Finnish Lapland (Finland) EP3 - Rovaniemi (Day 2)

ตอนเก่าๆ

Finnish Lapland (Finland) - เตรียมตัวเดินทาง
http://ppantip.com/topic/35806562

Finnish Lapland (Finland) EP1 - Stockholm (Sweden)
http://ppantip.com/topic/35820238

Finnish Lapland (Finland) EP2 - Rovaniemi (Day 1)
http://ppantip.com/topic/35838722

ติดตามบทความอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/neooakblog




ที่จริงผมทำใจตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้วว่าแสงเหนือเป็นเรื่องเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางคนมาวันเดียวเห็น บางคนอยู่เป็นอาทิตย์กลับไม่เห็น ก็เลยไม่ได้ซีเรียสกับมันนัก อย่างน้อยไปดูทิวทัศน์สวยๆ ของภูมิประเทศเขตหนาวก็น่าจะคุ้มแล้ว แต่เอาเข้าจริงอย่าว่าแต่แสงเหนือเลย ขนาดพระอาทิตย์ยังไม่มีโอกาสเผยตัวด้วยซ้ำ ยิ่งนึกถึงทริปล่าสุดที่เพิ่งติดฝนมาหมาดๆ ทำให้พาลนึกไปว่านี่เรามีเทพยดาฝนตามประกบหรืออย่างไร

ยอมรับว่าเมื่อคืนมีอาการเซ็งจนเกือบหมดอารมณ์เที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่สักพักก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าจะเซ็งทำบ้าอะไร วัตถุประสงค์ของการเดินทางคือการเสียเงินเป็นหมื่นๆ เพื่อมาดูฟ้าใสๆ แค่นั้นหรือ จะว่าไปแล้วทุกทริปที่ผ่านมามันก็มีเรื่องผิดแผนทั้งนั้น ผมเคยไปวัดอาซากุสะในวันฝนตก เคยไปฮาโกเน่ในวันหมอกลงจนไม่เห็นภูเขาฟูจิ เคยไปปารีสในวันที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์กับพระราชวังแวร์ซายปิด เคยตกเครื่องบินจนไปไม่ทันเที่ยวยูนิเวอร์แซลกับเพื่อน แต่ตอนนั้นแทนที่จะเฟล กลับสนุกกับการด้นสดไปตามสถานการณ์มากกว่า สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ “ความคาดหวัง” ของเราเองทั้งสิ้น ถ้าเราคาดหวังที่จะได้ออกเดินทาง เราก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่ก้าวขาออกจากบ้านแล้ว แต่พอเริ่มคาดหวังมากขึ้น อยากได้ภาพทิวทัศน์สวยๆ อยากเห็นนั่นอยากเห็นนี่ อยากให้อากาศเป็นแบบนั้นแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะเกิดอาการเซ็งเวลาไม่ได้ดั่งใจ

ดังที่บรรดาปราชญ์ทั้งหลายพร่ำสอนว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ” แม้อากาศจะไม่เป็นใจ แต่ยังไงก็ไม่สามารถหยุดทริปตากอากาศสโลว์ไลฟ์ของเราได้



เริ่มต้นวันใหม่ด้วยมื้อเช้าของโรงแรมอีกเช่นเคย อาหารแทบจะเหมือนกับที่สวีเดนเปี้ยบ ฝรั่งนี่กินแบบเดียวกันทั้งโลกจริงๆ มีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองชัดเจน ต่างกับเอเชียเราที่อาหารการกินค่อนข้างหลากหลาย

ทำเป็นบ่นไปงั้น แต่สุดท้ายก็กินเยอะทุกที โดยเฉพาะครัวซองกับกาแฟร้อนนี่ กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ

แผนการเดินทางวันนี้ไม่ได้ไปไหนไกล แค่เดินเที่ยวใน Santa Claus Village เสร็จแล้วถ้ามีเวลาค่อยเข้าไปขับรถเล่นในเมือง











Santa Claus Village เป็นเหมือน Theme Park ขนาดย่อม ตกแต่งสไตล์คริสมาสต์ จุดเด่นที่สุดคือเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลที่แวะชมไปแล้วเมื่อวาน รองลงมาคงเป็นที่ทำการไปรษณีย์ซานต้าสำหรับให้ส่งโปสการ์ดหาคนสำคัญ นอกจากนั้นยังมีคุณลุงที่เค้าโฆษณาว่านี่แหละคือซานตาคลอสตัวจริง นั่งประจำการอยู่ในอาคาร คอยหัวเราะโฮ่ๆ ชวนเด็กๆ กับนักท่องเที่ยวคุยตลอดทั้งวัน สำหรับใครที่อยากถ่ายรูปคู่กับลุงซานต้า ก็ควักแบงค์ยูโรจ่ายกันได้ตามสะดวก (ซานต้าตัวจริงเคี่ยวอย่างนี้นี่เอง)

ส่วนหนึ่งของกิจกรรมภาคบังคับในการมาเยือนแลปแลนด์คือเที่ยวชมสุนัขฮัสกี้และกวางเรนเดียร์ ซึ่งตอนหาข้อมูลเห็นว่ารอบๆ Santa Claus Village มีฮัสกี้พาร์คกับเรนเดียร์ฟาร์มอยู่ด้วย ก็เลยเป็นเหตุผลนึงที่เลือกพักที่นี่ เพราะดูมีอะไรๆ ครบครันดี



สุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ที่นิยมใช้เป็นสุนัขลากเลื่อนนั้น คิดว่าคงรู้จักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะถูกนำไปสร้างเป็นหนังอยู่บ่อยๆ และบ้านเราเองก็มีคนซื้อไปเลี้ยงอยู่ไม่น้อย ส่วนกวางเรนเดียร์นี่นับเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อดินแดนแลปแลนด์อย่างมหาศาล ชนเผ่าซามิซึ่งเป็นเผ่าพันธ์ที่ตั้งรกรากอยู่แถบตอนเหนือของสแกนดิเนเวียมาแต่อดีตกาลถึงกับกล่าวว่ากวางเรนเดียร์คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถลงหลักปักฐานและใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนี้ได้ มันเป็นทั้งสัตว์พาหนะ เป็นทั้งเครื่องนุ่งห่ม เป็นทั้งอาหาร แถมยังเป็นผู้ลากเลื่อนพาลุงซานต้าเหิรฟ้าไปแจกของขวัญให้เด็กๆ ทั่วโลกอีกต่างหาก

ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของชนเผ่าซามิคือพวกเขายังคงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งนี้อย่างปกติสุขมาจวบจนปัจจุบัน คืออยู่จนเป็นชาวเมืองสมัยใหม่ทั่วไปนี่แหละ ไม่ได้ถูกรุกรานแย่งชิงดินแดนเหมือนชาวอินเดียนแดงของอเมริกา ชาวอะบอริจินของออสเตรเลีย หรือชาวเมารีของนิวซีแลนด์









เห็นตั้งชื่อซะอลังการว่าฮัสกี้พาร์คกับเรนเดียร์ฟาร์ม แต่เอาเข้าจริงกลับมีกวางเรนเดียร์อยู่แค่ 3-4 ตัว กับสุนัขฮัสกี้อีกสิบกว่าตัว คอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาลากเลื่อนให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเพลินๆ พอหอมปากหอมคอเท่านั้น

สรุปแล้วผมว่าที่นี่เหมาะแก่การมาแวะชมแป๊บๆ ให้พอเป็นกิมมิคว่าฉันมาถึงบ้านเกิดซานตาคลอสแล้วนะ ส่วนถ้าอยากดูสุนัขฮัสกี้กับกวางเรนเดียร์ แนะนำว่าลองไปหาที่เป็นฟาร์มจริงๆ เลยดีกว่า

หลังจากใช้เวลาครึ่งไปวันไปกับการเดินชม Santa Claus Village ก็กลับมาทานเสบียงในห้องพักเป็นมื้อเที่ยง ภารกิจต่อไปคือการขับรถเข้าไปหาที่เที่ยวในเมือง แต่ก่อนอื่นต้องขอปรับความเข้าใจกับเจ้า GPS สัญญาติฟินแลนด์ซะก่อน เพราะยังหลอนกับการขับรถพวงมาลัยซ้ายแบบหลงทิศหลงทางเมื่อวานนี้ไม่หาย

งมอยู่สักพักจนได้ข้อสรุปว่าแม้เมนู GPS จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่มันรู้จักชื่อสถานที่ๆ สะกดด้วยภาษาฟินนิชเท่านั้น เพราะงั้นต้องใช้มือถือต่อเนตเพื่อเซิชหาชื่อที่มันรู้จักซะก่อน แล้วค่อยเอาข้อมูลมาป้อนใส่ GPS อีกที เมื่อรู้ดังนั้นแล้วก็เลยจัดแจงหาชื่อสถานที่มาเซฟพิกัดใส่เครื่องเอาไว้ให้หมด

พอไม่ต้องห่วงเรื่องทิศทางมากนัก ทำให้มีสมาธิปรับตัวกับรถพวงมาลัยซ้ายได้เต็มที่ ซึ่งพอเริ่มชินแล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไร แค่ต้องคอยเตือนตัวเองเวลาเจอทางร่วมทางแยกเท่านั้น หลักการง่ายๆ ที่เขาแนะนำกันมาคือขับให้เกาะกลางถนนอยู่ทางซ้ายมือเอาไว้เป็นพอ



แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อที่สุดในตัวเมืองโรวาเนียมี่คือพิพิธภัณฑ์ Arktikum ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและปรากฎการณ์ธรรมชาติในแลปแลนด์ แต่เผอิญว่าวันนี้ตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ของพิพิธภัณฑ์ ก็เลยตัดสินใจไปเยี่ยมชมโบสถ์ประจำเมืองแทน

มาถึงตอนชาวเมืองกับบาทหลวงกำลังแยกย้ายกันกลับบ้านหลังเสร็จพิธีกรรมทางศาสนาพอดี เลยแค่เดินชมด้านในกับแวะเข้าห้องน้ำเล็กน้อย

อุตส่าห์มาถึงแลปแลนด์ทั้งที จะกินแต่หมูทุบหมูฝอยมันก็ใช่ที่ อย่างน้อยต้องขอจัดภัตตาคารดีๆ สักมื้อ ตอนแรกเล็งร้าน Nili เอาไว้ เพราะเห็นว่าใน Tripadvisor มีคนรีวิวไว้เยอะที่สุด แต่กว่าร้านจะเปิดต้องรออีกเกือบสองชั่วโมง เกรงว่าสมาชิกจะสลบไสลกันซะก่อน (ก็นอนเร็วกันทุกคืน มันเลยปรับเวลาไม่ได้ซะที) สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นร้าน Monte Rosa แทน เพราะอยู่ละแวกนั้นพอดี แถมคะแนนรีวิวก็ไม่ได้ขี้เหร่



ร้านตั้งอยู่ชั้นล่างของโรงแรม City Hotel ด้านในประดับประดาหรูหราทีเดียว




สแกนดิเนเวียขึ้นชื่อเรื่องปลาแซลม่อนที่สดและอร่อย เลยสั่งซุปครีมแซลม่อนกับแซลม่อนย่างมาอย่างละจาน ส่วนเนื้อกวางเรนเดียร์แม้จะแอบรู้สึกผิดอยู่บ้างเพราะเพิ่งเล่นกับมันมาหยกๆ แต่ไหนๆ มาถึงที่แล้วก็อยากจะลองสักครั้ง แต่ครั้นจะสั่งเป็นเสต็กจานใหญ่ก็เกรงว่าเกิดไม่ถูกปากแล้วจะลำบาก เลยเลือกเป็นเบอร์เกอร์รวมสามอย่าง คือเนื้อกวางเรนเดียร์ เนื้อปลาแซลม่อน และเนื้อวัว มาแทน

ปลาแซลม่อนสดดี แต่ก็อยู่ในระดับที่หากินเมืองไทยได้ คงเพราะร้านอาหารหรูๆ หรือซุปเปอร์มาเก็ตพรีเมียมบ้านเราก็นำเข้ามาจากประเทศโซนนี้อยู่แล้ว ส่วนกวางเรนเดียร์ค่อนข้างมีกลิ่นสาปเฉพาะตัวทำนองเดียวกับเนื้อแพะกับเนื้อแกะ ซึ่งจะว่าไปมันก็อร่อยอยู่นะ แต่ตามความคิดผมยังไงก็สู้เนื้อวัวไม่ได้อยู่ดี อาจเพราะเป็นแค่เบอร์เกอร์ ก็เลยไม่ได้ใช้เนื้อเกรดดีอะไรนัก ถ้าสั่งสเต็กเป็นเรื่องเป็นราวมาอาจจะไม่คิดแบบนี้ก็ได้

อิ่มท้องเรียบร้อยก็เดินทางกลับโรงแรม แหงนมองท้องฟ้ายังคงเต็มไปด้วยเมฆเหมือนเช่นเคย เป็นอันว่าหมดหวังกับแสงเหนือไปอีกหนึ่งคืน เลยได้แต่ซาวน่าแล้วเข้านอน พลางท่องในใจว่า ไม่เป็นไร๊ ไม่เป็นไร Don’t mide... Don’t mind...

To Be Continued...

Finnish Lapland (Finland) EP4 - Getting Around
https://ppantip.com/topic/36025379




https://www.facebook.com/neooakblog
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่