The Red Turtle : La Tortue Rouge : レッドタートル ある島の物語
“ งดงาม ละเอียดอ่อน สะท้อนอารมณ์ได้อย่างเต็มเปี่ยม ”
The Red Turtle อาจจะเป็นหนังที่ทุกคนสงสัยในขณะนี้ เพราะ ล่าสุดเวที
Oscar สาขา Animation ได้ประกาศหนังผู้ท้าชิงออกมาแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ The Red Turtle แถม The Red Turtle ยังได้รับ
Un Certain Regard Special Prize ของ Cannes Film Festival มาอีกด้วย นับว่าเป็นแอนิเมชันที่ไม่ธรรมดาเลย
The Red Turtle ได้รับการกำกับโดย
Michaël Dudok de Wit และที่สำคัญคือ เป็นการร่วมสร้างระหว่าง
Studio Ghibli และ
Wild Bunch จุดนี้แหละที่น่าสนใจ เพราะ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นผลงานร่วมสร้าง แต่นี่คือ ผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (แต่ในฐานะ Producer ไม่ใช่ผู้กำกับงานโดยตรง) ซึ่งก็มีกลิ่นอายสไตล์หนังของ Ghibli แฝงไว้อีกด้วย
The Red Turtle มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่พลัดหลงมาติดเกาะ เขาพยายามเอาชีวิตรอดและสร้างแพเพื่อหนีออกจากเกาะนี้ แต่ว่าทุกครั้งที่นำแพออกทะเลไป จะต้องโดนบางอย่างกระแทกจนทำให้แพพัง ซึ่งสิ่งที่กระแทก นั่นก็คือ เต่าแดง นั่นเองและการพบกันของทั้งสองก็สร้างเรื่องราวอันน่าประทับใจ
The Red Turtle เป็นหนังนอกกระแสเต็มรูปแบบที่ดูยาก (สำหรับคอหนังธรรมดา)
สำหรับ
The Red Turtle คือ แอนิเมชันที่ผมขออนุญาตเรียกได้
‘หนังนอกกระแสแบบเต็มรูปแบบ’ เพราะด้วยสไตล์หนังที่ไม่มีส่วนใดเลยที่อยู่ในสายหนังกระแสหลัก (จริงๆ แค่ขึ้นชื่อว่าได้
คานส์ กับถ้าได้ดู Trailer ก็น่าจะพอเดาทางได้แล้ว) หนังมีวิธีการเล่าเรื่องที่แปลกออกไปจากหนังเรื่องอื่น คือ ไม่มีการพูดกันเลยแม้แต่คำเดียว (มีแค่ตะโกนนิดหน่อย) เราดูเรื่องนี้เราจะต้องวิเคราะห์เรื่องเองจากเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง การแสดงท่าทางของตัวละคร การมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมถึงบรรยากาศของหนัง
แต่ที่เรียกได้ว่า
‘ยาก’ สำหรับการดูหนังเรื่องนี้จริงๆ ก็คือ
การตีความหนัง เพราะ หนังไม่มีการสนทนากัน หนังจึงเปิดกว้างให้เราตีความเองว่า จริงๆแล้วหนังต้องการจะสื่ออะไร และสิ่งที่หนังจะสื่อก็ไม่ใช่ของที่สามารถแกะเอาจากหนังได้ง่ายๆ เนื่องจากหนังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ค่อนข้างเป็นนามธรรม ต้องใช้การตีความอย่างลึกซึ้งไปตามแต่วิจารณญาณของแต่ละคน หนังยังเป็นหนังปรัชญาที่ผสมกับเรื่องราวเหนือจริง ดำเนินเรื่องแบบเรียบนิ่ง เนือย ไม่หวือหวา ยิ่งทำให้หนังดูยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าไม่ใช่คอหนังแนวนี้ ก็อาจจะเบื่อและหลับได้ง่าย
The Red Turtle แฝงปรัชญา มีความงดงาม ละเอียดอ่อน สะท้อนอารมณ์ได้อย่างเต็มเปี่ยม (สำหรับคอหนังรางวัล)
สิ่งที่ผมกล่าวมาข้างบน คือ
“สิ่งที่ผมอยากจะบอกสำหรับคอหนังธรรมดาที่ไม่ได้ชอบหนังตีความหนังอะไรมากมาย” แต่ในแง่มุมสำหรับคนชอบดูหนังตีความและชื่นชอบในความแปลกใหม่ ผมก็ขอแนะนำ
The Red Turtle ว่าไม่ควรพลาด เพราะว่า ยิ่งเป็นหนังที่ดูยากมากเท่าไร มันยิ่งเป็นความท้าทายสำหรับคอหนังนอกกระแสและคอหนังสายรางวัลมากเท่านั้น (รวมถึงผมด้วย 555) The Red Turtle มันเป็นหนังที่โคตรหายากและทำโคตรยาก อันเนื่องมาจากสไตล์หนังที่มันทำยากจริงๆ หนังแบบไม่มีบทพูด แต่แฝงปรัชญาไว้ได้ลึกซึ้งมากมาย รวมถึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะถ่ายทอดโดยตรงหรือใช้สัญลักษณ์บางอย่างสื่อความหมายแทน
หนังมีความละเอียดอ่อนและงดงาม พร้อมกับดราม่าลึกๆ (คล้ายๆกับไวน์ที่ต้องค่อยๆสัมผัส จะกินรวดเดียวไม่ได้) รวมถึงให้อิสระกับเราในการตีความอย่างกว้างขวาง ทำให้เราสามารถสนุกและเพลิดเพลินไปกับการขบคิดประเด็นที่ซ่อนไว้ในหนังได้อย่างเป็นอิสระ
หนังได้แสดงแนวคิดถึงเรื่องความผูกพันระหว่างชายติดเกาะกับเต่าแดงไว้อย่างแน่นแฟ้น ความรู้สึกอบอุ่น ความรักของคนในครอบครัว และเรื่องของคนกับธรรมชาติ ผสานกับปรัชญาแง่มุมการใช้ชีวิตไว้อย่างแนบเนียน เช่น การอยู่กับธรรมชาติ ชีวิตที่เกื้อกูล พึ่งพาอาศัยและผูกพันกับธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ทะเลและเต่าแดง (เป็นแนวคิดที่คล้ายคลึงกับ Ghibli) มันทำให้เราสามารถดื่มด่ำไปกับความงดงามของแนวคิดหนังได้ในตลอดทั้งเรื่อง (พร้อมกับปูน้อยที่คอยออกมาสร้างสีสัน)
ด้วยความที่หนังมีสไตล์แบบไม่ใช้บทพูด ผมยังนับว่าเป็นข้อดีของหนังอย่างหนึ่งอีกด้วย เพราะ ถ้าเราใช้สไตล์แบบนี้ไปทำภาพยนตร์จริง มันไม่เวิร์คเท่ากับทำออกมาแอนิเมชัน เรียกได้ว่า หนังสามารถดึงข้อดีของการเป็นหนังแอนิเมชันได้อย่างน่าสนใจและน่าประทับใจ
The Red Turtle คือ งานอาร์ตอันล้ำค่าที่พลาดไม่ได้
ในส่วนของ Production หนัง ก็เรียกได้ว่าเป็น
'งานอาร์ต' มากกว่าที่จะเป็นหนังแอนิเมชันธรรมดา เพราะ ภาพของ The Red Turtle สวยงามมากๆ คลาสสิคด้วยลายเส้นที่ออกไปทางฝรั่ง (ดูๆไปก็คล้ายลายเส้นใน The Little Prince) และฉากต่างๆที่สวยงามมาก ทุกฉากในหนังจัดวางองค์ประกอบได้สวยงาม รวมถึงมีสีสันคล้ายสีน้ำที่ดูไม่ฉูดฉาด ทำให้บรรยากาศหนังดูสงบนิ่งแต่ล้ำค่า ในระดับที่ถ้าเราตัดฉากแต่ละฉากในหนังมาทำเป็น Gallery รูปถ่ายก็คงสามารถทำได้ทันที
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : งดงาม เข้ากับโทนดราม่าแบบลึกๆ
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ
The Red Turtle ได้รับการประพันธ์โดย
Laurent Perez del Mar ซึ่งถือว่าหนังทำได้ดีเลยในแง่ของการใส่โทนดราม่าแบบลึกๆ และบรรยากาศที่ค่อนข้างนิ่งๆ เข้ากับตัวหนังที่แสดงถึงความโดดเดี่ยวของตัวละครที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวบนเกาะ แต่ในบางห้วงอารมณ์ก็เน้นอารมณ์ได้อย่างยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ มีธีมที่ชัดเจน (พร้อมเสียงแนว Opera)
Laurent Perez Del Mar - L'Au Revoir
Laurent Perez Del Mar - The Girl
สรุป
สำหรับ
The Red Turtle ผมให้
8/10 (ความสนุกให้ 7.3/10 ปรัชญาและการตีความให้ 9/10 งานภาพให้ 10/10) The Red Turtle คือ หนังปรัชญาชีวิตที่ดีเรื่องหนึ่ง อาจดูไม่สนุกในแง่บันเทิงมากมาย แต่สนุกในแง่การได้ตีความและการเข้าถึงปรัชญาอันลึกซึ้ง หนังมีลายเส้นแบบฝรั่ง แต่พอเราดูจบปุ๊ป เราจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหนังแบบ Ghibli ลึกๆ (แต่ Ghibli ไม่ใช่ผู้กำกับหนังโดยตรง) หนังยังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างงดงามและมีสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร อย่างการใช้
‘อวัจนภาษา’ เป็นสื่อหลักในการเล่าเรื่อง หนังแฝงปรัชญาไว้อย่างลึกซึ้งและเปิดให้เราสามารถตีความหนังได้อย่างอิสระ พร้อมกับเสพความอาร์ตของฉากต่างๆและภาพอันสวยงามของหนัง แต่หากไม่ใช่คนชอบตีความหรือชอบหนังนอกกระแส ไม่แนะนำให้ดูเลย เพราะ สไตล์หนังดูยาก (อาจจะหลับได้)
หากคุณชอบดูหนังตีความ ชอบดูหนังอาร์ตหรือชอบค้นหาอะไรแปลกใหม่ The Red Turtle มีสิ่งที่คุณต้องการหาไว้อย่างครบถ้วน
“ความรัก คือ การให้อภัยและยอมละทิ้งตัวตนเดิม เพื่อคนที่เรารัก”
8/10
----------------------------------------------------------------------
ป.ล.1 ผมได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลบางส่วนนะครับ เนื่องจาก ผมลืมตรวจสอบไปว่า Ghibli ไม่ได้เป็นผู้กำกับงานหลัก เป็นเพียง Producer ของหนังเรื่องนี้ (แต่อาจมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ดูคล้าย Ghibli บ้าง)
ป.ล.2 ผมได้ตีความบางส่วนเอาไว้และถ้าใครคิดเห็นอย่างไรก็แชร์แนวคิดกันได้นะครับ (มี Spoil)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- การที่เต่าแดงชนจนแพแตกทุกครั้ง : ต้องการจะรั้งพระเอกไว้ไม่ให้ไปไหน
- หญิงสาวทิ้งกระดองและพระเอกก็ทิ้งแพ : หญิงสาวให้อภัยพระเอกและต้องการละทิ้งตัวตนเดิม เพื่อมาอยู่กับพระเอก ส่วนพระเอกก็ไม่ต้องการไปไหนอีกแล้ว อยากจะอยู่กับหญิงสาวเพียงสองคน (ในเรื่องหญิงสาวให้อภัยพระเอกนี้ ยังแสดงอยู่ในอีกฉากตอนที่พระเอกกับนางเอกนั่งอยู่บนหาดทราย 2 คน พระเอกนึกเสียใจที่หยิบไม้ไปฟาดหัวเต่าแดง แต่นางเอกก็จับแขนและกุมมือพระเอก แสดงท่าทีให้อภัย เหมือนว่าไม่เป็นไร)
- ทั้งสามคนวาดรูปบนทราย : สอนลูกว่า ที่อยู่กันตอนนี้แค่สามคน คือ บนเกาะ ยังมีแผ่นดินตรงโพ้นทะเลที่มีคนอาศัยอยู่อีกมากมายและระหว่างทางในทะเลก็มีเต่าแดงอาศัยอยู่
- ฉากที่ลูกชายมองน้ำผ่านขวด ท่ามกลางฉากหลังที่เป็นทะเล : สื่อถึงความรู้สึกที่อยากจะออกไปท่องทะเลอันกว้างใหญ่ และมองเห็นทะเลด้วยมุมมองที่ใหญ่กว่านี้ ไม่ใช่อารมณ์เหมือนใช้ชีวิตแบบมนุษย์ที่มองทะเลอย่างแคบๆ (มองน้ำทะเลผ่านขวด)
ขวดในรูปนี้และลูกชายตอนโต
- สุดท้ายหลังจากที่พระเอกตาย หญิงสาวก็กลายเป็นเต่าและกลับลงทะเล : ไม่มีเหตุผลอะไรที่หญิงสาวจะอยู่บนพื้นดินอีกแล้ว เพราะ สิ่งสำคัญที่สุดของเธอได้หายไปแล้ว
- คนกับเต่า ก็แสดงแนวคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติที่เอื้อเฟื้อกันและกัน (เป็นเอกลักษณ์ของ Ghibli ด้วย ที่มักแฝงแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติไว้อยู่เสมอ)
***นี่เป็นการวิเคราะห์ส่วนตัวนะครับ ไม่รู้ว่าจะวิเคราะห์ได้ตรงตามจุดประสงค์ที่หนังต้องการสื่อไว้จริงๆหรือเปล่า ผิดพลาดประการใดต้องขออภัย***
[CR] (Review) The Red Turtle (2016) : ทางสายใหม่ของ Studio Ghibli
The Red Turtle อาจจะเป็นหนังที่ทุกคนสงสัยในขณะนี้ เพราะ ล่าสุดเวที Oscar สาขา Animation ได้ประกาศหนังผู้ท้าชิงออกมาแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ The Red Turtle แถม The Red Turtle ยังได้รับ Un Certain Regard Special Prize ของ Cannes Film Festival มาอีกด้วย นับว่าเป็นแอนิเมชันที่ไม่ธรรมดาเลย
The Red Turtle ได้รับการกำกับโดย Michaël Dudok de Wit และที่สำคัญคือ เป็นการร่วมสร้างระหว่าง Studio Ghibli และ Wild Bunch จุดนี้แหละที่น่าสนใจ เพราะ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นผลงานร่วมสร้าง แต่นี่คือ ผลงานชิ้นแรกของ Studio Ghibli ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ (แต่ในฐานะ Producer ไม่ใช่ผู้กำกับงานโดยตรง) ซึ่งก็มีกลิ่นอายสไตล์หนังของ Ghibli แฝงไว้อีกด้วย
The Red Turtle มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่พลัดหลงมาติดเกาะ เขาพยายามเอาชีวิตรอดและสร้างแพเพื่อหนีออกจากเกาะนี้ แต่ว่าทุกครั้งที่นำแพออกทะเลไป จะต้องโดนบางอย่างกระแทกจนทำให้แพพัง ซึ่งสิ่งที่กระแทก นั่นก็คือ เต่าแดง นั่นเองและการพบกันของทั้งสองก็สร้างเรื่องราวอันน่าประทับใจ
The Red Turtle เป็นหนังนอกกระแสเต็มรูปแบบที่ดูยาก (สำหรับคอหนังธรรมดา)
สำหรับ The Red Turtle คือ แอนิเมชันที่ผมขออนุญาตเรียกได้ ‘หนังนอกกระแสแบบเต็มรูปแบบ’ เพราะด้วยสไตล์หนังที่ไม่มีส่วนใดเลยที่อยู่ในสายหนังกระแสหลัก (จริงๆ แค่ขึ้นชื่อว่าได้ คานส์ กับถ้าได้ดู Trailer ก็น่าจะพอเดาทางได้แล้ว) หนังมีวิธีการเล่าเรื่องที่แปลกออกไปจากหนังเรื่องอื่น คือ ไม่มีการพูดกันเลยแม้แต่คำเดียว (มีแค่ตะโกนนิดหน่อย) เราดูเรื่องนี้เราจะต้องวิเคราะห์เรื่องเองจากเหตุการณ์ต่างๆในเรื่อง การแสดงท่าทางของตัวละคร การมีปฏิสัมพันธ์กัน รวมถึงบรรยากาศของหนัง
แต่ที่เรียกได้ว่า ‘ยาก’ สำหรับการดูหนังเรื่องนี้จริงๆ ก็คือ การตีความหนัง เพราะ หนังไม่มีการสนทนากัน หนังจึงเปิดกว้างให้เราตีความเองว่า จริงๆแล้วหนังต้องการจะสื่ออะไร และสิ่งที่หนังจะสื่อก็ไม่ใช่ของที่สามารถแกะเอาจากหนังได้ง่ายๆ เนื่องจากหนังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ค่อนข้างเป็นนามธรรม ต้องใช้การตีความอย่างลึกซึ้งไปตามแต่วิจารณญาณของแต่ละคน หนังยังเป็นหนังปรัชญาที่ผสมกับเรื่องราวเหนือจริง ดำเนินเรื่องแบบเรียบนิ่ง เนือย ไม่หวือหวา ยิ่งทำให้หนังดูยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าไม่ใช่คอหนังแนวนี้ ก็อาจจะเบื่อและหลับได้ง่าย
The Red Turtle แฝงปรัชญา มีความงดงาม ละเอียดอ่อน สะท้อนอารมณ์ได้อย่างเต็มเปี่ยม (สำหรับคอหนังรางวัล)
สิ่งที่ผมกล่าวมาข้างบน คือ “สิ่งที่ผมอยากจะบอกสำหรับคอหนังธรรมดาที่ไม่ได้ชอบหนังตีความหนังอะไรมากมาย” แต่ในแง่มุมสำหรับคนชอบดูหนังตีความและชื่นชอบในความแปลกใหม่ ผมก็ขอแนะนำ The Red Turtle ว่าไม่ควรพลาด เพราะว่า ยิ่งเป็นหนังที่ดูยากมากเท่าไร มันยิ่งเป็นความท้าทายสำหรับคอหนังนอกกระแสและคอหนังสายรางวัลมากเท่านั้น (รวมถึงผมด้วย 555) The Red Turtle มันเป็นหนังที่โคตรหายากและทำโคตรยาก อันเนื่องมาจากสไตล์หนังที่มันทำยากจริงๆ หนังแบบไม่มีบทพูด แต่แฝงปรัชญาไว้ได้ลึกซึ้งมากมาย รวมถึงถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะถ่ายทอดโดยตรงหรือใช้สัญลักษณ์บางอย่างสื่อความหมายแทน
หนังมีความละเอียดอ่อนและงดงาม พร้อมกับดราม่าลึกๆ (คล้ายๆกับไวน์ที่ต้องค่อยๆสัมผัส จะกินรวดเดียวไม่ได้) รวมถึงให้อิสระกับเราในการตีความอย่างกว้างขวาง ทำให้เราสามารถสนุกและเพลิดเพลินไปกับการขบคิดประเด็นที่ซ่อนไว้ในหนังได้อย่างเป็นอิสระ
หนังได้แสดงแนวคิดถึงเรื่องความผูกพันระหว่างชายติดเกาะกับเต่าแดงไว้อย่างแน่นแฟ้น ความรู้สึกอบอุ่น ความรักของคนในครอบครัว และเรื่องของคนกับธรรมชาติ ผสานกับปรัชญาแง่มุมการใช้ชีวิตไว้อย่างแนบเนียน เช่น การอยู่กับธรรมชาติ ชีวิตที่เกื้อกูล พึ่งพาอาศัยและผูกพันกับธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ทะเลและเต่าแดง (เป็นแนวคิดที่คล้ายคลึงกับ Ghibli) มันทำให้เราสามารถดื่มด่ำไปกับความงดงามของแนวคิดหนังได้ในตลอดทั้งเรื่อง (พร้อมกับปูน้อยที่คอยออกมาสร้างสีสัน)
ด้วยความที่หนังมีสไตล์แบบไม่ใช้บทพูด ผมยังนับว่าเป็นข้อดีของหนังอย่างหนึ่งอีกด้วย เพราะ ถ้าเราใช้สไตล์แบบนี้ไปทำภาพยนตร์จริง มันไม่เวิร์คเท่ากับทำออกมาแอนิเมชัน เรียกได้ว่า หนังสามารถดึงข้อดีของการเป็นหนังแอนิเมชันได้อย่างน่าสนใจและน่าประทับใจ
The Red Turtle คือ งานอาร์ตอันล้ำค่าที่พลาดไม่ได้
ในส่วนของ Production หนัง ก็เรียกได้ว่าเป็น 'งานอาร์ต' มากกว่าที่จะเป็นหนังแอนิเมชันธรรมดา เพราะ ภาพของ The Red Turtle สวยงามมากๆ คลาสสิคด้วยลายเส้นที่ออกไปทางฝรั่ง (ดูๆไปก็คล้ายลายเส้นใน The Little Prince) และฉากต่างๆที่สวยงามมาก ทุกฉากในหนังจัดวางองค์ประกอบได้สวยงาม รวมถึงมีสีสันคล้ายสีน้ำที่ดูไม่ฉูดฉาด ทำให้บรรยากาศหนังดูสงบนิ่งแต่ล้ำค่า ในระดับที่ถ้าเราตัดฉากแต่ละฉากในหนังมาทำเป็น Gallery รูปถ่ายก็คงสามารถทำได้ทันที
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : งดงาม เข้ากับโทนดราม่าแบบลึกๆ
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ของ The Red Turtle ได้รับการประพันธ์โดย Laurent Perez del Mar ซึ่งถือว่าหนังทำได้ดีเลยในแง่ของการใส่โทนดราม่าแบบลึกๆ และบรรยากาศที่ค่อนข้างนิ่งๆ เข้ากับตัวหนังที่แสดงถึงความโดดเดี่ยวของตัวละครที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวบนเกาะ แต่ในบางห้วงอารมณ์ก็เน้นอารมณ์ได้อย่างยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ มีธีมที่ชัดเจน (พร้อมเสียงแนว Opera)
สรุป
สำหรับ The Red Turtle ผมให้ 8/10 (ความสนุกให้ 7.3/10 ปรัชญาและการตีความให้ 9/10 งานภาพให้ 10/10) The Red Turtle คือ หนังปรัชญาชีวิตที่ดีเรื่องหนึ่ง อาจดูไม่สนุกในแง่บันเทิงมากมาย แต่สนุกในแง่การได้ตีความและการเข้าถึงปรัชญาอันลึกซึ้ง หนังมีลายเส้นแบบฝรั่ง แต่พอเราดูจบปุ๊ป เราจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหนังแบบ Ghibli ลึกๆ (แต่ Ghibli ไม่ใช่ผู้กำกับหนังโดยตรง) หนังยังมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างงดงามและมีสไตล์การเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร อย่างการใช้ ‘อวัจนภาษา’ เป็นสื่อหลักในการเล่าเรื่อง หนังแฝงปรัชญาไว้อย่างลึกซึ้งและเปิดให้เราสามารถตีความหนังได้อย่างอิสระ พร้อมกับเสพความอาร์ตของฉากต่างๆและภาพอันสวยงามของหนัง แต่หากไม่ใช่คนชอบตีความหรือชอบหนังนอกกระแส ไม่แนะนำให้ดูเลย เพราะ สไตล์หนังดูยาก (อาจจะหลับได้)
หากคุณชอบดูหนังตีความ ชอบดูหนังอาร์ตหรือชอบค้นหาอะไรแปลกใหม่ The Red Turtle มีสิ่งที่คุณต้องการหาไว้อย่างครบถ้วน
ป.ล.1 ผมได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลบางส่วนนะครับ เนื่องจาก ผมลืมตรวจสอบไปว่า Ghibli ไม่ได้เป็นผู้กำกับงานหลัก เป็นเพียง Producer ของหนังเรื่องนี้ (แต่อาจมีเอกลักษณ์บางอย่างที่ดูคล้าย Ghibli บ้าง)
ป.ล.2 ผมได้ตีความบางส่วนเอาไว้และถ้าใครคิดเห็นอย่างไรก็แชร์แนวคิดกันได้นะครับ (มี Spoil)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น