พบปะคุณผู้อ่าน
เนื่องจากตาข้างซ้ายของลิมัวฟางและมันมารบกวนตาขวาให้เห็นไม่ชัดไปด้วย ทำให้ลิไม่สามารถเขียนนิยายหรือเรื่องสั้นได้บ่อยเหมือนก่อน จึงเลือกเขียนเฉพาะที่อยากเขียนจริง ๆ อย่างเช่นเรื่องนี้เป็นนิยายแนวแฟนตาซีเทพเจ้าปล่อยพลัง อิอิ ซึ่งลิอยากเขียนมานาน จึงพยายามเขียนวันละนิดวันละหน่อยได้มาทีละบท จึงเอามาวางพอให้จำกันได้นะคะ ลิรีบวางก่อนผ่าตัดตาสิ้นเดือนนี้ และอาจได้วางอลเวงรักสองภพอีกสักบทสองบท
อนึ่ง นิยายเรื่องนี้ลิได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง เจ้าชายรัตติกาลกับธิดาพญายม ที่อาจารย์ GTW ได้กรุณาส่งมาให้อ่านทั้งเรื่อง ลิขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
อาถรรพ์รักเทพรัตติกาล
โดย...ล.วิลิศมาหรา
บทนำ
อันดวงดาวที่เรียกว่าโลกนี้มีประวัติศาสตร์กล่าวขานถึงการแบ่งสรรปันส่วนกันอยู่ของผู้ครอบครองสามส่วน เหนือขึ้นไปเรียกว่าโลกสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ประทับของเหล่าทวยเทพและนางฟ้านางสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างสว่างกระจ่างแจ้งด้วยฤทธีของสุริยเทพ
แก่นกลางโลกอันมืดมิดเป็นที่ประทับของเทพด้วยเช่นเดียวกันแต่เป็นกาฬเทพ ทุกสิ่งบนดินแดนอันมืดมิดแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าด้านมืดนามว่าเทพรัตติกาล
บนพื้นดินจึงเป็นที่อยู่ของมนุษย์และสรรพสัตว์ซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์ สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อ่อนด้อยที่สุดนี้จำต้องพึ่งพาทั้งสุริยเทพและเทพแห่งรัตติกาล
อย่างไรก็ดีผู้ครอบครองทั้งสามส่วนนี้แทบจะไม่ข้องเกี่ยวกันเลย...เว้นแต่จะเกิดภัยพิบัติขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้เป็นใหญ่ที่สุดในสามโลกพระนามว่ามหาเทพซุสยินยอมไม่ได้
ปราสาทเทรมูลินัสเป็นปราสาทขนาดใหญ่ของเทพเจ้าแห่งราตรีกาลลีโอโปล ทรงครองบัลลังก์เหนือนครรัตติกาลแมทเทียสแห่งนี้มายาวนานจนล่วงเข้าสู่ ปัจฉิมวัยแห่งเทพผู้ครองเมืองด้านมืด กำแพงปราสาทหนาใหญ่มั่นคงแข็งแรง ป้องกันได้ทั้งศัตรูผู้รุกรานและความหนาวเย็นอันทารุณจากอากาศภายนอกเอาไว้ได้อย่างดียิ่ง หอคอยในปราสาทสร้างด้วยศิลาแกร่งสีเทาเข้มสูงตระหง่านง้ำ ลดหลั่นเรียงรายกันนับร้อย ลวดลายต่าง ๆ บนตัวปราสาทสวยงามเกินจินตนาการเพราะเกิดจากฝีมือช่างเทพยดาในนครราตรี และอมนุษย์ข้าทาสบริวาร
ภายในท้องพระโรง ประตูทำด้วยแผ่นไม้หนาใหญ่ แกะสลักลวดลายพันธุ์ไม้เครือเถา ประดับด้วยกระจกหลากสี ส่งเงาสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ พื้นปูด้วยหินอ่อนมีลวดลายมังกรร้าย “ซูบิซ” สัตว์ในตำนาน ที่เมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ มันก็โผล่ออกมาจากปล่องถ้ำซึ่งกบดานอยู่นับพันปี เที่ยวบินร่อนตวัดกรงเล็บจับผู้คนในเมืองกินเป็นอาหาร จนสร้างความแตกตื่นอลหม่านไปทั่วทั้งเมืองของเทพราตรี แต่มันได้ถูกสังหารลงด้วยน้ำมือของเจ้าชายอเล็กซิส ผู้ได้รับฉายาว่า “เจ้าชายแห่งรัตติกาล” บุตรชายคนเล็กผู้กล้าหาญของจอมเทพลีโอโปล ซึ่งผู้คนในเมืองต่างพากันร่ำลือเซ็งแซ่ว่าเจ้าชายผู้นี้วิเศษนัก ทั้งรูปงามทั้งองอาจเก่งกล้า พระองค์ถือกำเนิดมาพร้อมดาบเพลิงโลอิก ซึ่งผุดขึ้นกลางมหาปราสาทในวันประสูติ
ยามร่างคนผนึกกับดาบเพลิงคมกริบ กวัดแกว่งรวดเร็วราวพายุหมุนเข้าใส่เหล่าอสูรรากษสที่แวะเวียนเข้ามาลองดี หรือบรรดามารอเวจีที่เข้ามาตอแย จะเกิดเป็นลำแสงสีแดงเจิดจ้าแสบตา พุ่งออกจากร่างสูงสง่าซึ่งควงดาบราวจักรผัน ลำแสงนั้นพุ่งเข้าทิ่มแทงฟาดฟันใส่ศัตรูทุกทิศทุกทาง เคลื่อนผ่านไปทางไหนเหล่าอริย่อมพินาศสิ้น
เจ้าชายอเล็กซิสผมหยักศกเคลียบ่าสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับสีตา ใบหน้าคมสันด้วยจมูกโด่งกับเรียวปากหยักลึก ใต้คางเป็นรอยบุ๋มและมีไรเคราเขียวสองข้างแก้ม พระองค์ทั้งปรีชาและหล่อเหลา แถมยังมีนิสัยอ่อนโยนอารมณ์ดี จนฉายา"เทพรัตติกาล"เหนือกว่า"เทพจันทรา"ซึ่งถูกยกย่องบูชาอยู่บนวิหารเหนือยอดเขาปอมปีแอร์กลางเมืองเสียอีก
กิตติศัพท์เลื่องลือนี้สูงสุด เมื่อครั้งเจ้าชายพุ่งทะยานเข้าหาร่างใหญ่โตของมังกรร้ายที่โผล่มารุกรานเมือง ซึ่งคาดว่ามันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากพลังเวทย์ของนางแม่มดซินเทียร์ หญิงขมังเวทย์ผู้เจ็บแค้นกษัตริย์เทพมืดคราวสะบั้นรักนางแล้วหันไปปันใจให้ ราชินีโจเซฟิน ราชินีหม้ายจากนครในหุบเขามรณะบนโลกมนุษย์
ดาบเพลิงในมือสะบัดเข้าใส่ขณะหลบหลีกกรงเล็บและเกล็ดคมวาววับที่มังกรร้ายสะบัดออกมาจากแผงปีก หมายใจจะให้ปักเข้ากลางร่างสูงล่ำสันแข็งแรงที่ลิ่วทะยานหลอกล่อ ทว่าไม่อาจระคายผิวร่างซึ่งว่องไวดั่งสายลมนั้นได้ และแม้มีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกจากปากเจ้ามังกรร้าย ดาบเพลิงในมือยังถูกยกขึ้นตวัดรับเอา พริบตาเดียวกลุ่มเพลิงก็ถูกดูดเป็นเส้นสาย หายวับเข้าไปในตัวดาบสีแดงฉานเล่มหนา ดาบโลหะยังสามารถดูดซับเอาพระเพลิงมาเป็นพลังแสงให้ตัวมันได้อีกทาง
มังกรร้ายพ่ายทั้งกรงเล็บที่ไร้เป้าหมาย รวมทั้งเปลวไฟร้อนแรงที่มันพ่นเข้าใส่ แต่กลับถูกดูดซับกลืนไปจนหายเกลี้ยงด้วยดาบวิเศษอันทรงพลัง สุดท้ายแม้มันสามารถอ้าปากออกกว้างงับเงาร่างได้ทัน ขยอกกลืนกินบุรุษพร้อมดาบเข้าไปทั้งตัวจนได้ แต่แล้วดาบเพลิงก็ผ่ากลางท้องมันให้แยกออก ร่างสูงเต็มไปด้วยเลือดมังกรเดินออกมายืนผงาด จ้องดูซากร่างสัตว์ร้ายที่นอนสิ้นลมลิ้นห้อยคาปากอย่างขบขัน ยุติสัตว์ร้ายในตำนานพันปีลงได้เพียงไม่ถึงชั่วยาม ไม่สูญเสียชีวิตทหารไปเลยแม้แต่คนเดียว
คราวนั้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้แก่โอรสผู้กล้าหาญ องค์ราชาแห่งนครราตรีจึงมีรับสั่งให้สลักลวดลายซูบิซไว้เป็นที่ระลึกถึงวีรกรรม ประดับเอาไว้บนพื้นในท้องพระโรงมหาปราสาทของพระองค์
ผนังห้องของท้องพระโรงบุด้วยแผ่นหินสีเทาตัดเรียบเหมือนกระจก บัลลังก์กษัตริย์เป็นแท่นหินสีดำหายากใหญ่โตทรงเรขาคณิต แกะสลักเป็นลวดลายวิจิตร ประดับด้วยแร่รัตนมณีหลากสีสวยงามแวววาว ตั้งอยู่ชิดผนังห้องด้านใน ลดหลั่นลงมาเป็นที่นั่งลักษณะเดียวกันแต่ขนาดย่อมกว่าของโอรสทั้งสอง แยกกันอยู่คนละฟาก อันประกอบไปด้วย ฟาบริซโอรสองค์โตและอเล็กซิสผู้เป็นอนุชา ถัดมาจึงเป็นเก้าอี้บุหนังเสือดาวของพระนางโจเซฟีน มเหสีองค์ใหม่ของพระองค์กับเจ้าหญิงเอลิซซาผู้เป็นธิดาของพระนางกับกษัตริย์โดโนแวนสวามีองค์ก่อน ซึ่งเคยเป็นกษัตริย์เมืองในหุบเขามรณะที่บัดนี้ทิ้งร้าง เหลือเพียงองครักษ์หนึ่งในสี่ของเทพเจ้าแห่งราตรีกาลที่ชื่อฟาเบียง บุรุษผู้มีธนูสายฟ้าเป็นอาวุธ กับนักรบราตรีอีกจำนวนหนึ่งปกครองดูแล
บัลลังก์แห่งนี้เดิมทีถูกนั่งโดยกษัตริย์ แต่เวลานี้พระองค์ประชวรหนักเข้าขั้นตรีทูต ใกล้แตกดับไปสู่ภพภูมิใหม่ ซึ่งจะเป็นภพใดย่อมสุดแล้วแต่กรรมที่เคยกระทำมา ขณะนี้บัลลังก์จึงว่างเปล่า เหล่าขุนนางและอัศวินน้อยใหญ่พากันเข้าเฝ้าอยู่เพียงด้านนอกท้องพระโรง เงี่ยหูฟังเสนาบดีใหญ่กับเหล่าแพทย์หลวงซึ่งกำลังตรวจดูพระอาการในห้องบรรทม ซึ่งหากมีสัญญาณดังขึ้นนั่นหมายถึงสิ้นกษัตริย์ แต่จักรวรรดิราตรีไม่อาจร้างเจ้าผู้ครองนคร ป้ายสีทองประจำพระองค์พร้อมพินัยกรรมซึ่งเป็นพระราชโองการจะถูกคลี่ออกอ่านโดยพลันจากมือของเสนาบดีเฒ่ากีวาช์ สิ่งที่คาใจเหล่าขุนนางทั่วหน้าก็คือ...ผู้ใดจะได้ขึ้นครองบัลลังก์นครราตรีต่อจาก กษัตริย์ลีโอโปล
จะเป็นโอรสคนโตผู้สำรวย รูปร่างสะโอดสะองสำอาง เรือนผมสีแดงกับตาสีเขียวมรกต ซึ่งไม่มีปรีชาชาญทางด้านใดเลยนอกจากนิสัยฉลาดแกมโกงนามว่าเจ้าชายฟาบรีซคนนั้น หรือจะเป็นเจ้าชายอเล็กซิสผู้เก่งกล้าสามารถกันแน่
มเหสีโจเซฟีนสตรีผู้พ้นวัยสาวที่มีเกศาสีทอง ตาสีฟ้าน้ำทะเลและยังคงเรือนร่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจชายเอาไว้ไม่เสื่อมคลาย ดำเนินไปมาอย่างร้อนใจหน้าห้องบรรทมของสวามี ข้างกายคือเจ้าชายฟาบรีซและอำมาตย์กีวาช์ ทั้งสามเพียงรออยู่ด้านนอกทวารห้องไม่เข้าไปดูใจคนใกล้ตาย ปล่อยให้แพทย์หลวงและนางกำนัลประจำพระองค์ดูแลตามลำพัง
“ท่านมั่นใจเพียงใด” กระแสเสียงแหลมเล็กสอบถามดังเพียงเสียงกระซิบ
“เกินกว่าที่เจ้ามั่นใจก็แล้วกัน” คนตอบก็ตอบกลับมาในลักษณะเดียวกัน ตาสีมรกตฉายแววเจ้าเล่ห์ เหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านติดฝาห้องแวบหนึ่งแล้วจึงหันไปบอกอำมาตย์ชราเสียงเรียบว่า
“กีวาช์...ท่านเตรียมอ่านพระราชโองการได้”
(มีต่อ)
อาถรรพ์รักเทพรัตติกาล
เนื่องจากตาข้างซ้ายของลิมัวฟางและมันมารบกวนตาขวาให้เห็นไม่ชัดไปด้วย ทำให้ลิไม่สามารถเขียนนิยายหรือเรื่องสั้นได้บ่อยเหมือนก่อน จึงเลือกเขียนเฉพาะที่อยากเขียนจริง ๆ อย่างเช่นเรื่องนี้เป็นนิยายแนวแฟนตาซีเทพเจ้าปล่อยพลัง อิอิ ซึ่งลิอยากเขียนมานาน จึงพยายามเขียนวันละนิดวันละหน่อยได้มาทีละบท จึงเอามาวางพอให้จำกันได้นะคะ ลิรีบวางก่อนผ่าตัดตาสิ้นเดือนนี้ และอาจได้วางอลเวงรักสองภพอีกสักบทสองบท
อนึ่ง นิยายเรื่องนี้ลิได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายเรื่อง เจ้าชายรัตติกาลกับธิดาพญายม ที่อาจารย์ GTW ได้กรุณาส่งมาให้อ่านทั้งเรื่อง ลิขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
โดย...ล.วิลิศมาหรา
อันดวงดาวที่เรียกว่าโลกนี้มีประวัติศาสตร์กล่าวขานถึงการแบ่งสรรปันส่วนกันอยู่ของผู้ครอบครองสามส่วน เหนือขึ้นไปเรียกว่าโลกสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ประทับของเหล่าทวยเทพและนางฟ้านางสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างสว่างกระจ่างแจ้งด้วยฤทธีของสุริยเทพ
แก่นกลางโลกอันมืดมิดเป็นที่ประทับของเทพด้วยเช่นเดียวกันแต่เป็นกาฬเทพ ทุกสิ่งบนดินแดนอันมืดมิดแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าด้านมืดนามว่าเทพรัตติกาล
บนพื้นดินจึงเป็นที่อยู่ของมนุษย์และสรรพสัตว์ซึ่งเรียกว่าโลกมนุษย์ สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อ่อนด้อยที่สุดนี้จำต้องพึ่งพาทั้งสุริยเทพและเทพแห่งรัตติกาล
อย่างไรก็ดีผู้ครอบครองทั้งสามส่วนนี้แทบจะไม่ข้องเกี่ยวกันเลย...เว้นแต่จะเกิดภัยพิบัติขึ้นในส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้เป็นใหญ่ที่สุดในสามโลกพระนามว่ามหาเทพซุสยินยอมไม่ได้
ปราสาทเทรมูลินัสเป็นปราสาทขนาดใหญ่ของเทพเจ้าแห่งราตรีกาลลีโอโปล ทรงครองบัลลังก์เหนือนครรัตติกาลแมทเทียสแห่งนี้มายาวนานจนล่วงเข้าสู่ ปัจฉิมวัยแห่งเทพผู้ครองเมืองด้านมืด กำแพงปราสาทหนาใหญ่มั่นคงแข็งแรง ป้องกันได้ทั้งศัตรูผู้รุกรานและความหนาวเย็นอันทารุณจากอากาศภายนอกเอาไว้ได้อย่างดียิ่ง หอคอยในปราสาทสร้างด้วยศิลาแกร่งสีเทาเข้มสูงตระหง่านง้ำ ลดหลั่นเรียงรายกันนับร้อย ลวดลายต่าง ๆ บนตัวปราสาทสวยงามเกินจินตนาการเพราะเกิดจากฝีมือช่างเทพยดาในนครราตรี และอมนุษย์ข้าทาสบริวาร
ภายในท้องพระโรง ประตูทำด้วยแผ่นไม้หนาใหญ่ แกะสลักลวดลายพันธุ์ไม้เครือเถา ประดับด้วยกระจกหลากสี ส่งเงาสะท้อนแสงไฟระยิบระยับ พื้นปูด้วยหินอ่อนมีลวดลายมังกรร้าย “ซูบิซ” สัตว์ในตำนาน ที่เมื่อไม่นานมานี้ จู่ ๆ มันก็โผล่ออกมาจากปล่องถ้ำซึ่งกบดานอยู่นับพันปี เที่ยวบินร่อนตวัดกรงเล็บจับผู้คนในเมืองกินเป็นอาหาร จนสร้างความแตกตื่นอลหม่านไปทั่วทั้งเมืองของเทพราตรี แต่มันได้ถูกสังหารลงด้วยน้ำมือของเจ้าชายอเล็กซิส ผู้ได้รับฉายาว่า “เจ้าชายแห่งรัตติกาล” บุตรชายคนเล็กผู้กล้าหาญของจอมเทพลีโอโปล ซึ่งผู้คนในเมืองต่างพากันร่ำลือเซ็งแซ่ว่าเจ้าชายผู้นี้วิเศษนัก ทั้งรูปงามทั้งองอาจเก่งกล้า พระองค์ถือกำเนิดมาพร้อมดาบเพลิงโลอิก ซึ่งผุดขึ้นกลางมหาปราสาทในวันประสูติ
ยามร่างคนผนึกกับดาบเพลิงคมกริบ กวัดแกว่งรวดเร็วราวพายุหมุนเข้าใส่เหล่าอสูรรากษสที่แวะเวียนเข้ามาลองดี หรือบรรดามารอเวจีที่เข้ามาตอแย จะเกิดเป็นลำแสงสีแดงเจิดจ้าแสบตา พุ่งออกจากร่างสูงสง่าซึ่งควงดาบราวจักรผัน ลำแสงนั้นพุ่งเข้าทิ่มแทงฟาดฟันใส่ศัตรูทุกทิศทุกทาง เคลื่อนผ่านไปทางไหนเหล่าอริย่อมพินาศสิ้น
เจ้าชายอเล็กซิสผมหยักศกเคลียบ่าสีน้ำตาลเข้มเช่นเดียวกับสีตา ใบหน้าคมสันด้วยจมูกโด่งกับเรียวปากหยักลึก ใต้คางเป็นรอยบุ๋มและมีไรเคราเขียวสองข้างแก้ม พระองค์ทั้งปรีชาและหล่อเหลา แถมยังมีนิสัยอ่อนโยนอารมณ์ดี จนฉายา"เทพรัตติกาล"เหนือกว่า"เทพจันทรา"ซึ่งถูกยกย่องบูชาอยู่บนวิหารเหนือยอดเขาปอมปีแอร์กลางเมืองเสียอีก
กิตติศัพท์เลื่องลือนี้สูงสุด เมื่อครั้งเจ้าชายพุ่งทะยานเข้าหาร่างใหญ่โตของมังกรร้ายที่โผล่มารุกรานเมือง ซึ่งคาดว่ามันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากพลังเวทย์ของนางแม่มดซินเทียร์ หญิงขมังเวทย์ผู้เจ็บแค้นกษัตริย์เทพมืดคราวสะบั้นรักนางแล้วหันไปปันใจให้ ราชินีโจเซฟิน ราชินีหม้ายจากนครในหุบเขามรณะบนโลกมนุษย์
ดาบเพลิงในมือสะบัดเข้าใส่ขณะหลบหลีกกรงเล็บและเกล็ดคมวาววับที่มังกรร้ายสะบัดออกมาจากแผงปีก หมายใจจะให้ปักเข้ากลางร่างสูงล่ำสันแข็งแรงที่ลิ่วทะยานหลอกล่อ ทว่าไม่อาจระคายผิวร่างซึ่งว่องไวดั่งสายลมนั้นได้ และแม้มีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกจากปากเจ้ามังกรร้าย ดาบเพลิงในมือยังถูกยกขึ้นตวัดรับเอา พริบตาเดียวกลุ่มเพลิงก็ถูกดูดเป็นเส้นสาย หายวับเข้าไปในตัวดาบสีแดงฉานเล่มหนา ดาบโลหะยังสามารถดูดซับเอาพระเพลิงมาเป็นพลังแสงให้ตัวมันได้อีกทาง
มังกรร้ายพ่ายทั้งกรงเล็บที่ไร้เป้าหมาย รวมทั้งเปลวไฟร้อนแรงที่มันพ่นเข้าใส่ แต่กลับถูกดูดซับกลืนไปจนหายเกลี้ยงด้วยดาบวิเศษอันทรงพลัง สุดท้ายแม้มันสามารถอ้าปากออกกว้างงับเงาร่างได้ทัน ขยอกกลืนกินบุรุษพร้อมดาบเข้าไปทั้งตัวจนได้ แต่แล้วดาบเพลิงก็ผ่ากลางท้องมันให้แยกออก ร่างสูงเต็มไปด้วยเลือดมังกรเดินออกมายืนผงาด จ้องดูซากร่างสัตว์ร้ายที่นอนสิ้นลมลิ้นห้อยคาปากอย่างขบขัน ยุติสัตว์ร้ายในตำนานพันปีลงได้เพียงไม่ถึงชั่วยาม ไม่สูญเสียชีวิตทหารไปเลยแม้แต่คนเดียว
คราวนั้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติให้แก่โอรสผู้กล้าหาญ องค์ราชาแห่งนครราตรีจึงมีรับสั่งให้สลักลวดลายซูบิซไว้เป็นที่ระลึกถึงวีรกรรม ประดับเอาไว้บนพื้นในท้องพระโรงมหาปราสาทของพระองค์
ผนังห้องของท้องพระโรงบุด้วยแผ่นหินสีเทาตัดเรียบเหมือนกระจก บัลลังก์กษัตริย์เป็นแท่นหินสีดำหายากใหญ่โตทรงเรขาคณิต แกะสลักเป็นลวดลายวิจิตร ประดับด้วยแร่รัตนมณีหลากสีสวยงามแวววาว ตั้งอยู่ชิดผนังห้องด้านใน ลดหลั่นลงมาเป็นที่นั่งลักษณะเดียวกันแต่ขนาดย่อมกว่าของโอรสทั้งสอง แยกกันอยู่คนละฟาก อันประกอบไปด้วย ฟาบริซโอรสองค์โตและอเล็กซิสผู้เป็นอนุชา ถัดมาจึงเป็นเก้าอี้บุหนังเสือดาวของพระนางโจเซฟีน มเหสีองค์ใหม่ของพระองค์กับเจ้าหญิงเอลิซซาผู้เป็นธิดาของพระนางกับกษัตริย์โดโนแวนสวามีองค์ก่อน ซึ่งเคยเป็นกษัตริย์เมืองในหุบเขามรณะที่บัดนี้ทิ้งร้าง เหลือเพียงองครักษ์หนึ่งในสี่ของเทพเจ้าแห่งราตรีกาลที่ชื่อฟาเบียง บุรุษผู้มีธนูสายฟ้าเป็นอาวุธ กับนักรบราตรีอีกจำนวนหนึ่งปกครองดูแล
บัลลังก์แห่งนี้เดิมทีถูกนั่งโดยกษัตริย์ แต่เวลานี้พระองค์ประชวรหนักเข้าขั้นตรีทูต ใกล้แตกดับไปสู่ภพภูมิใหม่ ซึ่งจะเป็นภพใดย่อมสุดแล้วแต่กรรมที่เคยกระทำมา ขณะนี้บัลลังก์จึงว่างเปล่า เหล่าขุนนางและอัศวินน้อยใหญ่พากันเข้าเฝ้าอยู่เพียงด้านนอกท้องพระโรง เงี่ยหูฟังเสนาบดีใหญ่กับเหล่าแพทย์หลวงซึ่งกำลังตรวจดูพระอาการในห้องบรรทม ซึ่งหากมีสัญญาณดังขึ้นนั่นหมายถึงสิ้นกษัตริย์ แต่จักรวรรดิราตรีไม่อาจร้างเจ้าผู้ครองนคร ป้ายสีทองประจำพระองค์พร้อมพินัยกรรมซึ่งเป็นพระราชโองการจะถูกคลี่ออกอ่านโดยพลันจากมือของเสนาบดีเฒ่ากีวาช์ สิ่งที่คาใจเหล่าขุนนางทั่วหน้าก็คือ...ผู้ใดจะได้ขึ้นครองบัลลังก์นครราตรีต่อจาก กษัตริย์ลีโอโปล
จะเป็นโอรสคนโตผู้สำรวย รูปร่างสะโอดสะองสำอาง เรือนผมสีแดงกับตาสีเขียวมรกต ซึ่งไม่มีปรีชาชาญทางด้านใดเลยนอกจากนิสัยฉลาดแกมโกงนามว่าเจ้าชายฟาบรีซคนนั้น หรือจะเป็นเจ้าชายอเล็กซิสผู้เก่งกล้าสามารถกันแน่
มเหสีโจเซฟีนสตรีผู้พ้นวัยสาวที่มีเกศาสีทอง ตาสีฟ้าน้ำทะเลและยังคงเรือนร่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจชายเอาไว้ไม่เสื่อมคลาย ดำเนินไปมาอย่างร้อนใจหน้าห้องบรรทมของสวามี ข้างกายคือเจ้าชายฟาบรีซและอำมาตย์กีวาช์ ทั้งสามเพียงรออยู่ด้านนอกทวารห้องไม่เข้าไปดูใจคนใกล้ตาย ปล่อยให้แพทย์หลวงและนางกำนัลประจำพระองค์ดูแลตามลำพัง
“ท่านมั่นใจเพียงใด” กระแสเสียงแหลมเล็กสอบถามดังเพียงเสียงกระซิบ
“เกินกว่าที่เจ้ามั่นใจก็แล้วกัน” คนตอบก็ตอบกลับมาในลักษณะเดียวกัน ตาสีมรกตฉายแววเจ้าเล่ห์ เหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านติดฝาห้องแวบหนึ่งแล้วจึงหันไปบอกอำมาตย์ชราเสียงเรียบว่า
“กีวาช์...ท่านเตรียมอ่านพระราชโองการได้”
(มีต่อ)