สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิป วันนี้เรานำเรื่องสั้นที่แต่งเองจากความใฝ่ฝันที่อยากเป็นนักเขียนมาให้ได้อ่านกัน เราเคยส่งไปที่ขายหัวเราะ แต่คิดว่าไม่ผ่านเพราะเงียบหายไปเลย นี่ก็ครึ่งปีแล้ว... คงไม่ผ่านจริงๆนั่นแหละ เคยลองปรึกษาพี่ๆในพันทิปดู มีประโยคหนึ่งที่โดนใจมาก "เราอาจจะคิดว่าดี แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดแบบนั้นก็ได้" หุหุ น่าจะจริงค่ะ แต่เราก็ไม่อยากดองงาน อุตส่าห์แต่งจนจบแล้ว เลยเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้ลองอ่านกัน เรายินดีรับทุกคำติชมนะคะจะได้นำไปพัฒนาตนเองให้เก่งมากขึ้น แม้นอ่านเพียงสักนิด ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วค่ะ...
สื่อพิศวง
ตอน... เบญจเพส
ผม ‘โตนนท์’ นักข่าวอาชญากรรมฝ่ายเขียนข่าวและถ่ายภาพ แต่นักข่าวที่ว่า...ไม่ใช่นักข่าวดีๆ จากบริษัทดังๆ ที่ไหนหรอก ผมเป็นเป็นแค่นักข่าวตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่รอดจากเงินค่าตอบแทนแต่ละเดือนไปก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยน้อยใจในชีวิตของตนเอง ทุกวันที่ผ่านมา ผมว่า... ชีวิตของผมก็ดีอยู่แล้ว ชายโสดกับแม่ผู้มีพระคุณที่คอยดูแลบ้านเรือนและทำกับข้าวรอรับผมกลับบ้านทุกวัน ทำงานเหนื่อยแค่ไหน ถูก บ.ก. เอ็ดหนักแค่ไหน แต่พอนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของแม่ ข้าวสวยร้อนๆ กับน้ำพริกปลาทูสักถ้วยแล้ว ผมก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ชีวิตของผมดีมาตลอด แต่เพิ่งเริ่มจะแย่ก็เร็วๆ นี้เอง มันเริ่มแย่ก็เพราะ... ‘ตัวผมเอง’
ปีนี้ผมอายุ 25 ปี หรือที่ได้ยินกันคุ้นหูว่า ‘วัยเบญจเพส’ คนเฒ่าคนแก่ท่านว่ากันว่า คนเราจะ ‘รุ่ง’ หรือ จะ ‘ร่วง’ ก็วัยเบญจเพสนี่แหละ... ผมไม่เชื่อหรอก แต่แม่ของผม ‘เชื่อสนิทใจ!’ ด้วยความกังวลว่าผมอาจจะร่วงนี่เอง แม่จึงขอให้ผมบวชทดแทนบุญคุณสักสัปดาห์ก็ยังดี ไม่คิดว่าทำเพื่อแม่ก็คิดเสียว่าทำเพื่อตัวเอง คำพูดของแม่ทำให้ผมซาบซึ้ง แต่เพราะผมไม่พร้อมจริงๆ เลยปฏิเสธแม่ไป แต่นั่นก็อาจทำให้แม่ผิดหวัง และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมทะเลาะกับแม่ จนผมรู้สึกว่าชีวิตอันเคยสงบสุขของผมมันเริ่มแย่เสียแล้ว ช่วงที่ทะเลาะกับแม่ ผมไม่ยอมกลับไปทานข้าวที่บ้าน ผมเอาแต่เที่ยวกับเพื่อน งานไม่ทำ ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าแม่คงเสียใจ แต่ผมก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ จนวันนี้... วันนัดส่งงาน
“นี่แกเอาข่าวชุ่ยๆ แบบนี้มาเขียนได้ยังไง ข่าวนอกคอกแบบนี้ ใครเขาจะมาสนใจกัน หา!? แล้วแบบนี้เมื่อไหร่บริษัทเราจะดัง แล้วดูสิเนี่ยทำงานไม่เรียบร้อย ขาดนู่นตกนี่ ทำงานชุ่ยแบบนี้ใครเขาจะมาจ้าง ฉันให้โอกาสแกอีกหนึ่งอาทิตย์นะเจ้านนท์ ถ้าแกยังแก้ไขงานชุ่ยๆ พวกนี้ไม่เรียบร้อยและไม่เป็นที่น่าพอใจของฉันล่ะก็ ฉัน ไล่ แก ออก” บ.ก.เอ็ดไม่ยั้ง แถมยังเน้นคำด้านหลังเป็นพิเศษ ในฐานะที่ผมเป็นแค่ลูกน้องจึงทำอะไรไม่ได้ ทำได้อย่างมากก็แค่แอบสบถในใจเท่านั้น แต่...ครั้งนี้ ผมไม่! เพราะผมเองก็รู้สึกอย่างที่ บ.ก. เอ็ด
ช่วงสองสัปดาห์หลังจากวันที่ผมทะเลาะกับแม่ เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ งานการไม่ทำ ทำให้งานที่ผมรับผิดชอบอยู่ออกมาไม่ดีจนถึงขั้นควรปรับปรุง ทั้งที่ปกติ แม้ผมจะเป็นคนไม่เอาไหนแค่ไหน แต่กับเรื่องงานผมกลับทำได้ดีเสมอ ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ออกมาหรือเปล่า? ไม่สิ ผมไม่เชื่อเรื่องแบบนี้นี่นา... คิดแล้วก็อดหันไปมอง ‘ลูกตาล’ อดีตเพื่อนร่วมงานแผนกเดียวกันไม่ได้ ผมก็ไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายหรอก แต่ที่ผมคิดแบบนี้ เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบเรื่องงานนัก แต่ตอนนี้เธอกลับทำงานได้ดี ไม่ถูก บ.ก. เอ็ดสักคำ ซึ่งนั่นส่งผลให้เธอกระโดดข้ามขั้นกลายเป็นผู้สื่อข่าวของช่องไปแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตของผมกับลูกตาลจะเกิดตาลปัตรกันเสียแล้ว... ลูกตาล ‘อายุเท่าผม’ เหมือนกัน
หรือว่านี่... จะเป็นเรื่องของวัยเบญจเพสจริงๆ ชีวิตดีๆ สงบๆ ของผมเริ่มร่วง ขณะที่ชีวิตของลูกตาลกำลังรุ่ง! มันแค่บังเอิญน่า... จะรุ่งหรือร่วงอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่หรือไง ผมก็อยากจะคิดแบบนี้ แต่เพราะลูกตาลไม่ได้รุ่งแค่เรื่องงานอย่างเดียวน่ะสิ เรื่องอื่นๆ เธอก็รุ่งด้วย
“ไม่เป็นไรนะนนท์ เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปเอง” ไม่ทันที่ผมจะได้คิดว่าเธอรุ่งเรื่องอะไรอีกบ้าง ลูกตาลซึ่งบัดนี้กลายเป็นคนโปรดของ บก. (จากการซื้อของแพงๆ ให้เป็นประจำ) ก็เดินมาหาผมก่อน น้ำเสียงของเธอให้กำลังใจ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงแอบอิจฉานิดๆ
“ตาลก็พูดได้สิ ก็ช่วงนี้ตาลรุ่งตลอด ไม่ใช่แค่เรื่องงานนะ เรื่องอื่นก็ด้วย ทั้งครอบครัว ความรัก เงินทองหรือโชคลาภ นี่เมื่อต้นเดือนตาลก็เพิ่งถูกรางวัลที่สี่ ซื้อบ้านให้แม่ ซื้อรถให้ตัวเองได้นี่นา แถม บก.ยังเพิ่มเงินเดือนกับบวกโบนัสให้อีก ทีกับฉัน บ.ก. บ่นตลอด” ผมบ่นยาวในชนิดที่ว่าไม่เกรงใจคนรับฟัง หากลูกตาลไม่รู้จักหรือสนิทกับผมพอล่ะก็ เธอคงคิดว่าผมเป็นเพศที่สามอย่างที่สาวๆ ในบริษัทหลายคนเคยคิดแน่ๆ
เธอฉีกยิ้มกว้างก่อนจะชี้แจงว่า บ.ก. ก็เป็นคนแบบนั้นแหละปากร้ายแต่ใจดี ใช่ ข้อนั้นผมรู้ เพียงแต่บางครั้ง... ที่สำคัญตอนนี้เธอก็พูดได้ เพราะเธอไม่ใช่ผม “ฉันรู้... แต่ก็แปลกนะช่วงนี้ชีวิตฉันไม่ค่อยดีเลย มีแต่ร่วงๆๆ ผิดกับแกที่รุ่งตลอด” ภายหลังผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเผลอคิดและพูดเรื่องวัยเบญจเพสกับตาลไปเสียแล้ว ผมคาดว่าเธอคงจะมองว่าผมไร้สาระ แต่เปล่าเลยดูเหมือนเธอเองก็เชื่อเหมือนกัน
“นั่นสินะ... มีน่าช่วงนี้ชีวิตตาลดี๊ดี!” ใช่! ดีมาก...
ตาลเกิดเดือนเดียว ปีเดียวกับผม เธอแก่กว่าผมแค่ 4 วันเท่านั้น วัยไล่เลี่ยกัน... แต่ทำไมชีวิตถึงต่างกันราวฟ้ากับเหวได้ “แต่ยังไงนนท์ก็อย่าเพิ่งถอดใจนะ ไม่แน่หรอก ชีวิตตาลอาจรุ่งแค่วันนี้วันเดียว แต่วันต่อไปอาจจะร่วงสุดๆ ก็เป็นได้” เธอคงเห็นผมสลด จึงพูดปลอบใจอีกครั้ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเท่าไรนัก ถึงชีวิตผมจะแย่ยังไง ผมก็ไม่ได้อยากทำให้ชีวิตคนอื่นแย่ตามไปหรอก
“เอาล่ะ! อย่าคิดมาก... ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวตาลเลี้ยงเอง” เธอดันผมให้ลุกออกจากที่แล้วลากออกไปโดยที่ผมไม่ทันตอบตกลงหรือพูดอะไรสักคำ (แต่ก็ดีเหมือนกัน... ถือเสียว่าประหยัดไปอีกหนึ่งมื้อ)
“ไม่ต้อง!” เธอปรามไว้ก่อนผมจะไขกุญแจ ‘เจ้าเก่าแก่’ ของผม เธอเสนอให้ไปรถของเธอ เป็นแบบนั้นแล้วผมก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้จริงๆ นอกจากจะให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ยังให้ผู้หญิงขับรถให้อีก (แต่ถ้ามองในแง่ดี ผมก็แค่ได้นั่งตากแอร์เย็นๆ และประหยัดน้ำมันไปอีกหน่อยนั่นแหละ) ตาลลากผมที่ยังยืนนิ่งขึ้นไปนั่งยังรถเก๋งใหม่คันหรูที่เพิ่งถอยออกมาสดๆ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนโดยทิ้งเจ้าเก่าแก่ของผมให้จอดอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว
“ตาล... ขับช้าๆ หน่อยสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ผมจับเบาะนั่งแน่นขณะพยายามตะโกนบอกเธอว่าให้ขับช้าลงอีกหน่อย แต่เธอไม่สนทั้งยังสวนว่าขับช้าไปถึงช้าก็ถูก บ.ก. เอ็ดอีกพอดี เฮ้อ... ผมทำอะไรไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่รถผม แต่ว่าถ้าเรารักษาเวลาดีๆ ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องรีบขนาดนี้หรอก
“ทำไมนนท์ไม่ลองหาหรือซื้ออะไรไปฝาก บ.ก. บ้างล่ะ เผื่อแกจะอารมณ์ดีแล้วก็เอ็นดูนนท์มากขึ้น” พูดได้สิ! เธอรวยนี่นา... ผมเก็บไว้ในใจตอบไปเพียงว่าผมไม่มีเงินมากมายอะไรขนาดนั้น “ก็ไม่เห็นต้องเป็นของแพงๆ แค่ของง่ายๆ อย่างอาหารที่ บก. ชอบ อะไรทำนองนี้...” ผมได้แต่เออออกับเธอไป พูดตามตรง... นิสัยบางอย่างของตาลผมก็ไม่ชอบนักหรอก แต่ที่ยังคบกันมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะเธอดีต่อผมเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนจะดีได้ไม่ทันไร ก็ออกรายเสียแล้ว...
“นนท์ สวยอ่ะ... ตาลขอแวะตรงนี้หน่อยนะ” นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเราสายไปกว่า 5 นาที
“เฮ้ย! ตาลๆๆ” ผมตะโกนบอกให้ตาลเบรกรถ ... รถเบรกทัน ก่อนจะชนเข้ากับยายแก่ๆ ที่กำลังจะข้ามทางม้าลาย
พวกเรากลับมาถึงบริษัทอย่างปลอดภัยโดยไม่มีใครเป็นอะไร แต่ที่ไม่ปลอดภัยคือ ‘เวลา’ ตอนนี้พวกเราเข้างานสายกว่า 20 นาทีแล้ว ตาลเหลียวซ้ายแลขวาดูต้นทาง เมื่อไม่เห็น บ.ก. จึงเรียกให้ผมตามเข้าไป แต่แล้ว “ไอ้นนท์ เจ้าตาล” เสียง บ.ก. ดังอยู่ด้านหลังห่างไปเพียงสามก้าว ผมเสียววาบก่อนพวกเราจะหันไปหา บ.ก. ช้าๆ ในจังหวะเดียวกันราวกับนัดหมาย “ทำไมถึงสายตั้ง 20 นาที” นี่เป็นคำถามประจำตัวของ บ.ก. ทุกครั้งเมื่อมีพนักงานเข้าสาย ผมมองหน้าตาลเป็นเชิงให้เธอตอบคำถาม
“ทานข้าวค่ะ”
เธอตอบไม่เต็มปากนัก เพราะลำพังแค่ทานข้าวคงไม่นานขนาดนี้ ผมก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับรังสีอำมหิตของ บ.ก. แต่แล้ว “ไอ้นนท์!” ผมสะดุ้งโหยง ขานรับอย่างลืมตัว
“นี่อย่าบอกนะว่าเป็นแก แกคงพาเจ้าตาลไปเถลไถลไกลจนลืมเวลาอีกแล้วใช่ไหม? แกนี่มัน... นอกจากจะทำงานชุ่ยแล้ว ยังพาเพื่อนไปเลวอีก ถ้าแม่แกรู้จะเสียใจขนาดไหน หา? ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ นนท์” บ.ก. จัดมาชุดใหญ่ ว่าให้ทั้งที่ผมไม่ผิด ผมแค่ไปทานข้าวเพราะเธอเลี้ยง ส่วนที่สาย เธอล้วนๆ ทว่าคงไม่เป็นไรถ้าเธอยอมรับ แต่เปล่าเลย เธอกลับนิ่งเงียบราวกับจะปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม แต่คงจะไม่ใช่วิถีของสุภาพบุรุษนักหรอก หากผมจะโยนความผิดให้เธอตอนนี้ ที่สำคัญ บ.ก. คงไม่เชื่อ ผมจึงได้แต่แอบงอนตาลนิดๆ และยอมรับชะตากรรม แต่ขณะที่ผมคิดว่าตัวเองคงจะถูกคาดโทษหนักอยู่นั้น ตาลก็โพล่งขึ้น เธอยอมรับความจริง...
“อย่าว่าให้นนท์เลยค่ะ นนท์ไม่ผิดเลย ตาลเองค่ะที่เที่ยวเพลินลืมดูเวลา” อย่าว่าแต่ผมเลย... วินาทีนั้น ทั้ง บ.ก. และเพื่อนร่วมงานที่แอบฟัง ต่างพากันเงียบกริบ พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าตาลจะกล้าหาญเพียงนี้ และกับลูกรัก บ.ก. คงไม่อยากเชื่อว่าเธอจะผิดจริง บ.ก. ถอนหายใจยกใหญ่
“ความผิดครั้งแรก ฉันจะไม่หักเงินเดือน แต่บทลงโทษน่ะมีแน่...”
สรุป...บทลงโทษของตาลคือแก้งานเขียนข่าวชุ่ยๆ ของผมให้ผ่าน เห็นบทลงโทษแล้วก็นึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าผมทำออกมาดีๆ ตั้งแต่แรก ตาลคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ บทลงโทษก็คือบทลงโทษ แถมเธอยังบอกว่าดีเสียอีกที่ได้มีโอกาสกลับมาทำงานเก่าๆ ดูบ้าง
หลังจากที่ผมรอตาลแก้งานจนผ่านอนุมัติจาก บ.ก. และโบกไม้โบกมือลาเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้านบ้าง ผมตรงไปยังเจ้าเก่าแก่ วันนี้ผมรู้สึกรักมันเป็นพิเศษ ทว่ามันกลับไม่รักผมเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมคงต้องทิ้งมันไว้ที่นี่แล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอีกตามเคย... หากแต่วันนี้วินมอเตอร์ไซค์ก็ไม่ค่อยรักผมเช่นกัน ผมรออยู่นานทีเดียว แต่กลับไม่เห็นพี่วินคนไหนโผล่หัวมาให้เห็นสักคน แน่นอนว่า ผมต้องเดินกลับบ้านจริงๆ ไม่อยากจะคิดแต่ก็คิดไปแล้ว... หรือนี่จะเกี่ยวกับวัยเบญจเพสอีก
โชคดีที่บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากบริษัทนัก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องเดินกลับด้วย ดังนั้น แม้ว่าต้องเดินเพียงลำพังในซอยเปลี่ยวเช่นนี้ ผมก็ไม่กังวลนัก หากแต่วันนี้ผมกลับพบเห็นสิ่งผิดปกติบางตรงทางแยกก่อนลัดไปบ้านผมเข้า แสงสลัวจากไฟข้างทางทำให้ผมพอมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ตรงหน้านั้นมีคนถูกทำร้าย! ด้วยสัญชาตญาณนักข่าว ไม่ต้องบอกกล่าวผมก็พร้อมกระโจนเข้าไปทำข่าวทันที
ยิ่งเข้าใกล้แสงสลัวข้างทางก็ทำให้ผมเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น เฮ้ย! นี่มัน... คุณยายคนที่ตาลเกือบขับรถชนเมื่อตอนบ่ายกำลังถูกชายโรคจิตกระทำชำเรา ผมรีบคว้าท่อนไม้เท่าที่หาได้แถวนั้นหวดเข้าเต็มหลังไอ้โรคจิต ทั้งยังเตะต่อยมันไม่ยั้งมือ พอได้โอกาสผมก็พาคุณยายหนี แต่ไอ้โรคจิตนั่นก็กระโจนถีบผมจนล้มคะมำ แย่ล่ะ! ผมเสียท่าแล้ว แต่ขณะนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกมาแต่ไกล ไอ้โรคจิตนั่นก็คงจะได้ยิน เพราะมันรีบทิ้งท่อนไม้ที่จะใช้ตีผมแล้วเผ่นแนบ ผมกะจะตาม แต่นึกถึงคุณยายได้ก่อน ว่าแล้วผมก็พาคุณยายออกมาจากที่ตรงนั้น ที่แท้คนที่มาช่วยพวกเราได้ทันกาลก็คือพี่ๆ วินมอเตอร์ไซค์ที่ผมรอตั้งนานก็ไม่มานั่นเอง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่สิบนาทีหลังจากผมไปแจ้งความ ก็มีคนพาไอ้โรคจิตนั่นมามอบตัว เหตุเพราะมันลนลานหนีจนตกท่อ (สม!) หลังจากทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ผมก็ไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลต่อ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี เห็นดังนั้นแล้วผมจึงลากลับได้อย่างสบายใจ ก่อนจากกันคุณยายกล่าวขอบคุณละล่ำละลักว่าไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี ผมบอกไม่เป็นไร แต่แกก็พยายามหาอะไรสักอย่างให้ผมให้ได้ คุณยายยัดกระดาษขนาดประมาณฝ่ามือปึกหนึ่งให้ผม มันคือ...
(มีต่อ)
ปล.ตั้งกระทู้ในโทรศัพท์ หากอ่านยากหรือมีคำผิด ต้องขออภัยด้วยนะคะ
เรื่องสั้น... "สื่อพิศวง" ตอน 'เบญเพส' โดย... ปริย์ณัฐฐา
สื่อพิศวง
ตอน... เบญจเพส
ผม ‘โตนนท์’ นักข่าวอาชญากรรมฝ่ายเขียนข่าวและถ่ายภาพ แต่นักข่าวที่ว่า...ไม่ใช่นักข่าวดีๆ จากบริษัทดังๆ ที่ไหนหรอก ผมเป็นเป็นแค่นักข่าวตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่รอดจากเงินค่าตอบแทนแต่ละเดือนไปก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่เคยน้อยใจในชีวิตของตนเอง ทุกวันที่ผ่านมา ผมว่า... ชีวิตของผมก็ดีอยู่แล้ว ชายโสดกับแม่ผู้มีพระคุณที่คอยดูแลบ้านเรือนและทำกับข้าวรอรับผมกลับบ้านทุกวัน ทำงานเหนื่อยแค่ไหน ถูก บ.ก. เอ็ดหนักแค่ไหน แต่พอนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มของแม่ ข้าวสวยร้อนๆ กับน้ำพริกปลาทูสักถ้วยแล้ว ผมก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ชีวิตของผมดีมาตลอด แต่เพิ่งเริ่มจะแย่ก็เร็วๆ นี้เอง มันเริ่มแย่ก็เพราะ... ‘ตัวผมเอง’
ปีนี้ผมอายุ 25 ปี หรือที่ได้ยินกันคุ้นหูว่า ‘วัยเบญจเพส’ คนเฒ่าคนแก่ท่านว่ากันว่า คนเราจะ ‘รุ่ง’ หรือ จะ ‘ร่วง’ ก็วัยเบญจเพสนี่แหละ... ผมไม่เชื่อหรอก แต่แม่ของผม ‘เชื่อสนิทใจ!’ ด้วยความกังวลว่าผมอาจจะร่วงนี่เอง แม่จึงขอให้ผมบวชทดแทนบุญคุณสักสัปดาห์ก็ยังดี ไม่คิดว่าทำเพื่อแม่ก็คิดเสียว่าทำเพื่อตัวเอง คำพูดของแม่ทำให้ผมซาบซึ้ง แต่เพราะผมไม่พร้อมจริงๆ เลยปฏิเสธแม่ไป แต่นั่นก็อาจทำให้แม่ผิดหวัง และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมทะเลาะกับแม่ จนผมรู้สึกว่าชีวิตอันเคยสงบสุขของผมมันเริ่มแย่เสียแล้ว ช่วงที่ทะเลาะกับแม่ ผมไม่ยอมกลับไปทานข้าวที่บ้าน ผมเอาแต่เที่ยวกับเพื่อน งานไม่ทำ ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าแม่คงเสียใจ แต่ผมก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ จนวันนี้... วันนัดส่งงาน
“นี่แกเอาข่าวชุ่ยๆ แบบนี้มาเขียนได้ยังไง ข่าวนอกคอกแบบนี้ ใครเขาจะมาสนใจกัน หา!? แล้วแบบนี้เมื่อไหร่บริษัทเราจะดัง แล้วดูสิเนี่ยทำงานไม่เรียบร้อย ขาดนู่นตกนี่ ทำงานชุ่ยแบบนี้ใครเขาจะมาจ้าง ฉันให้โอกาสแกอีกหนึ่งอาทิตย์นะเจ้านนท์ ถ้าแกยังแก้ไขงานชุ่ยๆ พวกนี้ไม่เรียบร้อยและไม่เป็นที่น่าพอใจของฉันล่ะก็ ฉัน ไล่ แก ออก” บ.ก.เอ็ดไม่ยั้ง แถมยังเน้นคำด้านหลังเป็นพิเศษ ในฐานะที่ผมเป็นแค่ลูกน้องจึงทำอะไรไม่ได้ ทำได้อย่างมากก็แค่แอบสบถในใจเท่านั้น แต่...ครั้งนี้ ผมไม่! เพราะผมเองก็รู้สึกอย่างที่ บ.ก. เอ็ด
ช่วงสองสัปดาห์หลังจากวันที่ผมทะเลาะกับแม่ เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ งานการไม่ทำ ทำให้งานที่ผมรับผิดชอบอยู่ออกมาไม่ดีจนถึงขั้นควรปรับปรุง ทั้งที่ปกติ แม้ผมจะเป็นคนไม่เอาไหนแค่ไหน แต่กับเรื่องงานผมกลับทำได้ดีเสมอ ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้ผมทำงานชุ่ยๆ แบบนี้ออกมาหรือเปล่า? ไม่สิ ผมไม่เชื่อเรื่องแบบนี้นี่นา... คิดแล้วก็อดหันไปมอง ‘ลูกตาล’ อดีตเพื่อนร่วมงานแผนกเดียวกันไม่ได้ ผมก็ไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายหรอก แต่ที่ผมคิดแบบนี้ เพราะเมื่อก่อนเธอเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบเรื่องงานนัก แต่ตอนนี้เธอกลับทำงานได้ดี ไม่ถูก บ.ก. เอ็ดสักคำ ซึ่งนั่นส่งผลให้เธอกระโดดข้ามขั้นกลายเป็นผู้สื่อข่าวของช่องไปแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตของผมกับลูกตาลจะเกิดตาลปัตรกันเสียแล้ว... ลูกตาล ‘อายุเท่าผม’ เหมือนกัน
หรือว่านี่... จะเป็นเรื่องของวัยเบญจเพสจริงๆ ชีวิตดีๆ สงบๆ ของผมเริ่มร่วง ขณะที่ชีวิตของลูกตาลกำลังรุ่ง! มันแค่บังเอิญน่า... จะรุ่งหรือร่วงอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่หรือไง ผมก็อยากจะคิดแบบนี้ แต่เพราะลูกตาลไม่ได้รุ่งแค่เรื่องงานอย่างเดียวน่ะสิ เรื่องอื่นๆ เธอก็รุ่งด้วย
“ไม่เป็นไรนะนนท์ เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปเอง” ไม่ทันที่ผมจะได้คิดว่าเธอรุ่งเรื่องอะไรอีกบ้าง ลูกตาลซึ่งบัดนี้กลายเป็นคนโปรดของ บก. (จากการซื้อของแพงๆ ให้เป็นประจำ) ก็เดินมาหาผมก่อน น้ำเสียงของเธอให้กำลังใจ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงแอบอิจฉานิดๆ
“ตาลก็พูดได้สิ ก็ช่วงนี้ตาลรุ่งตลอด ไม่ใช่แค่เรื่องงานนะ เรื่องอื่นก็ด้วย ทั้งครอบครัว ความรัก เงินทองหรือโชคลาภ นี่เมื่อต้นเดือนตาลก็เพิ่งถูกรางวัลที่สี่ ซื้อบ้านให้แม่ ซื้อรถให้ตัวเองได้นี่นา แถม บก.ยังเพิ่มเงินเดือนกับบวกโบนัสให้อีก ทีกับฉัน บ.ก. บ่นตลอด” ผมบ่นยาวในชนิดที่ว่าไม่เกรงใจคนรับฟัง หากลูกตาลไม่รู้จักหรือสนิทกับผมพอล่ะก็ เธอคงคิดว่าผมเป็นเพศที่สามอย่างที่สาวๆ ในบริษัทหลายคนเคยคิดแน่ๆ
เธอฉีกยิ้มกว้างก่อนจะชี้แจงว่า บ.ก. ก็เป็นคนแบบนั้นแหละปากร้ายแต่ใจดี ใช่ ข้อนั้นผมรู้ เพียงแต่บางครั้ง... ที่สำคัญตอนนี้เธอก็พูดได้ เพราะเธอไม่ใช่ผม “ฉันรู้... แต่ก็แปลกนะช่วงนี้ชีวิตฉันไม่ค่อยดีเลย มีแต่ร่วงๆๆ ผิดกับแกที่รุ่งตลอด” ภายหลังผมเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากจะเชื่อว่าผมเผลอคิดและพูดเรื่องวัยเบญจเพสกับตาลไปเสียแล้ว ผมคาดว่าเธอคงจะมองว่าผมไร้สาระ แต่เปล่าเลยดูเหมือนเธอเองก็เชื่อเหมือนกัน
“นั่นสินะ... มีน่าช่วงนี้ชีวิตตาลดี๊ดี!” ใช่! ดีมาก...
ตาลเกิดเดือนเดียว ปีเดียวกับผม เธอแก่กว่าผมแค่ 4 วันเท่านั้น วัยไล่เลี่ยกัน... แต่ทำไมชีวิตถึงต่างกันราวฟ้ากับเหวได้ “แต่ยังไงนนท์ก็อย่าเพิ่งถอดใจนะ ไม่แน่หรอก ชีวิตตาลอาจรุ่งแค่วันนี้วันเดียว แต่วันต่อไปอาจจะร่วงสุดๆ ก็เป็นได้” เธอคงเห็นผมสลด จึงพูดปลอบใจอีกครั้ง แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเท่าไรนัก ถึงชีวิตผมจะแย่ยังไง ผมก็ไม่ได้อยากทำให้ชีวิตคนอื่นแย่ตามไปหรอก
“เอาล่ะ! อย่าคิดมาก... ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวตาลเลี้ยงเอง” เธอดันผมให้ลุกออกจากที่แล้วลากออกไปโดยที่ผมไม่ทันตอบตกลงหรือพูดอะไรสักคำ (แต่ก็ดีเหมือนกัน... ถือเสียว่าประหยัดไปอีกหนึ่งมื้อ)
“ไม่ต้อง!” เธอปรามไว้ก่อนผมจะไขกุญแจ ‘เจ้าเก่าแก่’ ของผม เธอเสนอให้ไปรถของเธอ เป็นแบบนั้นแล้วผมก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้จริงๆ นอกจากจะให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ยังให้ผู้หญิงขับรถให้อีก (แต่ถ้ามองในแง่ดี ผมก็แค่ได้นั่งตากแอร์เย็นๆ และประหยัดน้ำมันไปอีกหน่อยนั่นแหละ) ตาลลากผมที่ยังยืนนิ่งขึ้นไปนั่งยังรถเก๋งใหม่คันหรูที่เพิ่งถอยออกมาสดๆ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนโดยทิ้งเจ้าเก่าแก่ของผมให้จอดอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว
“ตาล... ขับช้าๆ หน่อยสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ผมจับเบาะนั่งแน่นขณะพยายามตะโกนบอกเธอว่าให้ขับช้าลงอีกหน่อย แต่เธอไม่สนทั้งยังสวนว่าขับช้าไปถึงช้าก็ถูก บ.ก. เอ็ดอีกพอดี เฮ้อ... ผมทำอะไรไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่รถผม แต่ว่าถ้าเรารักษาเวลาดีๆ ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องรีบขนาดนี้หรอก
“ทำไมนนท์ไม่ลองหาหรือซื้ออะไรไปฝาก บ.ก. บ้างล่ะ เผื่อแกจะอารมณ์ดีแล้วก็เอ็นดูนนท์มากขึ้น” พูดได้สิ! เธอรวยนี่นา... ผมเก็บไว้ในใจตอบไปเพียงว่าผมไม่มีเงินมากมายอะไรขนาดนั้น “ก็ไม่เห็นต้องเป็นของแพงๆ แค่ของง่ายๆ อย่างอาหารที่ บก. ชอบ อะไรทำนองนี้...” ผมได้แต่เออออกับเธอไป พูดตามตรง... นิสัยบางอย่างของตาลผมก็ไม่ชอบนักหรอก แต่ที่ยังคบกันมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะเธอดีต่อผมเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนจะดีได้ไม่ทันไร ก็ออกรายเสียแล้ว...
“นนท์ สวยอ่ะ... ตาลขอแวะตรงนี้หน่อยนะ” นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเราสายไปกว่า 5 นาที
“เฮ้ย! ตาลๆๆ” ผมตะโกนบอกให้ตาลเบรกรถ ... รถเบรกทัน ก่อนจะชนเข้ากับยายแก่ๆ ที่กำลังจะข้ามทางม้าลาย
พวกเรากลับมาถึงบริษัทอย่างปลอดภัยโดยไม่มีใครเป็นอะไร แต่ที่ไม่ปลอดภัยคือ ‘เวลา’ ตอนนี้พวกเราเข้างานสายกว่า 20 นาทีแล้ว ตาลเหลียวซ้ายแลขวาดูต้นทาง เมื่อไม่เห็น บ.ก. จึงเรียกให้ผมตามเข้าไป แต่แล้ว “ไอ้นนท์ เจ้าตาล” เสียง บ.ก. ดังอยู่ด้านหลังห่างไปเพียงสามก้าว ผมเสียววาบก่อนพวกเราจะหันไปหา บ.ก. ช้าๆ ในจังหวะเดียวกันราวกับนัดหมาย “ทำไมถึงสายตั้ง 20 นาที” นี่เป็นคำถามประจำตัวของ บ.ก. ทุกครั้งเมื่อมีพนักงานเข้าสาย ผมมองหน้าตาลเป็นเชิงให้เธอตอบคำถาม
“ทานข้าวค่ะ”
เธอตอบไม่เต็มปากนัก เพราะลำพังแค่ทานข้าวคงไม่นานขนาดนี้ ผมก้มหน้าเงียบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับรังสีอำมหิตของ บ.ก. แต่แล้ว “ไอ้นนท์!” ผมสะดุ้งโหยง ขานรับอย่างลืมตัว
“นี่อย่าบอกนะว่าเป็นแก แกคงพาเจ้าตาลไปเถลไถลไกลจนลืมเวลาอีกแล้วใช่ไหม? แกนี่มัน... นอกจากจะทำงานชุ่ยแล้ว ยังพาเพื่อนไปเลวอีก ถ้าแม่แกรู้จะเสียใจขนาดไหน หา? ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ นนท์” บ.ก. จัดมาชุดใหญ่ ว่าให้ทั้งที่ผมไม่ผิด ผมแค่ไปทานข้าวเพราะเธอเลี้ยง ส่วนที่สาย เธอล้วนๆ ทว่าคงไม่เป็นไรถ้าเธอยอมรับ แต่เปล่าเลย เธอกลับนิ่งเงียบราวกับจะปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม แต่คงจะไม่ใช่วิถีของสุภาพบุรุษนักหรอก หากผมจะโยนความผิดให้เธอตอนนี้ ที่สำคัญ บ.ก. คงไม่เชื่อ ผมจึงได้แต่แอบงอนตาลนิดๆ และยอมรับชะตากรรม แต่ขณะที่ผมคิดว่าตัวเองคงจะถูกคาดโทษหนักอยู่นั้น ตาลก็โพล่งขึ้น เธอยอมรับความจริง...
“อย่าว่าให้นนท์เลยค่ะ นนท์ไม่ผิดเลย ตาลเองค่ะที่เที่ยวเพลินลืมดูเวลา” อย่าว่าแต่ผมเลย... วินาทีนั้น ทั้ง บ.ก. และเพื่อนร่วมงานที่แอบฟัง ต่างพากันเงียบกริบ พวกเขาคงนึกไม่ถึงว่าตาลจะกล้าหาญเพียงนี้ และกับลูกรัก บ.ก. คงไม่อยากเชื่อว่าเธอจะผิดจริง บ.ก. ถอนหายใจยกใหญ่
“ความผิดครั้งแรก ฉันจะไม่หักเงินเดือน แต่บทลงโทษน่ะมีแน่...”
สรุป...บทลงโทษของตาลคือแก้งานเขียนข่าวชุ่ยๆ ของผมให้ผ่าน เห็นบทลงโทษแล้วก็นึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าผมทำออกมาดีๆ ตั้งแต่แรก ตาลคงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ บทลงโทษก็คือบทลงโทษ แถมเธอยังบอกว่าดีเสียอีกที่ได้มีโอกาสกลับมาทำงานเก่าๆ ดูบ้าง
หลังจากที่ผมรอตาลแก้งานจนผ่านอนุมัติจาก บ.ก. และโบกไม้โบกมือลาเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้านบ้าง ผมตรงไปยังเจ้าเก่าแก่ วันนี้ผมรู้สึกรักมันเป็นพิเศษ ทว่ามันกลับไม่รักผมเลย เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมคงต้องทิ้งมันไว้ที่นี่แล้วต่อวินมอเตอร์ไซค์กลับบ้านอีกตามเคย... หากแต่วันนี้วินมอเตอร์ไซค์ก็ไม่ค่อยรักผมเช่นกัน ผมรออยู่นานทีเดียว แต่กลับไม่เห็นพี่วินคนไหนโผล่หัวมาให้เห็นสักคน แน่นอนว่า ผมต้องเดินกลับบ้านจริงๆ ไม่อยากจะคิดแต่ก็คิดไปแล้ว... หรือนี่จะเกี่ยวกับวัยเบญจเพสอีก
โชคดีที่บ้านผมอยู่ไม่ไกลจากบริษัทนัก และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องเดินกลับด้วย ดังนั้น แม้ว่าต้องเดินเพียงลำพังในซอยเปลี่ยวเช่นนี้ ผมก็ไม่กังวลนัก หากแต่วันนี้ผมกลับพบเห็นสิ่งผิดปกติบางตรงทางแยกก่อนลัดไปบ้านผมเข้า แสงสลัวจากไฟข้างทางทำให้ผมพอมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า ตรงหน้านั้นมีคนถูกทำร้าย! ด้วยสัญชาตญาณนักข่าว ไม่ต้องบอกกล่าวผมก็พร้อมกระโจนเข้าไปทำข่าวทันที
ยิ่งเข้าใกล้แสงสลัวข้างทางก็ทำให้ผมเห็นภาพตรงหน้าชัดขึ้น เฮ้ย! นี่มัน... คุณยายคนที่ตาลเกือบขับรถชนเมื่อตอนบ่ายกำลังถูกชายโรคจิตกระทำชำเรา ผมรีบคว้าท่อนไม้เท่าที่หาได้แถวนั้นหวดเข้าเต็มหลังไอ้โรคจิต ทั้งยังเตะต่อยมันไม่ยั้งมือ พอได้โอกาสผมก็พาคุณยายหนี แต่ไอ้โรคจิตนั่นก็กระโจนถีบผมจนล้มคะมำ แย่ล่ะ! ผมเสียท่าแล้ว แต่ขณะนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกมาแต่ไกล ไอ้โรคจิตนั่นก็คงจะได้ยิน เพราะมันรีบทิ้งท่อนไม้ที่จะใช้ตีผมแล้วเผ่นแนบ ผมกะจะตาม แต่นึกถึงคุณยายได้ก่อน ว่าแล้วผมก็พาคุณยายออกมาจากที่ตรงนั้น ที่แท้คนที่มาช่วยพวกเราได้ทันกาลก็คือพี่ๆ วินมอเตอร์ไซค์ที่ผมรอตั้งนานก็ไม่มานั่นเอง
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่สิบนาทีหลังจากผมไปแจ้งความ ก็มีคนพาไอ้โรคจิตนั่นมามอบตัว เหตุเพราะมันลนลานหนีจนตกท่อ (สม!) หลังจากทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ผมก็ไปเยี่ยมคุณยายที่โรงพยาบาลต่อ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี เห็นดังนั้นแล้วผมจึงลากลับได้อย่างสบายใจ ก่อนจากกันคุณยายกล่าวขอบคุณละล่ำละลักว่าไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี ผมบอกไม่เป็นไร แต่แกก็พยายามหาอะไรสักอย่างให้ผมให้ได้ คุณยายยัดกระดาษขนาดประมาณฝ่ามือปึกหนึ่งให้ผม มันคือ...
(มีต่อ)
ปล.ตั้งกระทู้ในโทรศัพท์ หากอ่านยากหรือมีคำผิด ต้องขออภัยด้วยนะคะ