หลังจากที่ Yourname (2016) สร้างปรากฏการณ์ในเมืองไทยเราจนดูเหมือนมีคนเปิดใจให้กับ แอนิเมชั่น กันมากขึ้น.. และประมาณปลายเดือนนี้ก็จะมี แอนิเมชั่น เรื่องนึงที่กำลังมา.. นั่นก็เลยทำให้ผมอยากจะพูดถึง แอนิเมชั่น เรื่องนี้ซักหน่อย.. แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ข้อมูลคร่าวๆและสิ่งที่น่าสนใจใน แอนิเมชั่น ที่ผมอยากจะนำมาแชร์กันเท่านั้นนะครับ ซึ่ง แอนิเมชั่น ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ก็คือ.. The Red Turtle (2016)
พรีวิวทางเลือกแบบวิดีโอครับ (ภาพประกอบเยอะกว่า...)
The Red Turtle เป็นผลงานร่วมกันสร้างถึง 7 บริษัทเลยทีเดียว.. ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี สตูดิโอ ชื่อดังขวัญใจใครหลายคนอย่าง Ghibli ร่วมด้วย.. แล้วก็ยังมีบริษัทที่เราน่าจะผ่านตากันมาบ้างอย่าง Wild Bunch ครับ
ในส่วนของการกำกับก็ได้ Michael Dudok de Wit ที่มีผลงานเลื่องชื่ออย่าง Father and Daughter (2000) ครับ ซึ่งถ้าจะถามว่าเรื่องนี้ดังแค่ไหนนั้น.. Father and Daughter ก็ดังแบบคว้ารางวัล ออสการ์ สาขา Short Animation ยอดเยี่ยมเลยนะครับ แน่นอนแหละว่าเรื่องนี้ก็ไปกวาดรางวัลจากเทศกาลและสถาบันชื่อดังอื่นอีกมากมาย... แล้วก็การเขียนบทนะครับยังคงเป็น Michael Dudok de Wit เนี่ยแหละเขียน.. แต่ก็ยังมีมือเขียนบทคุณภาพจากฝรั่งเศสด้วยอีกคนนึงครับ
The Red Turtle เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมือง คานส์.. ซึ่งก็หมายความว่านี่เป็นหนังจาก คานส์ นั่นเอง.. สำหรับใครก็ตามนะครับที่ไม่ชอบหนังจากเทศกาลนี้และคิดว่าหนังที่นี่ดูยากก็ลองเปิดใจนิดนึงนะ.. คือมันก็ไม่ใช่แบบนั้นทุกเรื่องหรอกครับ ผมขอยกตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Sicario (2015) ก็เป็นหนัง คานส์ ครับ หรือว่าเอาเรื่องใสๆของ Steven Spielberg อย่าง The BFG เมื่อปีที่แล้วก็เปิดตัวจาก คานส์ เหมือนกันครับ..
ทีนี้มาว่ากันที่เรื่องราวของ แอนิเมชั่น แบบคร่าวๆกันบ้าง.. สำหรับ The Red Turtle นะครับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนึงที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง.. นั่นก็เลยทำให้เขาต้องติดอยู่ในเกาะร้างแห่งนึง.. แน่นอนว่านี่จะต้องเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงการเอาชีวิตรอดในระดับนึงเลยครับ และในระหว่างที่เขาพยายามจะเดินทางออกจากเกาะ.. ก็ได้พบกับเต่าสีแดงตัวใหญ่ครับ ซึ่งการได้พบกับเต่าตัวนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้นั่นเอง..
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่า The Red Turtle เป็น แอนิเมชั่น ที่มีบทพูดน้อยมาก.. หรืออาจจะไม่มีบทพูดเลย.. อันนี้ผมไม่แน่ใจนะ.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเราก็จะได้เสพบรรยากาศและเรื่องราวผ่านภาพครับ แล้วก็น่าจะมีดนตรีประกอบด้วยเหมือนกัน.. สำหรับใครนะครับที่สามารถเดินดู แกลเลอรี่ ภาพถ่ายหรืองานศิลปะคนเดียวได้ก็น่าจะอินกับอะไรแนวนี้พอสมควรเลย.. แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ชอบการเสพสุนทรีขนาดนี้นะครับ ผมก็มีผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับคนนี้อย่าง Father and Daughter ให้ลองไปรับชมกันเพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจครับ..
Father and Daughter (2000)
สำหรับใครที่ไม่อยากดูหรือไม่ได้ดูเรื่องที่ผมแปะไว้ให้... ผมก็จะอธิบายให้รู้กันสั้นๆละกันว่างานของ Michael Dudok de Wit จะเป็นแนวที่ใช้ดนตรีบรรเลงแล้วใช้ภาพเล่าเรื่องแทน.. ซึ่งงานภาพของเขาค่อนข้างจัดองค์ประกอบได้โดดเด่นทุกซีนครับ เราจะเห็นเลยว่าเขาถ่ายทอดภาพของ “มนุษย์และธรรมชาติ” ได้ลงตัวมากๆ คือเราจะได้เห็นมนุษย์ดูมีขนาดเล็กกว่าธรรมชาติแทบตลอด.. ซึ่งเขาก็เน้นถ่ายวัตถุระยะใกล้หรือธรรมชาติแบบภาพกว้างมากกว่าถ่ายคนด้วยนะ และสิ่งที่โดดเด่นมากอีกอย่างนึงก็คือการเปลี่ยนฉากโดยใช้ภาพที่สอดคล้องกันครับ ถือว่าเป็นงานที่เรานั่งเสพความสุนทรีของภาพได้ดีมากเรื่องนึงเลย แล้วก็ยังมีดนตรีคอยคลออยู่ตลอดเรื่องครับ..
ก็ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะนำมาแชร์กันครับ.. มันอาจจะไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าไหร่ก็จริงนะ.. แต่ The Red Turtle ก็ได้สตูดิโอ Ghibli ร่วมสร้างด้วย.. บางทีเราอาจจะได้เห็นการผสมผสาน Style ของ Ghibli ลงในเรื่องนี้จนทำให้หายคิดถึงได้ระดับนึงเลยครับ.. ^^
[Preview] The Red Turtle (2016) น่าดูหรือไม่ ? | Animation จาก Ghibli ?
[Preview] The Red Turtle (2016) น่าดูหรือไม่ ? | Animation จาก Ghibli ?
หลังจากที่ Yourname (2016) สร้างปรากฏการณ์ในเมืองไทยเราจนดูเหมือนมีคนเปิดใจให้กับ แอนิเมชั่น กันมากขึ้น.. และประมาณปลายเดือนนี้ก็จะมี แอนิเมชั่น เรื่องนึงที่กำลังมา.. นั่นก็เลยทำให้ผมอยากจะพูดถึง แอนิเมชั่น เรื่องนี้ซักหน่อย.. แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ข้อมูลคร่าวๆและสิ่งที่น่าสนใจใน แอนิเมชั่น ที่ผมอยากจะนำมาแชร์กันเท่านั้นนะครับ ซึ่ง แอนิเมชั่น ที่ผมกำลังพูดถึงนี้ก็คือ.. The Red Turtle (2016)
พรีวิวทางเลือกแบบวิดีโอครับ (ภาพประกอบเยอะกว่า...)
The Red Turtle เป็นผลงานร่วมกันสร้างถึง 7 บริษัทเลยทีเดียว.. ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี สตูดิโอ ชื่อดังขวัญใจใครหลายคนอย่าง Ghibli ร่วมด้วย.. แล้วก็ยังมีบริษัทที่เราน่าจะผ่านตากันมาบ้างอย่าง Wild Bunch ครับ
ในส่วนของการกำกับก็ได้ Michael Dudok de Wit ที่มีผลงานเลื่องชื่ออย่าง Father and Daughter (2000) ครับ ซึ่งถ้าจะถามว่าเรื่องนี้ดังแค่ไหนนั้น.. Father and Daughter ก็ดังแบบคว้ารางวัล ออสการ์ สาขา Short Animation ยอดเยี่ยมเลยนะครับ แน่นอนแหละว่าเรื่องนี้ก็ไปกวาดรางวัลจากเทศกาลและสถาบันชื่อดังอื่นอีกมากมาย... แล้วก็การเขียนบทนะครับยังคงเป็น Michael Dudok de Wit เนี่ยแหละเขียน.. แต่ก็ยังมีมือเขียนบทคุณภาพจากฝรั่งเศสด้วยอีกคนนึงครับ
The Red Turtle เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมือง คานส์.. ซึ่งก็หมายความว่านี่เป็นหนังจาก คานส์ นั่นเอง.. สำหรับใครก็ตามนะครับที่ไม่ชอบหนังจากเทศกาลนี้และคิดว่าหนังที่นี่ดูยากก็ลองเปิดใจนิดนึงนะ.. คือมันก็ไม่ใช่แบบนั้นทุกเรื่องหรอกครับ ผมขอยกตัวอย่างเช่นหนังเรื่อง Sicario (2015) ก็เป็นหนัง คานส์ ครับ หรือว่าเอาเรื่องใสๆของ Steven Spielberg อย่าง The BFG เมื่อปีที่แล้วก็เปิดตัวจาก คานส์ เหมือนกันครับ..
ทีนี้มาว่ากันที่เรื่องราวของ แอนิเมชั่น แบบคร่าวๆกันบ้าง.. สำหรับ The Red Turtle นะครับเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนึงที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง.. นั่นก็เลยทำให้เขาต้องติดอยู่ในเกาะร้างแห่งนึง.. แน่นอนว่านี่จะต้องเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงการเอาชีวิตรอดในระดับนึงเลยครับ และในระหว่างที่เขาพยายามจะเดินทางออกจากเกาะ.. ก็ได้พบกับเต่าสีแดงตัวใหญ่ครับ ซึ่งการได้พบกับเต่าตัวนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้นั่นเอง..
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่า The Red Turtle เป็น แอนิเมชั่น ที่มีบทพูดน้อยมาก.. หรืออาจจะไม่มีบทพูดเลย.. อันนี้ผมไม่แน่ใจนะ.. ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเราก็จะได้เสพบรรยากาศและเรื่องราวผ่านภาพครับ แล้วก็น่าจะมีดนตรีประกอบด้วยเหมือนกัน.. สำหรับใครนะครับที่สามารถเดินดู แกลเลอรี่ ภาพถ่ายหรืองานศิลปะคนเดียวได้ก็น่าจะอินกับอะไรแนวนี้พอสมควรเลย.. แต่สำหรับใครที่ไม่ได้ชอบการเสพสุนทรีขนาดนี้นะครับ ผมก็มีผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับคนนี้อย่าง Father and Daughter ให้ลองไปรับชมกันเพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจครับ..
Father and Daughter (2000)
สำหรับใครที่ไม่อยากดูหรือไม่ได้ดูเรื่องที่ผมแปะไว้ให้... ผมก็จะอธิบายให้รู้กันสั้นๆละกันว่างานของ Michael Dudok de Wit จะเป็นแนวที่ใช้ดนตรีบรรเลงแล้วใช้ภาพเล่าเรื่องแทน.. ซึ่งงานภาพของเขาค่อนข้างจัดองค์ประกอบได้โดดเด่นทุกซีนครับ เราจะเห็นเลยว่าเขาถ่ายทอดภาพของ “มนุษย์และธรรมชาติ” ได้ลงตัวมากๆ คือเราจะได้เห็นมนุษย์ดูมีขนาดเล็กกว่าธรรมชาติแทบตลอด.. ซึ่งเขาก็เน้นถ่ายวัตถุระยะใกล้หรือธรรมชาติแบบภาพกว้างมากกว่าถ่ายคนด้วยนะ และสิ่งที่โดดเด่นมากอีกอย่างนึงก็คือการเปลี่ยนฉากโดยใช้ภาพที่สอดคล้องกันครับ ถือว่าเป็นงานที่เรานั่งเสพความสุนทรีของภาพได้ดีมากเรื่องนึงเลย แล้วก็ยังมีดนตรีคอยคลออยู่ตลอดเรื่องครับ..
ก็ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะนำมาแชร์กันครับ.. มันอาจจะไม่ได้มีอะไรมากมายเท่าไหร่ก็จริงนะ.. แต่ The Red Turtle ก็ได้สตูดิโอ Ghibli ร่วมสร้างด้วย.. บางทีเราอาจจะได้เห็นการผสมผสาน Style ของ Ghibli ลงในเรื่องนี้จนทำให้หายคิดถึงได้ระดับนึงเลยครับ.. ^^
[Preview] The Red Turtle (2016) น่าดูหรือไม่ ? | Animation จาก Ghibli ?