จากข่าวนี้ สรุปว่า ซื้อเครื่องก็ย้ายค่ายได้....
http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000009041
สำนักกฎหมายโทรคมนาคมชี้ค่ายมือถือผูกสัญญาซื้อขายเครื่องโทรศัพท์ราคาพิเศษไม่ใช่สัญญาให้บริการโทรคมนาคม ผู้ใช้บริการมีเสรีภาพบอกเลิกสัญญาหรือย้ายเครือข่ายได้ตามที่กฎหมายให้สิทธิ โดยผู้ให้บริการไม่สามารถอ้างการผูกสัญญาจากการซื้อเครื่องราคาพิเศษมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธการขอโอนย้ายเลขหมายหรือขอยกเลิกสัญญาใช้บริการได้
สืบเนื่องจากการประชุม กทค. ครั้งที่ 28/2559 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภครายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ที่มีความประสงค์ต้องการโอนย้ายเครือข่ายผู้ให้บริการ (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) แต่ทางบริษัท แจ้งว่าติดสัญญาใช้บริการเป็นเวลา 12 เดือน หากผู้ใช้บริการต้องการยกเลิกการใช้บริการหรือโอนย้ายเครือข่ายก่อนครบกำหนดเวลา ผู้ใช้บริการก็ต้องชำระส่วนต่างค่าเครื่องโทรศัพท์ หลังจากนั้นทางบริษัทจึงจะดำเนินการโอนย้ายเครือข่ายให้
ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว กทค. มีความเห็นแตกเป็นสองทาง ทางหนึ่งเห็นว่าการจะย้ายเครือข่ายคือการบอกเลิกสัญญาที่มีต่อกัน ต้องกระทำให้ครบตามสัญญานั้น ไม่ว่าจะเป็นการชดใช้ค่าเสียหายหรือใช้หนี้ แล้วถ้ามีเหตุอันควรแก่การบอกเลิกสัญญาก็เลิกสัญญาได้ เมื่อเลิกสัญญาแล้วก็สามารถย้ายเครือข่ายได้
ขณะที่ความเห็นของกรรมการอีกทางหนึ่ง เห็นว่าสัญญาแลกซื้อเครื่องโทรศัพท์ไม่ใช่สัญญาบริการโทรคมนาคม จึงไม่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของ กสทช. อีกทั้งผู้ร้องเรียนไม่ได้เป็นหนี้จากการค้างชำระค่าบริการ จึงไม่เข้าเหตุที่บริษัท จะปฏิเสธคำขอการโอนย้ายเลขหมายได้ ในที่สุดที่ประชุม กทค. จึงมีมติมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. นำข้อสังเกตเหล่านี้ไปหารือกับฝ่ายกฎหมาย และนำเสนอที่ประชุม กทค. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
ล่าสุด สำนักกฎหมายโทรคมนาคมได้มีหนังสือลงวันที่ 19 มกราคม 2560 เพื่อตอบข้อหารือของ กทค. โดยได้ให้ความเห็นทางกฎหมาย สรุปสาระสำคัญได้ว่า 1. สถานะของข้อตกลงเกี่ยวกับการแลกซื้อเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษนั้น มีเจตนามุ่งหมายให้เกิดนิติกรรมการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสำคัญ จึงมิใช่เป็นการกำหนดเงื่อนไขหรือข้อสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรคมนาคมระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการ ข้อตกลงนี้จึงมิใช่เป็นสัญญาให้บริการโทรคมนาคมที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กสทช. แต่อย่างใด
2.แม้ข้อตกลงจะมีการกำหนดให้ผู้แลกซื้อจะต้องใช้บริการต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่กำหนดก็ตาม แต่ข้อตกลงไม่ได้กำหนดห้ามหรือจำกัดสิทธิของผู้แลกซื้อในการยกเลิกสัญญาให้บริการโทรคมนาคมแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้แลกซื้อก็ยังคงมีสิทธิในการยกเลิกสัญญาใช้บริการโทรคมนาคมได้ตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งเป็นไปตามประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549
3. แม้ข้อตกลงจะมีการกำหนดให้ผู้แลกซื้อเครื่องจะต้องใช้บริการต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่กำหนดก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดห้ามหรือจำกัดสิทธิของผู้แลกซื้อในการใช้บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่อย่างใด ดังนั้นผู้แลกซื้อจึงยังคงมีสิทธิ 'ย้ายค่ายเบอร์เดิม' ได้ตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ฯ
4. ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กสทช. มีอำนาจเพียงเฉพาะการสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องเมื่อปรากฏเรื่องร้องเรียนว่า ผู้รับใบอนุญาตกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย เงื่อนไขการอนุญาต สัญญาการให้บริการ หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานการให้บริการที่ดี ในทางกลับกัน การพิจารณาเรื่องร้องเรียน กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้ กสทช. มีอำนาจในการสั่งให้ผู้ใช้บริการจะต้องดำเนินการใดๆ เหมือนเช่นกรณีของผู้รับใบอนุญาต ดังนั้น กทค. จึงไม่มีอำนาจในการสั่งให้ผู้ใช้บริการจ่ายค่าปรับหรือชดใช้ราคาเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่บริษัทฯ
ทางด้าน น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน แสดงความเห็นว่า กรณีนี้ไม่ใช่การผ่อนค่าเครื่องโทรศัพท์ แต่เป็นการใช้โปรโมชั่น และหากต้องการยกเลิกสัญญาต้องชำระส่วนลดค่าเครื่องคืน จึงชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หนี้ค่าบริการที่อยู่ในการกำกับดูแลของ กสทช. สัญญานี้จึงไม่ใช่สัญญาในอำนาจของ กสทช. ผู้ให้บริการจึงต้องไปดำเนินการฟ้องเอง และยืนยันว่าในเรื่องการโอนย้ายเครือข่ายจะต้องชำระหนี้ที่เกิดขึ้นก่อน
แต่กรณีนี้เป็นหนี้ที่เกิดจากการผิดสัญญา จึงเกิด ณ วันที่ยกเลิกสัญญา หมายความว่าหนี้ค่าเครื่องจะยังไม่เกิดจนกว่ามีการโอนย้ายค่าย และผู้ใช้บริการมีความรับผิดที่ต้องจ่าย แต่ผู้ให้บริการไม่สามารถบอกว่าต้องจ่ายก่อนจึงจะย้ายค่ายได้ ดังนั้นถ้าบริษัทบอกว่าต้องชำระหนี้นี้ก่อน ก็เท่ากับเป็นการกีดกันไม่ให้ย้ายค่าย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย
'เรื่องนี้เป็นเรื่องทำนองเดียวกับการใช้สิทธิย้ายค่ายเบอร์เดิมของผู้ใช้บริการในระหว่างรอบบิล กล่าวคือหนี้รอบบิลสุดท้ายเป็นเรื่องที่เกิดก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกสัญญา แน่นอนว่าเป็นหนี้ที่ผู้ใช้บริการยังคงต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ให้บริการจะใช้เป็นข้ออ้างหรือเงื่อนไขในการที่ปฏิเสธการขอย้ายค่ายของผู้ใช้บริการได้'
กสทช.เคาะแล้ว! ผู้ใช้มือถือมีสิทธิย้ายค่ายเบอร์เดิม แม้ติดสัญญาซื้อเครื่องใช้บริการ
http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000009041
สำนักกฎหมายโทรคมนาคมชี้ค่ายมือถือผูกสัญญาซื้อขายเครื่องโทรศัพท์ราคาพิเศษไม่ใช่สัญญาให้บริการโทรคมนาคม ผู้ใช้บริการมีเสรีภาพบอกเลิกสัญญาหรือย้ายเครือข่ายได้ตามที่กฎหมายให้สิทธิ โดยผู้ให้บริการไม่สามารถอ้างการผูกสัญญาจากการซื้อเครื่องราคาพิเศษมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธการขอโอนย้ายเลขหมายหรือขอยกเลิกสัญญาใช้บริการได้
สืบเนื่องจากการประชุม กทค. ครั้งที่ 28/2559 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2559 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภครายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ที่มีความประสงค์ต้องการโอนย้ายเครือข่ายผู้ให้บริการ (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) แต่ทางบริษัท แจ้งว่าติดสัญญาใช้บริการเป็นเวลา 12 เดือน หากผู้ใช้บริการต้องการยกเลิกการใช้บริการหรือโอนย้ายเครือข่ายก่อนครบกำหนดเวลา ผู้ใช้บริการก็ต้องชำระส่วนต่างค่าเครื่องโทรศัพท์ หลังจากนั้นทางบริษัทจึงจะดำเนินการโอนย้ายเครือข่ายให้
ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว กทค. มีความเห็นแตกเป็นสองทาง ทางหนึ่งเห็นว่าการจะย้ายเครือข่ายคือการบอกเลิกสัญญาที่มีต่อกัน ต้องกระทำให้ครบตามสัญญานั้น ไม่ว่าจะเป็นการชดใช้ค่าเสียหายหรือใช้หนี้ แล้วถ้ามีเหตุอันควรแก่การบอกเลิกสัญญาก็เลิกสัญญาได้ เมื่อเลิกสัญญาแล้วก็สามารถย้ายเครือข่ายได้
ขณะที่ความเห็นของกรรมการอีกทางหนึ่ง เห็นว่าสัญญาแลกซื้อเครื่องโทรศัพท์ไม่ใช่สัญญาบริการโทรคมนาคม จึงไม่อยู่ในอำนาจกำกับดูแลของ กสทช. อีกทั้งผู้ร้องเรียนไม่ได้เป็นหนี้จากการค้างชำระค่าบริการ จึงไม่เข้าเหตุที่บริษัท จะปฏิเสธคำขอการโอนย้ายเลขหมายได้ ในที่สุดที่ประชุม กทค. จึงมีมติมอบหมายให้สำนักงาน กสทช. นำข้อสังเกตเหล่านี้ไปหารือกับฝ่ายกฎหมาย และนำเสนอที่ประชุม กทค. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
ล่าสุด สำนักกฎหมายโทรคมนาคมได้มีหนังสือลงวันที่ 19 มกราคม 2560 เพื่อตอบข้อหารือของ กทค. โดยได้ให้ความเห็นทางกฎหมาย สรุปสาระสำคัญได้ว่า 1. สถานะของข้อตกลงเกี่ยวกับการแลกซื้อเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษนั้น มีเจตนามุ่งหมายให้เกิดนิติกรรมการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นสำคัญ จึงมิใช่เป็นการกำหนดเงื่อนไขหรือข้อสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโทรคมนาคมระหว่างผู้ให้บริการกับผู้ใช้บริการ ข้อตกลงนี้จึงมิใช่เป็นสัญญาให้บริการโทรคมนาคมที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก กสทช. แต่อย่างใด
2.แม้ข้อตกลงจะมีการกำหนดให้ผู้แลกซื้อจะต้องใช้บริการต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่กำหนดก็ตาม แต่ข้อตกลงไม่ได้กำหนดห้ามหรือจำกัดสิทธิของผู้แลกซื้อในการยกเลิกสัญญาให้บริการโทรคมนาคมแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้แลกซื้อก็ยังคงมีสิทธิในการยกเลิกสัญญาใช้บริการโทรคมนาคมได้ตามกฎหมายทุกประการ ซึ่งเป็นไปตามประกาศ กทช. เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2549
3. แม้ข้อตกลงจะมีการกำหนดให้ผู้แลกซื้อเครื่องจะต้องใช้บริการต่อเนื่องภายในระยะเวลาที่กำหนดก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดห้ามหรือจำกัดสิทธิของผู้แลกซื้อในการใช้บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่อย่างใด ดังนั้นผู้แลกซื้อจึงยังคงมีสิทธิ 'ย้ายค่ายเบอร์เดิม' ได้ตามประกาศ กทช. เรื่อง หลักเกณฑ์บริการคงสิทธิเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ฯ
4. ตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 กสทช. มีอำนาจเพียงเฉพาะการสั่งให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องเมื่อปรากฏเรื่องร้องเรียนว่า ผู้รับใบอนุญาตกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย เงื่อนไขการอนุญาต สัญญาการให้บริการ หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐานการให้บริการที่ดี ในทางกลับกัน การพิจารณาเรื่องร้องเรียน กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้ กสทช. มีอำนาจในการสั่งให้ผู้ใช้บริการจะต้องดำเนินการใดๆ เหมือนเช่นกรณีของผู้รับใบอนุญาต ดังนั้น กทค. จึงไม่มีอำนาจในการสั่งให้ผู้ใช้บริการจ่ายค่าปรับหรือชดใช้ราคาเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้แก่บริษัทฯ
ทางด้าน น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน แสดงความเห็นว่า กรณีนี้ไม่ใช่การผ่อนค่าเครื่องโทรศัพท์ แต่เป็นการใช้โปรโมชั่น และหากต้องการยกเลิกสัญญาต้องชำระส่วนลดค่าเครื่องคืน จึงชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่หนี้ค่าบริการที่อยู่ในการกำกับดูแลของ กสทช. สัญญานี้จึงไม่ใช่สัญญาในอำนาจของ กสทช. ผู้ให้บริการจึงต้องไปดำเนินการฟ้องเอง และยืนยันว่าในเรื่องการโอนย้ายเครือข่ายจะต้องชำระหนี้ที่เกิดขึ้นก่อน
แต่กรณีนี้เป็นหนี้ที่เกิดจากการผิดสัญญา จึงเกิด ณ วันที่ยกเลิกสัญญา หมายความว่าหนี้ค่าเครื่องจะยังไม่เกิดจนกว่ามีการโอนย้ายค่าย และผู้ใช้บริการมีความรับผิดที่ต้องจ่าย แต่ผู้ให้บริการไม่สามารถบอกว่าต้องจ่ายก่อนจึงจะย้ายค่ายได้ ดังนั้นถ้าบริษัทบอกว่าต้องชำระหนี้นี้ก่อน ก็เท่ากับเป็นการกีดกันไม่ให้ย้ายค่าย ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย
'เรื่องนี้เป็นเรื่องทำนองเดียวกับการใช้สิทธิย้ายค่ายเบอร์เดิมของผู้ใช้บริการในระหว่างรอบบิล กล่าวคือหนี้รอบบิลสุดท้ายเป็นเรื่องที่เกิดก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกสัญญา แน่นอนว่าเป็นหนี้ที่ผู้ใช้บริการยังคงต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ให้บริการจะใช้เป็นข้ออ้างหรือเงื่อนไขในการที่ปฏิเสธการขอย้ายค่ายของผู้ใช้บริการได้'