็น บ้านเจ้าของโรงหนัง แต่ปัจุบันไม่มีแล้วไฟไหม้หมด เหลือแต่เรื่องเล่าเก่าๆ ให้คิดถึงกันเท่านั้น ภาพถ่ายที่ยังพอมี
สิ่งที่ผมประทับใจจำมิรู้ลืม เรื่องของแม่ยิ่ง คืออะไร?.... ติดตามกันครับ
ตอนเสียงเรียกจากดวงใจคือแม่
ที่บ้านตึก 4 ชั้นมีช่องระบบระบายอากาศอย่างดี เช้าๆจะได้ยินเสียงแม่ยิ่งเรียก ปลุก แถบทุกเช้าโดยเฉพาะตอนปิดภาคเรียน เมื่อลูกวัยน้อย นอนตื่นสายบ่อยๆ เพราะนอนดึกไปดูหนังทุกคืน
“วัย น้อย ตื่นได้แล้ว ตื่นๆๆๆ เสียงแม่ เรียกดังขึ้นมา บางทีผมกำลังนอนสบายๆ บางทีก็แกล้งทำเป็น ไม่ได้ยินเสียงแม่ เสียนิ.. วัยน้อย
คราวนี้ได้ยินเสียง ตะโกน ดังๆอาว กลาย เป็นเสียงป่าป๋า วัย.. วัยน้อย.. ตื่นได้แล้วจะนอนกินบ้านกินเมืองหรือไง ลงมามาด่วนเสียงดังชัดๆ วัยน้อยรีบตอบรับ ครับยาวๆ ทันที กลัวพ่อ ผมรียกพ่อว่า ป่าป๋า เรียก แม่ ม่าม้า มา ตลอด ตั้งแต่เกิดและจำความได้
วัยกับน้อย กูรีกูจอ ต้องรีบตื่นอาบน้าล้างหน้าอย่างรวดเร็ว รีบลงมาหาแม่ทันที สปีด ๆ ด้วยความเร็วแทบวิ่ง
ไม่มีอะไรครับ แม่ยิ่ง ท่านติดกาแฟ ต้องหาทานทุกวันเช้าๆไม่เคยขาดวันละ2รอบ เช้า บ่าย บางวันแถมรอบค่ำด้วยถ้าหนังดีๆมาฉาย นี่ละแม่ยิ่ง ของผม สุดยอด เสียงแม่บอกให้หยิบเงินบนโต๊ะอาหาร แม่จะวางให้ไว้ทุกวัน “เสียงแม่ยิ่ง พูดน่ารักครับ ยังฝังใจผม ทุกวันนี้ “ แม่ พูดว่าอย่างไร? ติดตามต่อครับ”
“วัยเอาตังไปซึ้อกาแฟร้อนๆ แม่ย้ำว่า เอากาแฟดำ ให้เขา ชงแก่ๆหวานๆ อร่อยๆๆ นะ วัย “ “ ผมตอบครับแม่”
“ไป ลูก ซื้อร้านมิ่งกง เอาขนมจีบเหลือง และซาลาเปาด้วยมาให้ ป่าป๋า”
และซี้อโจ๋กมาด้วยพร้อมปาต๋องโก๋ ที่ตรังเขาเรียกโกปีออ หรือโอยั๊วคือกาแฟดำ แบบใช้ถุงชง กาแฟเขาช่องแบบโบราณขั้วขายสดๆ ทุกวัน
ปาตองโก๋เรียกจาวโกย วัยน้อย ไปสั่งอย่างนี้ทุกเช้า ที่เมืองทับเที่ยงแถมถือเอาขวดแม่โขงไปใส่กาแฟที่ร้านมิ่งกง ปัจจุบันปิดไปแล้วร้านนี้
แม่ยิ่งนอกจากทำงานเก่งแล้ว มีฝีมือปรุงอาหารอร่อย เช่น แกงคั่วพริก แกงส้ม แกงไตปลา และเก๋ายุค อาหารของมืองตรังที่ ขี้นชื่อหรือ ผัดหมี่ฮอกเกี่ยน ฝีมือแม่ อร่อยมากๆ เวลาไปตลาดผมจะไปกับแม่ทุกครั้ง
ชีวิตจึงผูกพันกับแม่มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ที่ผ่านมาผมจึงรู้ถึงความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อเรา ถึงจะโตเป็นหนุ่มแล้ว แม่ก็ยังดูเราเป็นเด็ก
และวันหนึ่งสิ่งที่ผมไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นเร็ว วันที่เสาหลักอย่างแม่ไม่มีให้เราได้พักพิงอีกแล้ว เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตเราไป แม่ป๋วย พี่ๆส่ง
แม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท วันที่ 17 กย 2529 ผมไปนอนเฝ้าแม่2
คืนคือ 17- 18 กลางคืนดูแม่ดีขึ้นบ้าง วันที่ 19 กย 29 เช้า ผมไปทำงานหมอมารับแม่ไปแต่เช้า จำได้ว่าจับมือแม่ไว้ หารู้ไม่ว่า เป็นการจับมือแม่
ครั้งสุดท้าย จะไม่มีโอกาสพบกันอีกแล้วชาตินี้ ต้องจากกันชั่วนิจนิรันดร ชีวิตแม่จบลงแล้วท่านจากไปอย่างสงบ ตรงกับวันที่ 19 ก.ย 29
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมไม่เคยคิดถึงความพลัดพราก ไม่เคยคิดว่า
แม่ต้องมาตายจากเราไป วันที่เราต้องสูญเสียมารดาคือแม่ผู้ให้กำเนิด
คนที่เรารักที่สุดคือแม่คนทีรักเราห่วงใยเรา ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว จำได้ว่า
แม่ชอบกุหลาบสีชมพูและดอกมะลิ ก่อนเขียนบทความนี้น้ำตาไหลพรากน้ำตาแห่งความอาลัยคิดถึงแม่ ผมไป ซื้อดอกกุหลาบและ ดอกมะลิ สีขาวบริสุทธิ์ มากราบไหว้ แม่ยิ่ง จิตต์แจ้ง
อธิษฐานบอกแม่ว่า เนื่องในโอกาสวันแม่ 12 สค 59 นี้ ถ้าแม่ฟังอยู่ ดูอยู่ ไม่ว่าแม่จะ
อยู่ไหนที่ใดภพภูมิใด หรือมิติในโลกของแม่ ที่เราไม่อาจรู้ได้ ให้แม่ได้รับรู้ว่าลูกๆทุกคนของแม่ รักแม่คิดถึงแม่ ให้แม่ส่งจิตกลับมา ด้วยญาณ อะไรก็ตาม ให้แม่รับรู้ว่าบทความนี้ตั้งใจ เขียนถึงแม่ด้วยดวงใจ รักแม่ จากลูก วิวัย จิตต์แจ้ง
ใครหนอ.....รักเราเท่าชีวี ใครหนอ.... ปราณีไม่มีเสื่อมคลาย..
ใครหนอ....รักเราใช่เพียงรูปกาย รักเขาไม่หน่าย...
ไม่คิดทำลาย ..... ใครหนอ.....
ใครหนอ...... รักเราเท่าทรวงใน ใครหนอ...เอาใจปลอบเราเรื่อยมา
ใครหนอ....รักเราเท่าดวงแก้วตา รักเขากว้างกว่า พื้นพสุธา นภากาศ
จะเอาโลกมาทำปากกา.. และเอานภา... มาแทนกระดาษ
เอาน้ำหมด.. มหาสมุทร แทน หมึกวาด ประกาศพระคุณ ไม่พอ
ใครหนอ.. รักเราเท่าชีวัน...ๆ ใครหนอ.... ใครกันให้เรา ขี่คอ..
.คุณพ่อ... คุณแม่...
ใครหนอ.... ชักชวนดูหนังสี่จอ.... รู้แล้วละก็
อย่ามัวรั้นรอ ..... ทดแทน ..บุญคุณ