Finnish Lapland (Finland) EP4 - Getting Around

ตอนเก่าๆ

Finnish Lapland (Finland) - เตรียมตัวเดินทาง
http://ppantip.com/topic/35806562

Finnish Lapland (Finland) EP1 - Stockholm (Sweden)
http://ppantip.com/topic/35820238

Finnish Lapland (Finland) EP2 - Rovaniemi (Day 1)
http://ppantip.com/topic/35838722

Finnish Lapland (Finland) EP3 - Rovaniemi (Day 2)
https://ppantip.com/topic/35887680

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/neooakblog




อย่างที่ตั้งใจแต่แรกว่าอยากให้ทริปนี้เป็นการเดินทางเที่ยวชมธรรมชาติแบบสบายๆ ระหว่างหาข้อมูลในช่วงเตรียมตัวก็เลยไปสะดุดกับชื่อ Pyhä-Luosto National Park (พยายามหาคำอ่านภาษาอังกฤษแล้วแต่จนปัญญาจริงๆ) ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่อยู่เหนือจากโรวาเนียมี่ไปไม่ไกล เท่าที่สืบค้นในอินเตอร์เน็ตไม่พบโปรแกรมทัวร์จากเมืองไทยไปที่นี่กันเลย แต่ฝรั่งถึงกับรีวิวว่าเป็นทัศนียภาพที่ต้องมาเห็นสักครั้งในชีวิต โฆษณากันขนาดนี้ก็ต้องไปดูด้วยตาตัวเองซะหน่อย

หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมและเช็คเอาท์เรียบร้อย ก็ได้เวลามุ่งหน้าขึ้นเหนือกันล่ะ การขับรถที่นี่เหมาะแก่การเริ่มต้นกับพวงมาลัยซ้ายมาก เพราะถนนโล่งสุดๆ นานๆ ถึงเจอรถสวนมาสักคัน แต่จะว่าไปโล่งขนาดนี้ถ้าไม่มี GPS คงลำบากอยู่ เพราะจะใช้สูตรลดกระจกถามทางก็ไม่รู้จะไปหาเหยื่อได้ที่ไหน

จากโรวาเนียมี่ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม ก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว Naava ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นเดินชมธรรมชาติในอุทยาน

Pyhä-Luosto National Park มีลักษณะเป็นเทือกเขา ครอบคลุมพื้นที่ 142 ตารางกิโลเมตร มีเส้นทางเดินป่าชมธรรมชาติรวม 7 เส้นทาง ตั้งแต่ระดับเบๆ ยันเอ็กตรีม บางเส้นยาวหลายสิบกิโล ต้องใช้เวลาเดินเป็นวัน แต่ด้วยทริปนี้เป็นการพาผู้ใหญ่เที่ยวแบบหวานเย็น จะให้ขึ้นเขาลงห้วยท่ามกลางอากาศติดลบเป็นวันๆ ก็คงไม่เหมาะ ผมเลยเลือกเส้นทางที่สั้นและง่ายที่สุด ความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง

ระหว่างสอบถามข้อมูลที่ Naava เจ้าหน้าที่ถามว่ามีรองเท้าเดินป่ากันไหม ไอ้เราก็ไม่แน่ใจว่ารองเท้าที่ใส่ๆ กันอยู่มันใช้เดินป่าได้รึเปล่า หลังจากให้ข้อมูลเรียบร้อย เจ้าหน้าที่มองหน้าชาวเอเชียผิวเหลืองอย่างพวกเราเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกำชับว่า “ยูต้องกลับมานะ” พลางทำหน้าจริงจังแบบนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ทำเอาเหวอเหมือนกันว่ามันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเรอะ หรือว่าสภาพเรามันดูปวกเปียกจนไม่น่าไว้ใจหว่า





จุดเริ่มต้นเดินป่าอยู่ไม่ไกลจาก Navaa นัก แต่ด้วยความที่หาป้ายบอกทางไม่เจอ แถมข้างนอกไม่มีเจ้าหน้าที่สักคน เลยทำเอาหลงวนไปวนมาอยู่พักใหญ่





แต่พอจับจุดตั้งต้นได้ที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว เส้นทางเดินป่าแต่ละสายจะแบ่งตามสี โดยมีการทำสัญลักษณ์สีไว้ตามต้นไม้เป็นระยะๆ หากไม่อินดี้เดินออกนอกเส้นทางก็ไม่มีหลงแน่นอน

ภูมิประเทศแถบตอนเหนือของสแกนดิเนเวียมีลักษณะเป็นป่าสน แล้วมันก็มีแต่สนจริงๆ คือเดินไปทางไหน มองซ้ายขวาหน้าหลังก็เห็นแต่ต้นสนเต็มไปหมด

ขนาดว่าเลือกเส้นทางที่สั้นและง่ายที่สุดมาแล้ว แต่แอบสังเกตอาการสมาชิกก็ดูจะมีสัญญาณบ่งบอกว่าการเดินป่าท่ามกลางอากาศติดลบมันออกหลุดโทนหวานเย็นไปนิด ก็เลยกางแผนที่แล้วหาจุดเดินตัดเพื่อหดเส้นทางให้สั้นคงไปอีกราวๆ 1 ใน 3



แต่ละเส้นทางจะมีจุดตั้งแคมป์อยู่ สามารถแวะเข้าห้องน้ำและนั่งผิงไฟในกระท่อมได้ (แต่ต้องจุดฟืนเองนะ) เพื่อความฟินเลยอุตส่าห์ขนเสบียงมานั่งทานอาหารเที่ยงกลางป่าด้วยเลย





หากถามว่าที่นี่สวยสมคำร่ำลือไหมก็คงตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะด้วยสภาพอากาศค่อนข้างขมุกขมัว แถมระยะทางที่เดินชมก็แค่เศษเสี้ยวของเศษเสี้ยว แต่ที่แน่ๆ คือบรรยากาศมันส่วนตัวสุดๆ ถ้าไม่นับตรงจุดตั้งแคมป์ก็แทบไม่เจอผู้คนเลยด้วยซ้ำ

จาก Navaa ขับรถขึ้นเหนือไปอีกประมาณ 40 นาที ก็ถึงที่พัก





ที่พักมีชื่อว่า Lapland Hotel Luostotunturi & Amethyst Spa ห้องพักเป็นกระท่อมไม้ วิวเทือกเขา Pyhä-Luosto มีซาวน่าในตัว รวมอาหารเช้า ราคาคืนละประมาณ 5,000 บาท ส่วนถ้าอยากใช้บริการ Spa ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก แต่ดูแล้วเป็นแค่สระน้ำอุ่นธรรมดา เลยขอบายดีกว่า





เพราะใช้เวลากับการเดินป่าแค่แป๊บเดียว ก็เลยมาถึงที่พักเร็วกว่าที่คิด เดินเล่นชมวิวสักพักก็ไม่รู้จะไปทำอะไรต่อแล้ว

สาเหตุหนึ่งที่เลือกมาพักนอกเมืองแบบนี้ก็เพื่อเพิ่มโอกาสในการเห็นแสงเหนือ แต่ดูจากสภาพเมฆที่ยังปกคลุมทั่วฟ้าอย่างไม่ลดละ กิจกรรมยามค่ำคืนของเราจึงมีแต่นอนกับนอนอีกเช่นเคย

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในแลปแลนด์ เพราะพรุ่งนี้จะต้องนั่งรถไฟไปเฮลซิงกิกันแล้ว สรุปว่าภารกิจตามล่าแสงเหนือเป็นอันล้มเหลวแบบไม่มีลุ้น T_T

อุตส่าห์หลงเชื่อเจ้าหน้าที่ของ Sixt จ่ายค่าน้ำมันล่วงหน้าไว้ แต่ขับมาถึงนี่ยังลดไปไม่ถึงครึ่งถังเลย ตอนแรกตั้งใจว่าวันสุดท้ายในแลปแลนด์จะนั่งๆ นอนๆ ตากอากาศในกระท่อม พอสายๆ ค่อยเดินทางกลับโรวาเนียมี่ แวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์ Arktikum ก่อนส่งรถคืนแล้วนั่งรถไฟมุ่งหน้าสู่เฮลซิงกิ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับจ่ายค่าน้ำมันไปครึ่งถังแบบฟรีๆ ด้วยความงกจึงเปลี่ยนแผนออกจากโรงแรมแต่เช้ามืดเพื่อไปสวนสัตว์ Ranua ที่อยู่ทางใต้ของโรวาเนียมี่ไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จะได้ผลาญน้ำมันให้คุ้มค่าหน่อย

เมื่อขับรถผ่านโรวาเนียมี่มาได้เล็กน้อย ปรากฏว่าหิมะตกครับ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร เพราะสองสามวันที่ผ่านมาพอมีโปรยๆ ให้เห็นบ้างประปราย แป๊บเดียวก็หยุด แต่รอบนี้ชักตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียวรอบข้างก็กลายเป็นสีขาวโพลนแล้ว



ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็ถึงสวนสัตว์ Ranua ด้านในเป็นทางเดินไม้ ลัดเลาะไปตามป่าสน โดยมีกรงสัตว์ให้ชมเป็นระยะๆ แต่ตอนนี้ตื่นเต้นกับทิวทัศน์ที่เห็นตรงหน้ามากกว่าบรรดาสัตว์ป่าซะอีก ไม่น่าเชื่อว่าต้นสนที่เห็นมาจนเบื่อตลอดทั้งทริป พอมีหิมะไปเกาะตามกิ่งก้านเท่านั้นแหละ กลับดูสวยสะดุดตาขึ้นมาทันที





ถึงแม้จะผิดหวังกับท้องฟ้าที่ไร้เดือนและดาวมาหลายวัน แต่อย่างน้อยได้เห็นหิมะตกเต็มๆ ตาก็พอจะช่วยให้ชื่นใจขึ้นมาบ้าง นึกดูแล้วก็ตลกดี อุตส่าห์วางแผนเผื่อนั่นเผื่อนี่แทบตาย สถานการณ์กลับไม่เป็นใจ แต่พอจับพลัดจับผลูเปลี่ยนแผนแบบปุบปับ กลายเป็นโชคดีมาถูกที่ถูกเวลาซะงั้น



ทางเดินไม้ที่เต็มไปด้วยหิมะแลดูสวยดี แต่ถ้าเดินไม่ระวังอาจมีหัวทิ่มได้





เลนส์ระยะไกลสุดที่มีคือ 50mm ทำให้ซูมถ่ายสัตว์ลำบากอยู่เหมือนกัน แถมถ่ายไปถ่ายมาปรากฏว่าถุงมือกันหนาวข้างนึงหล่นไปอยู่ในกรงหมูป่า ตอนแรกเรียกเจ้าหน้าที่ให้ช่วย แต่เห็นพี่แกทำหน้ารักชีวิตก็เลยช่างมันดีกว่า



ไฮไลท์ของสวนสัตว์เขตหนาวแบบนี้คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากหมีขั้วโลก แต่เหมือนจะดูมอมแมมไปหน่อยนะ







พยายามรีบเดินให้ครบเส้นทาง เพราะกลัวว่าหิมะตกแบบนี้จะขับรถทำเวลายาก แต่เอาเข้าจริงส่วนที่เป็นถนนกลับไม่ค่อยมีหิมะเท่าไหร่ คงเพราะมีรถวิ่งผ่านไปมาตลอด

มาถึงสถานีรถไฟโรวาเนียมี่เวลาบ่ายสามโมงตรงเวลาคืนรถพอดี (เลือกคืนรถที่สถานีรถไฟ) ตอนแรกกะว่าหลังจากออกตั๋วรถไฟเรียบร้อยจะแวะไปพิพิธภัณฑ์ Arktikum ซะหน่อย แต่ปรากฏว่าห้องตั๋วปิดแล้ว (เพิ่งบ่ายสามพี่จะรีบปิดไปไหน) ครั้นเอารหัสการจองไปกรอกใส่เครื่องอัตโนมัติ เครื่องก็ดันบอกว่าส่งตั๋วให้แล้ว ไอ้เราก็งงว่าส่งมาตอนไหน เพราะในเวปก็บอกให้นำใบจองมาออกที่ห้องตั๋ว พอดีว่ามีพนักงานรถไฟผู้โชคร้ายสองคนกำลังกินข้าวชิวๆ อยู่ที่คาเฟ่ในสถานีพอดี เลยขอให้พี่แกช่วยโทรประสานจนได้เลขห้องพักบนรถไฟมา

กว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ใกล้เวลารถไฟออกแล้ว เป็นอันว่าต้องตัดโปรแกรม Arktikum ทิ้งไปโดยปริยาย



ตั้งชื่อซะเก๋ไก๋ว่า Santa Claus Express Night Train แต่เอาเข้าจริงก็รถไฟหน้าตาธรรมดานี่แหละ

ปล.พอจะเดินทางลงใต้ ท้องฟ้าที่ขมุกขมัวมาตลอดสี่วันก็เปิดขึ้นมาซะงั้น อุตส่าห์มีความสุขกับหิมะจนว่าจะทำใจได้อยู่แล้วเชียว แต่เจอชกปลายคางปิดท้ายเข้าไปแบบนี้ก็หงายเงิบสิครับ T_T

To Be Continued...




https://www.facebook.com/neooakblog
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่