สวัสดีค่ะ เดี๊ยนก็ว่าอยากจะเขียนถึงประสบการณ์การคลอดธรรมชาติมานานละ จนเวลาล่วงเลยมานานนม ตอนนี้ลูกก็ 2 เดือนกับอีก 26 วันละ อิแม่กลัวจะลืมโมเม้นท์นั้นไปซะก่อน เลยอยากจะมาแชร์ให้คุณแม่ที่กำลังจะคลอดทุกคนได้อ่านกัน เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ
เริ่มจากคุยกะคุณชายเรื่องคลอดลูก บอกว่า ถ้าลูกตัวใหญ่ ไอก็จะผ่านะ กลัวเบ่งไม่ออก (สามีเป็นฝรั่ง เยอรมันเชพเพิร์ดค่ะ) ซึ่งส่วนมากฝรั่งเขาจะอยากให้คลอดเอง เพราะเหตุผลด้านสุขภาพ ความแข็งแรง บลาๆๆ อิแม่ก็คุมน้ำหนักเป็นอย่างดี กลัวจะใหญ่ตามพ่อมัน ผลคือนน. 3140 กรัมตอนคลอด เริดอยู่นะ
ท้องแรกของอิแม่ก็ชิวมาตลอด ไปทำงานทุกวันเพราะติดเมาท์มอย อยู่บ้านแล้วเหงา จนกระทั่งวันจันทร์ที่ 31 ต.ค.2559 ก็ยังไปอยู่ ขับรถเองตลอด กลับมาคืนนั้นนัดแนะคุยกะคุณชายที่อยู่เยอรมันตอนตี 2 นางกำลังจะนั่งเครื่องกลับไทย พอวางหูเสร็จ พลิกไปพลิกมาอยู่สักพัก โพล๊ะ! เสียงดังมาจากในท้อง สักพัก น้ำไหลเลอะที่นอน กรี๊ด!!! นั่นไง มันมาแว้วววว ตอนนั้นอยู่คนเดียว ดีที่เคยคุยกับเพื่อนว่าอาการมันจะเป็นแบบนี้ จึงรวบรวมสติได้ ตอนนั้นกลัวน้ำเดินเลอะที่นอน รีบเดินไปห้องน้ำ ยืนให้น้ำไหลจนหยุด ซึ่งมีก๊อกสองด้วยนะ อีนี่พลุบเข้าพลุบออกอยู่สักพัก เอาผ้ามาเช็ดน้ำที่เลอะตามพื้น จัดแจงแต่งตัว โทรหาแม่ให้มารับ เก็บของใส่กระเป๋า ซึ่ง ณ จุดนี้ ในกระเป๋าไม่มีไรเลย นอกจากผ้าอ้อม 2 ผืน เสื้อเด็ก และเครื่องปั๊มนม! พอแม่มารับไปถึงรพ.ศิริราชตอนตี 3 ครึ่งได้ ไลน์คุยกะคุณชายตลอดทางว่าถึงแร้น มิต้องเป็นห่วง ถึงสุวรรณภูมิแล้วรีบบึ่งมาเลยนะ
เมื่อถึงห้องคลอด มีหมอมาเช็คน้ำเดิน และปากมดลูกว่าเปิดกี่เซ็นฯ แล้ว อิแม่เริ่มกังวัลใจ กลัวไม่ได้หมอที่ฝากครรภ์ไว้ รีบบอกว่าจะคลอดกับอ.หมอคนนี้ พยาบาลก็โอเคร แต่ต้องใส่ซองนะ แอบกระซิบมา เรื่องนี้ก็รู้อยู่แร้น ไม่ซีของให้ชีมาเถอะ หมอเวรก็ให้ยาเร่งคลอด บอกว่าตอนนี้ปากมดลูกเปิด 2 เซ็นฯละ รอก่อน พยาบาลก็บอกว่าอีกนาน นอนรอไปเลย ตอนนั้นชิวมาก ไม่เจ็บไม่ปวด หมอเวรมาเช็คอีกที เอ๊ะ! ทำไมไม่ปวดท้องเลย เร่งยาอีก คราวนี้ล่ะ ปวดถี่ๆ ทุก 10-15 นาที จากนั้นก็ขยับเป็นทุกๆ 5 นาที ห่านนนนน!! เป็นความทรมานโคตร คือเหมือนปวดท้องเมนส์กับปวดขรี้ผสมกัน เป็นแบบนี้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ยัน บ่าย 2 ครึ่ง อิแม่ทุรนทุรายมากก มีความอยากจะเบ่งอยู่ตลอดเวลา ระหว่างนั้นพยาบาลเดินเข้ามาถามว่าจะเอายาแก้ปวดมั้ย อีแม่ก็ถามว่าได้หรอ นางว่าได้สิ แต่ไม่ได้ตอบรับอะไร จนกระทั่งหมอเวรเดินมา เลยถามถึงผลข้างเคียง นางว่า มันจะมีเอฟเฟ็คคือ ลูกจะเมายา หลับไปได้ บางรายก็อันตรายถึงขั้นไม่ตื่น หูยยยยย ใครจะเอาล่ะ ศรีทนได้ ทนวนไปข่ะ พยาบาลกลับมาอีกทีเลยบอกว่าไม่เอา กลัวผลข้างเคียง พยาบาลว่า เค้าก็ใช้กันทั้งนั้นนะ ซึ่งพอเวลาผ่านไปนานขึ้น ความปวดก็มากขึ้นๆ จนแทบทนไม่ไหว แถมยังปวดฉี่ตลอดอีก เมื่อหมอฝากครรภ์มาถึง นางถามว่าไม่ได้ยาแก้ปวดเหรอ เลยบอกว่าไม่เอาค่ะ มันมีเอฟเฟ็ค หมอบอก โอ๊ย! ใครๆ เค้าก็ใช้กัน ห่านนนน ในเมื่ออาจารย์หมอยืนยัน เริ่มอยากได้ขึ้นมาเลย ถามหมอว่า ทันมั้ยคะ หมอว่า ไม่ทันละ ต้องให้ตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 4 เซ็นฯ นี่ 8 แล้วจ้า ทนต่อไปนะ อีกนิดเดียว เอาวะ อีกนิดเดียว ตอนนั้นผมกระเซอะกระเซิงมาก จะลุกขึ้นมามัดก็ไม่ไหว ท้องค้ำอยู่ บิดไปบิดมาจนทับลูกบ้าง หมอเวรต้องเดินมาดู บอกว่าคุณแม่อย่านอนตะแครงค่ะ นอนหงายนะ เดี๋ยวลูกหายใจไม่ออก
และแล้วเวลาดีเดย์ก็มาถึง อาจารย์หมอเดินมาบอก เอาล่ะ เริ่มได้ พยาบาลจัดแจงใส่ถุงขาจับขึ้นขาหยั่ง แล้วก็รอจังหวะที่ปวดท้องแล้วให้เบ่ง เฮือกแรก อิแม่เบ่งไปเต็มที่ ฮึ้ดดดด!! “ไม่ต้องออกเสียงค่ะ!!” พยาบาลบอก ให้กดคางลงติดคอ ห้ามออกเสียง ป๊าด!! ยากมาก เบ่งอยู่นานก็ไม่ออก จนพยาบาลขึ้นมากดไล่ที่ท้อง แบบขย่มตัวโยน พยาบาลคนแรกขย่มไปจนเหนื่อย เปลี่ยนเป็นป้าพยาบาลคนที่สอง จนถึงคนที่สาม สภาพอิแม่ตอนนั้นเหมือนโดนรุมโทรม หน้ามันผมกระเซิง คือถ้ามีบริการแบบถ่ายรูป คงบอกเค้าไม่เอานะคะ เปลืองกระดาษพริ้นท์ จน อ.หมอบอกว่า เอ้าเช็ดหน้าให้คุณแม่หน่อยสิ หน้าไม่ไหวละ เอ้อ! ยังดีเนาะที่หันมาดูหน้าอิชั้นบ้าง ไม่ได้ดูแต่...อย่างเดียว พอเช็ดหน้าเช็ดตา พลังเริ่มมา เริ่มมาเบ่งอีก แต่ก็ไม่ออก เปลี่ยนจากขาหยั่งเป็นเบาะธรรมดาก็ไม่ออก หมอรอนานมาก พยาบาลก็กำลังจะลงเวร เริ่มมายืนรอกดดันกันเยอะเลย ประมาณ 6 คนได้ เตรียมอุปกรณ์ไว้รับลูกเต็มที่ แต่ไม่ออกค่ะ เนื่องจากอิแม่ไม่มีแรง ไม่ได้กินข้าว (ระหว่างรอคลอด พนักงานเอาข้าวเข้ามาวางไว้ แล้วก็มาเก็บ น้ำก็ไม่ได้กิน มองตามถาดข้าวตาละห้อย) ระหว่างนั้นเริ่มรีแลกซ์คุยเล่นกันบ้างละ ถามว่าพ่อเป็นชาวอะไร มามั้ย เลยบอกว่าเป็นเยอรมันกำลังเดินทางมาจากเยอรมันเลย ลงเครื่องตอนบ่ายสอง เดี๋ยวคงมาถึง เลยบอกหมอว่า ก่อนพ่อไป คุยกับลูกในท้องว่า รอก่อนนะ อย่าเพิ่งออกมา ได้ความดังนั้น หมอเอาเลยค่ะ “ออกมาเลยลูกไม่ต้องรอพ่อแล้ว” และเราก็มาเริ่มเบ่งกันอีกครั้ง ผ่านไปร่วมชม.ก็ได้ผล ครั้งสุดท้ายคือหมดแรงแล้วจริงๆ ถ้าไม่ออกก็ไม่ไหวละ เบ่งจนหัวออกมาปุ๊ป (ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าอะไรออกมานะ สงสัยเพราะยาชา) พยาบาลบอก หยุดเบ่งค่ะ!! หมอรีบดึงลูกออกมา ฝ่ายเวลาตกฟากรีบเร่งหมอบอก “หมอ เร็วๆๆ 15.15 เวลาดี เร็วๆ” นั่นทำให้หมอลนลาน รีบตัดเย็บสายสะดือโดยพลัน พยาบาลอุ้มลูกหันไข่และจู๋มาให้ดูว่าผู้หญิงผู้ชายคะแม่ เราก็ต้องตอบผู้ชายนะคะ ไข่เต็มหน้าขนาดนั้น จำได้ว่าเห็นลูกหน้าตางงๆ ว่าทำอะไรกัน ดึงหนูออกมาทำไม หลังชั่งนน.วัดความยาวแล้วก็เอาลูกมาให้จุ๊บให้จับอีกทีนึง อีนี่ก็เลยจับแขนไป ตัวยังเมือกๆ อยู่เลย งงทั้งแม่ทั้งลูก พยาบาลก็พาลูกไปทำความสะอาด ผูกป้ายข้อมือ ห่อตัวแล้วก็อุ้มไป ทีนี้ถึงตาอีแม่นอนแผ่หลาให้หมอเย็บฝีเย็บแบบหมดเรี่ยวแรง แขนทั้งสองข้างปวดเกร็งเหมือนไปเล่นบานาน่าโบ๊ทมาทั้งวัน รวมเวลาในการรอคลอดตั้งแต่ ตี 3.30 ถึง 15.15 เบ่งจริงจังชม.นึงเห็นจะได้ พอลูกออกมาแล้วความเจ็บปวดไม่มีเหลือ ดีที่ฉีดยาชาตรงฝีเย็บที่หมอกรีดไว้ ระหว่างเย็บฝีเย็บก็ถามหมอว่า ไม่มีบล็อกหลังคลอดธรรมชาติเหรอคะ เพราะเพื่อนที่อเมริกาบอกว่านางคลอดแบบนี้ ไม่ปวดเลย อ.หมอบอกว่าที่นี่ไม่ทำ เพราะเคยมีเคส แต่ไม่บอกว่าเคสอะไรก็ไม่ได้ถามต่อ
จากนั้นก็รอห้องพิเศษว่าง ถึงจะได้ออกไป กว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีกตั้งชม. พอพยาบาลอุ้มลูกมาวางใกล้ๆ รู้สึกว่าเป็นโมเม้นต์ที่บอกไม่ถูกจริงๆ รู้สึกพลังการปกป้องอย่างมาก อาจเพราะพยาบาลบอกว่า ระหว่างเข็นเตียงไปห้อง กอดลูกไว้นะคะ ห้ามปล่อยนะคะ (สงสัยคงกลัวใครมาวิ่งราวลูก ณ จังหวะนี้ก็เป็นได้) ระหว่างรอเข็นไปห้องพิเศษ นอกประตูอีพ่อก็มายืนรออยู่แล้ว แต่เข้ามาไม่ได้ เลยพูดขยับปากว่า ไอ คลอดเองนะ เท่านั้นล่ะ นางแฮปปี้ดี๊ด๊าใหญ่เลย ซึ่งการคลอดธรรมชาติก็ฟื้นตัวเร็วจริงๆ นะคะ อิชั้นสามารถเดินเหินได้คืนนั้นเลย แต่ติดที่สายน้ำเกลือเลย ลงมาเดินวันรุ่งขึ้น ส่วนแผลฝีเย็บก็ปวดนิดๆ เข้าห้องน้ำเองได้ อาบน้ำสระผมได้ ส่วนลูกก็แข็งแรงดี มีตัวเหลืองนิดหน่อย ประมาณ 10 วันก็หาย เพราะกินนมแม่ ตอนนั้นนมแม่เริ่มมาวัน 3 ด้วยความพยายามบีบ กระตุ้น นวด จนหัวนมแตก (อันนี้ลูกดูดผิดวิธี) เข้าคลินิกนมแม่ ไปให้พยาบาลสอนการเข้าเต้า และพาลูกไปตัดผังผืดใต้ลิ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ดูดนมไม่ดี รวมๆ แล้วอิแม่อยู่รพ. 4 วันก็กลับบ้านได้ค่ะ
ประสบการณ์การคลอดธรรมชาติ ที่อิแม่ไม่มีวันลืม!
เริ่มจากคุยกะคุณชายเรื่องคลอดลูก บอกว่า ถ้าลูกตัวใหญ่ ไอก็จะผ่านะ กลัวเบ่งไม่ออก (สามีเป็นฝรั่ง เยอรมันเชพเพิร์ดค่ะ) ซึ่งส่วนมากฝรั่งเขาจะอยากให้คลอดเอง เพราะเหตุผลด้านสุขภาพ ความแข็งแรง บลาๆๆ อิแม่ก็คุมน้ำหนักเป็นอย่างดี กลัวจะใหญ่ตามพ่อมัน ผลคือนน. 3140 กรัมตอนคลอด เริดอยู่นะ
ท้องแรกของอิแม่ก็ชิวมาตลอด ไปทำงานทุกวันเพราะติดเมาท์มอย อยู่บ้านแล้วเหงา จนกระทั่งวันจันทร์ที่ 31 ต.ค.2559 ก็ยังไปอยู่ ขับรถเองตลอด กลับมาคืนนั้นนัดแนะคุยกะคุณชายที่อยู่เยอรมันตอนตี 2 นางกำลังจะนั่งเครื่องกลับไทย พอวางหูเสร็จ พลิกไปพลิกมาอยู่สักพัก โพล๊ะ! เสียงดังมาจากในท้อง สักพัก น้ำไหลเลอะที่นอน กรี๊ด!!! นั่นไง มันมาแว้วววว ตอนนั้นอยู่คนเดียว ดีที่เคยคุยกับเพื่อนว่าอาการมันจะเป็นแบบนี้ จึงรวบรวมสติได้ ตอนนั้นกลัวน้ำเดินเลอะที่นอน รีบเดินไปห้องน้ำ ยืนให้น้ำไหลจนหยุด ซึ่งมีก๊อกสองด้วยนะ อีนี่พลุบเข้าพลุบออกอยู่สักพัก เอาผ้ามาเช็ดน้ำที่เลอะตามพื้น จัดแจงแต่งตัว โทรหาแม่ให้มารับ เก็บของใส่กระเป๋า ซึ่ง ณ จุดนี้ ในกระเป๋าไม่มีไรเลย นอกจากผ้าอ้อม 2 ผืน เสื้อเด็ก และเครื่องปั๊มนม! พอแม่มารับไปถึงรพ.ศิริราชตอนตี 3 ครึ่งได้ ไลน์คุยกะคุณชายตลอดทางว่าถึงแร้น มิต้องเป็นห่วง ถึงสุวรรณภูมิแล้วรีบบึ่งมาเลยนะ
เมื่อถึงห้องคลอด มีหมอมาเช็คน้ำเดิน และปากมดลูกว่าเปิดกี่เซ็นฯ แล้ว อิแม่เริ่มกังวัลใจ กลัวไม่ได้หมอที่ฝากครรภ์ไว้ รีบบอกว่าจะคลอดกับอ.หมอคนนี้ พยาบาลก็โอเคร แต่ต้องใส่ซองนะ แอบกระซิบมา เรื่องนี้ก็รู้อยู่แร้น ไม่ซีของให้ชีมาเถอะ หมอเวรก็ให้ยาเร่งคลอด บอกว่าตอนนี้ปากมดลูกเปิด 2 เซ็นฯละ รอก่อน พยาบาลก็บอกว่าอีกนาน นอนรอไปเลย ตอนนั้นชิวมาก ไม่เจ็บไม่ปวด หมอเวรมาเช็คอีกที เอ๊ะ! ทำไมไม่ปวดท้องเลย เร่งยาอีก คราวนี้ล่ะ ปวดถี่ๆ ทุก 10-15 นาที จากนั้นก็ขยับเป็นทุกๆ 5 นาที ห่านนนนน!! เป็นความทรมานโคตร คือเหมือนปวดท้องเมนส์กับปวดขรี้ผสมกัน เป็นแบบนี้ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ยัน บ่าย 2 ครึ่ง อิแม่ทุรนทุรายมากก มีความอยากจะเบ่งอยู่ตลอดเวลา ระหว่างนั้นพยาบาลเดินเข้ามาถามว่าจะเอายาแก้ปวดมั้ย อีแม่ก็ถามว่าได้หรอ นางว่าได้สิ แต่ไม่ได้ตอบรับอะไร จนกระทั่งหมอเวรเดินมา เลยถามถึงผลข้างเคียง นางว่า มันจะมีเอฟเฟ็คคือ ลูกจะเมายา หลับไปได้ บางรายก็อันตรายถึงขั้นไม่ตื่น หูยยยยย ใครจะเอาล่ะ ศรีทนได้ ทนวนไปข่ะ พยาบาลกลับมาอีกทีเลยบอกว่าไม่เอา กลัวผลข้างเคียง พยาบาลว่า เค้าก็ใช้กันทั้งนั้นนะ ซึ่งพอเวลาผ่านไปนานขึ้น ความปวดก็มากขึ้นๆ จนแทบทนไม่ไหว แถมยังปวดฉี่ตลอดอีก เมื่อหมอฝากครรภ์มาถึง นางถามว่าไม่ได้ยาแก้ปวดเหรอ เลยบอกว่าไม่เอาค่ะ มันมีเอฟเฟ็ค หมอบอก โอ๊ย! ใครๆ เค้าก็ใช้กัน ห่านนนน ในเมื่ออาจารย์หมอยืนยัน เริ่มอยากได้ขึ้นมาเลย ถามหมอว่า ทันมั้ยคะ หมอว่า ไม่ทันละ ต้องให้ตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 4 เซ็นฯ นี่ 8 แล้วจ้า ทนต่อไปนะ อีกนิดเดียว เอาวะ อีกนิดเดียว ตอนนั้นผมกระเซอะกระเซิงมาก จะลุกขึ้นมามัดก็ไม่ไหว ท้องค้ำอยู่ บิดไปบิดมาจนทับลูกบ้าง หมอเวรต้องเดินมาดู บอกว่าคุณแม่อย่านอนตะแครงค่ะ นอนหงายนะ เดี๋ยวลูกหายใจไม่ออก
และแล้วเวลาดีเดย์ก็มาถึง อาจารย์หมอเดินมาบอก เอาล่ะ เริ่มได้ พยาบาลจัดแจงใส่ถุงขาจับขึ้นขาหยั่ง แล้วก็รอจังหวะที่ปวดท้องแล้วให้เบ่ง เฮือกแรก อิแม่เบ่งไปเต็มที่ ฮึ้ดดดด!! “ไม่ต้องออกเสียงค่ะ!!” พยาบาลบอก ให้กดคางลงติดคอ ห้ามออกเสียง ป๊าด!! ยากมาก เบ่งอยู่นานก็ไม่ออก จนพยาบาลขึ้นมากดไล่ที่ท้อง แบบขย่มตัวโยน พยาบาลคนแรกขย่มไปจนเหนื่อย เปลี่ยนเป็นป้าพยาบาลคนที่สอง จนถึงคนที่สาม สภาพอิแม่ตอนนั้นเหมือนโดนรุมโทรม หน้ามันผมกระเซิง คือถ้ามีบริการแบบถ่ายรูป คงบอกเค้าไม่เอานะคะ เปลืองกระดาษพริ้นท์ จน อ.หมอบอกว่า เอ้าเช็ดหน้าให้คุณแม่หน่อยสิ หน้าไม่ไหวละ เอ้อ! ยังดีเนาะที่หันมาดูหน้าอิชั้นบ้าง ไม่ได้ดูแต่...อย่างเดียว พอเช็ดหน้าเช็ดตา พลังเริ่มมา เริ่มมาเบ่งอีก แต่ก็ไม่ออก เปลี่ยนจากขาหยั่งเป็นเบาะธรรมดาก็ไม่ออก หมอรอนานมาก พยาบาลก็กำลังจะลงเวร เริ่มมายืนรอกดดันกันเยอะเลย ประมาณ 6 คนได้ เตรียมอุปกรณ์ไว้รับลูกเต็มที่ แต่ไม่ออกค่ะ เนื่องจากอิแม่ไม่มีแรง ไม่ได้กินข้าว (ระหว่างรอคลอด พนักงานเอาข้าวเข้ามาวางไว้ แล้วก็มาเก็บ น้ำก็ไม่ได้กิน มองตามถาดข้าวตาละห้อย) ระหว่างนั้นเริ่มรีแลกซ์คุยเล่นกันบ้างละ ถามว่าพ่อเป็นชาวอะไร มามั้ย เลยบอกว่าเป็นเยอรมันกำลังเดินทางมาจากเยอรมันเลย ลงเครื่องตอนบ่ายสอง เดี๋ยวคงมาถึง เลยบอกหมอว่า ก่อนพ่อไป คุยกับลูกในท้องว่า รอก่อนนะ อย่าเพิ่งออกมา ได้ความดังนั้น หมอเอาเลยค่ะ “ออกมาเลยลูกไม่ต้องรอพ่อแล้ว” และเราก็มาเริ่มเบ่งกันอีกครั้ง ผ่านไปร่วมชม.ก็ได้ผล ครั้งสุดท้ายคือหมดแรงแล้วจริงๆ ถ้าไม่ออกก็ไม่ไหวละ เบ่งจนหัวออกมาปุ๊ป (ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าอะไรออกมานะ สงสัยเพราะยาชา) พยาบาลบอก หยุดเบ่งค่ะ!! หมอรีบดึงลูกออกมา ฝ่ายเวลาตกฟากรีบเร่งหมอบอก “หมอ เร็วๆๆ 15.15 เวลาดี เร็วๆ” นั่นทำให้หมอลนลาน รีบตัดเย็บสายสะดือโดยพลัน พยาบาลอุ้มลูกหันไข่และจู๋มาให้ดูว่าผู้หญิงผู้ชายคะแม่ เราก็ต้องตอบผู้ชายนะคะ ไข่เต็มหน้าขนาดนั้น จำได้ว่าเห็นลูกหน้าตางงๆ ว่าทำอะไรกัน ดึงหนูออกมาทำไม หลังชั่งนน.วัดความยาวแล้วก็เอาลูกมาให้จุ๊บให้จับอีกทีนึง อีนี่ก็เลยจับแขนไป ตัวยังเมือกๆ อยู่เลย งงทั้งแม่ทั้งลูก พยาบาลก็พาลูกไปทำความสะอาด ผูกป้ายข้อมือ ห่อตัวแล้วก็อุ้มไป ทีนี้ถึงตาอีแม่นอนแผ่หลาให้หมอเย็บฝีเย็บแบบหมดเรี่ยวแรง แขนทั้งสองข้างปวดเกร็งเหมือนไปเล่นบานาน่าโบ๊ทมาทั้งวัน รวมเวลาในการรอคลอดตั้งแต่ ตี 3.30 ถึง 15.15 เบ่งจริงจังชม.นึงเห็นจะได้ พอลูกออกมาแล้วความเจ็บปวดไม่มีเหลือ ดีที่ฉีดยาชาตรงฝีเย็บที่หมอกรีดไว้ ระหว่างเย็บฝีเย็บก็ถามหมอว่า ไม่มีบล็อกหลังคลอดธรรมชาติเหรอคะ เพราะเพื่อนที่อเมริกาบอกว่านางคลอดแบบนี้ ไม่ปวดเลย อ.หมอบอกว่าที่นี่ไม่ทำ เพราะเคยมีเคส แต่ไม่บอกว่าเคสอะไรก็ไม่ได้ถามต่อ
จากนั้นก็รอห้องพิเศษว่าง ถึงจะได้ออกไป กว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีกตั้งชม. พอพยาบาลอุ้มลูกมาวางใกล้ๆ รู้สึกว่าเป็นโมเม้นต์ที่บอกไม่ถูกจริงๆ รู้สึกพลังการปกป้องอย่างมาก อาจเพราะพยาบาลบอกว่า ระหว่างเข็นเตียงไปห้อง กอดลูกไว้นะคะ ห้ามปล่อยนะคะ (สงสัยคงกลัวใครมาวิ่งราวลูก ณ จังหวะนี้ก็เป็นได้) ระหว่างรอเข็นไปห้องพิเศษ นอกประตูอีพ่อก็มายืนรออยู่แล้ว แต่เข้ามาไม่ได้ เลยพูดขยับปากว่า ไอ คลอดเองนะ เท่านั้นล่ะ นางแฮปปี้ดี๊ด๊าใหญ่เลย ซึ่งการคลอดธรรมชาติก็ฟื้นตัวเร็วจริงๆ นะคะ อิชั้นสามารถเดินเหินได้คืนนั้นเลย แต่ติดที่สายน้ำเกลือเลย ลงมาเดินวันรุ่งขึ้น ส่วนแผลฝีเย็บก็ปวดนิดๆ เข้าห้องน้ำเองได้ อาบน้ำสระผมได้ ส่วนลูกก็แข็งแรงดี มีตัวเหลืองนิดหน่อย ประมาณ 10 วันก็หาย เพราะกินนมแม่ ตอนนั้นนมแม่เริ่มมาวัน 3 ด้วยความพยายามบีบ กระตุ้น นวด จนหัวนมแตก (อันนี้ลูกดูดผิดวิธี) เข้าคลินิกนมแม่ ไปให้พยาบาลสอนการเข้าเต้า และพาลูกไปตัดผังผืดใต้ลิ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ดูดนมไม่ดี รวมๆ แล้วอิแม่อยู่รพ. 4 วันก็กลับบ้านได้ค่ะ