รีวิว แบบไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมา กับ "หมาและเหม๋ ตะลุย Christmas ต้องมนตร์ในเมือง Edinburgh, Scotland"

สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปในห้องบลูแพลนเน็ตทุกคน ผมเป็นน้องใหม่อยากจะมารีวิวทริปท่องเที่ยวเมือง Edinburgh ประเทศ Scotland ในรูปแบบที่ไปแล้วไม่ต้องกลับมาอีก แต่ไม่ได้ระบุงบประมาณตามแต่ท่านผู้อ่านจะสะดวกครับ ยินดีรับข้อติชมทุกอย่างเพื่อพัฒนาผลงานต่อไปครับ

ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านรีวิวเห่ยๆ อันแรกของหมากับเหม๋ และหวังว่าจะสามารถแชร์เวลาดีดีที่เรามีให้กับผู้อ่านทุกคนได้ครับ ไปเริ่มกันเลยย

(ย้อนความเดิม) หมากับเหม๋นั้น ได้มีโอกาสมาเรียนที่เมืองหลวงของประเทศ Scotland นั้นก็คือเมือง Edinburgh แล้วเนื่องด้วยใกล้จะวันคริสต์มาสแล้ว เราสองคนเลยอยากจะมาแชร์ทั้งตลาดคริสต์มาสที่ใครเห็นก็ต้องตกหลุมรักราวกับต้องมนต์สะกด รวมถึงเมือง Edinburgh แบบไปเที่ยวแล้วไม่พลาดว่าต้องไปตรงไหนกันเลยทีเดียว

เกริ่นความนิดนึงว่า Scotland เป็นหนึ่งในประเทศของ United Kingdom ซึ่งประกอบไปด้วย England, Scotland, Wales, และ Northen Ireland กลุ่มประเทศนี้ เป็นกลุ่มประเทศที่น่าไปท่องเที่ยวอย่างยิ่ง เนื่องจากมีวิวที่ค่อนข้างสวยงาม รวมถึงตึกราบ้านช่องที่ดูมีสไตล์ตามแบบฉบับของคนอังกฤษ
เมือง Edinburgh ตอนแรกที่เราเห็นชื่อนี้ เราก็จะคุ้นเคยกับเมืองนี้ในชื่อของ เมืองเอดินเบิร์ก ซึ่งมีอยู่ตามนิยายที่เกี่ยวกับเวทย์มนต์ และประเภทที่มีความโบรำโบราณนั้นเอง แต่จริงๆแล้ว เมืองนี้อ่านออกเสียงว่า เอ-ดิน-บะ-ระ หรือให้ง่ายว่า เอ-ดิน-บรา เมืองนี้มีภูมิทัศน์ที่ค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์เนื่องจากเป็นภูเขาอยู่ตรงกลาง บนเนินนั้นจะมี Edinburgh Castle หรือปราสาทเอดินบราตั้งตระหง่านอยู่อย่างเด่นชัดจากทุกส่วนของตัวเมือง ตัวเมืองถูกจัดสรรปันส่วนเป็นอย่างดีโดยมีถนนช้อปปิ้งเส้นหลัก Princes street คั้นระหว่าง เมืองเก่าและเมืองใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมา

เกริ่นมาพอสมควรเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า เริ่มต้นกันด้วยจุดสำคัญที่สุดของเมืองอย่างปราสาทเอดินบรา จากมุมสวนที่ตั้งอยู่กลางเมืองอย่าง Princes garden แอบกระซิบให้ฟังได้ว่า JK Rowling ได้ใช้ปราสาทแห่งที่และอีกหลายๆพื้นที่ในเมืองเนรมิตและใส่จินตนาการให้เกิดเป็นโรงเรียนเวทย์มนต์ ฮอกวอตส์นั้นเอง
ต่อกันอีกสักรูปสำหรับวิวจากหน้าปราสาท ซึ่งบอกเลยว่าอีหมาและอีเหม๋ได้ไปกระโดดถ่ายรูปตรงนี้แล้วได้รูปแบบฮิปๆกันมาเลยทีเดียว
จากวิวตรงนี้จะสามารถเห็นทั้งฝั่งเมืองใหม่ และเมืองเก่าได้พร้อมๆกัน โดยแบ่งจากถนน Princes street หรือดูได้จากชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่แบ่งเขตเมืองเก่าและใหม่นั้นเอง เห็นกันไหม ลิบๆด้านหลังตึกสวยๆนั้นไง
มีโบสถ์อยู่ใกล้ๆปราสาท ซึ่งมีลายสวยงามน่าดูเลยทีเดียว
อีกฝากที่ถูกสร้างขึ้นให้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ๆ สำหรับทำงาน ซึ่งจะดูออกจะทันสมัยสักหน่อย
จากด้านบนปราสาท จะมีถนนชื่อว่า Royal Miles ทอดยาวผ่ากลางเมืองลงไปจนสุดที่ปราสาทอีกข้างหนึงของถนน ถึงถนนนี้มีความยาว 1 Mile ตามชื่อ แต่เป็น ไมล์สก็อตเเลนด์นะ ซึ่งก็คือประมาณ 1.8 กิโลเมตรนั้นเอง
ตรงส่วนกลางของถนนดังกล่าว ก็จะมีโบสถ์ St. Giles ซึ่งเป็นโบสถ์ประจำเมืองอยู่ ด้านในจะเป็นกระจกแก้วกัดสวยงาม และหลังคาโบสถ์ตามสถาปัตยกรรมแบบเก่านั้นเอง (อีเหม๋ไม่อินกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไร ก็ตามนั้นแหละครับท่านผู้ชม)
เดินเล่นย่านเมืองเก่า ก็จะพบกับตึกราบ้านช่องดูมีระเบียบ และลดหลั่นกันอยู่ตามไหล่เขา ราวกับอยู่ในโลกเวทย์มนตร์เลยทีเดียว
บ้านเรือนก็ประดับประดาด้วยไฟเพื่อให้เข้ากับเทศกาลคริสต์มาสดูแล้วก็สวยงามเหมาะแก่การถ่ายรูปไม่เบา (ตรงนี้อีเหม๋ก็ถ่ายไปเกือบจะร้อยช็อตได้)
อีกสักหนึ่งช็อตสำหรับบ้านเรือนที่สีสันสดใสรายตากันไป รวมถึงร้านค้าต่างๆมากมายที่มีของแปลกๆ เหมือนกับมีคุณไสย์เวทย์มนตร์อยู่ก็ไม่ปาน ใครที่ชอบของแปลกๆ ดูขลังๆ ต้องห้ามพลาดเดินโซนเมืองเก่ากันเลยทีเดียว
โคลสอัพกันใกล้ๆ กับไฟรูปเกล็ดหิมะ แต่ดูไปดูมากลับคล้ายรูปใยแมงมุมซะงั้น
เดินย่านเมืองเก่าซะอย่างชิลๆ กับบรรยากาศขรึมๆ แต่ดูรวมๆแล้วมีสเน่ห์เหลือเกิน
ที่สก็อตแลนด์นั้น ตามทางจะมีช่องที่เรียกว่า Close ซึ่งเป็นช่องที่ตัดผ่านไหล่เขาเพื่อให้การเดินทางสะดวกขึ้น หมาและเหม๋ก็ไม่พลาดที่จะแนะนำช่องที่เด็ดที่สุดนั้นคือ Advocate Close ซึ่งจะสามารถมองเห็นอนุสาวรีย์ได้อย่างชัดเหมาะแก่การถ่ายรูปแบบสิบคะแนนกันเลยยย
เดินตัดลงมาจากช่องเขาก็มาพบกับอนุสาวรีย์ Scottish Monument ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญและเห็นได้ชัดอีกอย่างเช่นกัน ข้างๆนั้นในช่วงคริสต์มาสก็จะมีเครื่องเล่นสุดหวาดเสียว ที่ให้เรานั่งห้อยขา แล้วมันค่อยๆหมุนจากพื้นขึ้นสู่ยอดนั้นเอง เห็นแล้วก็หวาดเสียวอยู่ได้ไม่ทันไร อีเหม๋ก็ชวนเราเล่นเครื่องเล่นนรกนี้ซะแล้วสิ อีหมาเลยบอกว่า เดินเล่นก่อนละกัน เดียวค่อยกลับมาเล่นเป็นการบ่ายเบี่ยงอย่างมีชั้นเชิงง
เดินต่อจาก Scottish monument ได้สักประมาณ10นาที มุ่งหน้าสู่ไฮไลท์หลังของเมืองอย่าง Calton Hills ซึ่งขึ้นไปเป็นยอดเขาเล็กๆที่จะเห็นเมืองได้ทั้งเมืองอีกเช่นกัน ใครที่มา เอดินบรา แต่มาไม่ถึง คาลตั้นฮิล์ล ถือว่ามาไม่ถึงนะเออ เป็นมุมยอดฮิตที่เวลาเสริชในกูเกิ้ลก็จะเจอเป็นสิ่งแรกเลยหละ ต้องมาให้ได้
คนส่วนมากก็จะมาคอยดูพระอาทิตย์ตกที่นี้แหละ ส่วนอีกที่หนึงก็คือ Arthur’s seat ยอดเขาที่จะเห็นแผ่นภูเขาที่เคลื่อนตัวขึ้นมาเป็นเหมือนขอบโลกยังไงอย่างนั้น แต่ต้องปีนขึ้นไปประมาน 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปเห็นวิวแบบนี้
เดินกลับลงมาจากคาลตั้นฮิล์ลก็มืดซะแล้ว เลยแอบแวะถ่ายรูป หอนาฬิกาสุดสวยของโรงแรม Balmoral ที่ JK Rowling ใช้ตอนแต่ง แฮรรี่พ็อตเตอร์ เล่มสุดท้ายนั้นเอง มันดีซะจน JK Rowling เองซื้อห้องเก็บไว้สักห้องกันเลยแหละ แต่โรงแรมนี้แหละนะ แพงน่าดู !!
และแล้วก็กลับมาตรงนี้อีกจนได้ ไอ้เราก็พยายามรีบเดินผ่านๆไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีเสียงดังลั่นขึ้นมาว่า หมา!!! เท่านั้นแหละ รู้สึกตัวอีกที ขาสองข้างก็ห้อยลงมาจากเครื่องเล่นนรกนี้เสียแล้ว โอ้ย ลงมาทีเดินไม่เป็นคนเลยจ้าาา ใครที่ชอบความตื่นเต้น แนะนำว่าต้องลอง เพราะขึ้นไปหมุนไม่พอ ยังเห็นวิวทั้งเมืองอีกตั้งหาก แต่ถ้าถามหมาละก็ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มัวแต่ตะโกนกันอยู่ว่า “เอาตรูลงไปปปปปป ไม่เล่นแล้วววว” 555+
หลังจากผ่านพ้นนรกบนดินมาได้ ก็ถึงเวลามาเดินเล่นตลาดคริสต์มาสแบบชิลๆให้สบายใจสักที ตามทางก็จะมีร้านค้าขายของมากมาย อย่างในรูปจะเป็นร้านค้าขาย หิมะปลอม!! ซึ่งเป็นผงๆ ใส่น้ำเปล่าเข้าไป มันก็จะฟูขึ้นมีลักษณะเหมือนหิมะแต่ไม่เย็น ก็น่าซื้อมาให้เด็กๆเล่นกันอยู่นะ
จะขาดไปไม่ได้สำหรับร้านขายหมวก เพราะเวลามันหนาวมากๆ จะชาไปทั้งหน้า ทั้งหู แอบกระซิบได้เลยว่า หูหายไปหลายรอบเลยทีเดียว
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างสำหรับ Christmas market นั้นก็คือ ไส้กรอกเยอรมันนนน เพราะต้นตำรับของคริสต์มาสมาร์เก็ตมาจากเถือกๆนั้น นี้เราก็แอบถ่ายมา แต่พี่คนย่างไส้กรอก ดันยิ้มกลับมาให้แบบหล่อๆซะงั้น
อีกหนึ่งในสิ่งควรลองนั้นคือ Mulled Wine หรือว่าไวน์ร้อนนั้นเอง ช่วยคลายหนาวได้ดีทีเดียวเลยแหละ หรือจะเป็น Hot Cider ที่รสชาติคล้ายๆกับ สปายบ้านเรา แต่มันประหลาดตรงที่ทั้งซ่า ทั้งร้อนนี้แหละ
ม้าหมุนก็เป็นอีกเครื่องเล่นแห่งความสุขที่มีอยู่ในคริสต์มาสมาร์เก็ต คอยให้คนมาเล่น พร้อมเปิดเพลงคริสต์มาสคลอบรรยากาศไปนั้นเอง
มีร้านขายของต่างๆมากมายให้เข้ากับเทศกาลไม่ว่าจะเป็นที่ห้อยต้นคริสต์มาส จนกระทั่งเทียนเลยทีเดียว หมาเองก็อยากได้เต็มที่แต่โดนอีเหม๋เบรกซะหัวทิ่มว่า จะเอาไปทำซากอะไร!!
เดินมาอีกนิดจะเห็นชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่พอๆกับเอเชียทีคบ้านเรา ซึ่งบรรยากาศก็โรแมนติก เหมาะสำหรับคู่รัก หรือครอบครัวขึ้นไปใช้เวลาร่วมกันและ ชมวิวเมืองไปพร้อมๆกัน
ด้านล่างสุดของสวนและตลาดนั้นจะมีสวรรค์ของเด็กๆ ชื่อโซนว่า Santa Land ดินแดนของซานต้าครอส ก็จะมีเครื่องเล่นเด็กน้อยมากมาย และก็มีขนมหวานขายด้วย
หนึ่งสิ่งที่ถ้ามาสก็อตแลนด์ในหน้าหนาวแล้วห้ามพลาด คือเมนูเครื่องดื่ม Apple Toddy ที่เป็นบรั่นดีใส่น้ำแอปเปิ้ล ว่ากันว่าช่วยแก้หวัดได้ดี รวมถึงยังให้ความอบอุ่นอีกตั้งหาก ปล.เด็กต่ำกว่า18 เขาไม่ขายให้นะจ้ะ
เดินไปก็ผ่านร้านนี้ กำลังย่างปลาแซลม่อนกันอย่างจริงจัง กลิ่นก็หอมควัน หอมปลาปนกันไปชวนน้ำลายสอยิ่งนัก
บรรยากาศแบบครอบครัวๆ และความสุขที่ล้นเอ่อมาจากซานต้าแลนด์
หมาและเหม๋ตัดสินใจ เป็นเด็กหนึงวัน ซื้อตั๋วเข้าไปเล่น เขาวงกตต้นคริสต์มาส เข้าไปก็นึกว่าจะให้เดินหาทางออกอย่างเดียว ทีไหนได้ต้องเดินตามเก็บตัวอักษรให้ครบตามที่กำหนด แล้วนำไปแลกของรางวัลกับ เอลฟ์ของซานต้าที่คอยทำของขวัญให้เด็กๆทั่วโลกนั้นแหละ วู้วฮู้
วิวชิงช้าผ่านจากเขาวงกตต้นคริสมาส หาทางออกไม่เจองะ ฮือๆ
ขอแชะต้นคริสต์มาสจริงๆเป็นรูปส่งท้ายเลยละกัน และเราก็หาทางออกเจอจนได้
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ครับ หมากับเหม๋มั่นใจว่า ตัวเองนั้นได้โดนมนต์สะกดของเมือง เอดินบราเข้าอย่างจัง เป็นเมืองที่น่าหลงไหลและน่าเดินเล่นเป็นอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี้หนึ่งปีกว่าๆ ก็ยังไม่เคยเบื่อกับวิวเดิมๆเลย เชื่อว่าถ้ามีโอกาส จะขอกลับไปเยี่ยมชมเมืองนี้อีกสักครั้งเป็นแท้ หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับคริสต์มาสครับ  ส่วนหมาและเหม๋นั้นขอตัวไปหัดร้องเพลง จิงเกอเบลก่อนนะ บายๆ

ถ้าหากว่าชอบผลงานก็ฝากติดตาม เพจ หมาถ่ายเหม๋เที่ยว ใน facebook ด้วยนะครับ https://www.facebook.com/MhatakeMeatiew

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่