หลายๆคนอาจจะเคยมีความทรงจำที่ดีกับหลายๆสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ผูกพันธ์ สถานที่ที่ประทับใจ สถานที่ที่คอยบันทึกเรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่า สถานที่ของแต่ละคนนั้นต่างกัน
แต่สำหรับเรานั้น เอดินบะระ หรือ เอดินเบิร์ก คือเมืองแห่งความทรงจำ
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเรื่องนี้คือเราได้มีโอกาสไปอาศัยอยู่ในเมืองเอดินบะระ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศสก็อตแลนด์ ที่อยู่รวมเป็นเกาะเดียวกับประเทศอังกฤษ เป็นเวลาเกือบๆ 2 ปี โดยต้องบอกก่อนเลยว่า เอดินบะระ คือสุดยอดเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในทุกๆมุมของเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ดูมีความขลัง และมีกลื่นอายของเวทมนต์ แทบทุกมุมเมือง โดยจะเรียกว่า เมืองเวทมนต์ที่มีชีวิตก็ได้อยู่
โดยเมือง Edinburgh จะมีการแบ่งสัดส่วนของเมืองไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็นเมืองเก่า (Old town) ที่ตึกราบ้านช่องยังถูกรักษาเอาไว้ให้คงสภาพเดิมทั้งหมด และเมืองใหม่ (New town) ที่เป็นตึกทีทันสมัยขึ้นมา โดยมีเส้นแบ่งตรงกลางคือ ถนนสายหลักของเมืองอย่าง Princes st. และยิ่งไปกว่านั้นคือการมีปราสาทเอดินบะระ (แรงบันดาลใจของปราสาท Hogwarts) ตั้งตระหง่านบนเนินเขาที่อยู่จุดศูนย์กลางของเมือง ทำให้บรรยากาศของเมืองนี้ค่อนข้างที่จะมีความพิเศษอย่างมาก
และต้องบอกก่อนเลยว่าสภาพอากาศของ Edinburgh ค่อนข้างจะหนาวกว่า London และบรรยากาศค่อนข้างจะอึมครึมตลอด ๆ มีฝนปรอย ๆ ตลอดทั้งปี ยิ่งทำให้ดูขลังและเหงามากขึ้นไปอีก แต่ก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของเมืองนี้เลยครับ
วิวปราสาทเอดินบะระจากหน้าปราสาทที่มีนักท่องเที่ยวมากมายมาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในปราสาทไม่กี่ที่บนโลกที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด
ประตูทางเข้าปราสาทที่ถูกประดับด้วยกำแพงสูงเพื่อป้องกันผู้บุกรุก และมีตราสัญลักษณ์โชว์เด่นเป็นสง่า
การยิงปืนใหญ่จากปราสาทเอดินบะระ จะเกิดขึ้นทุกวันในช่วงเวลาบ่ายโมง เนื่องจากเอดินบะระเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล การยิงปืนใหญ่เป็นการทำเพื่อบอกเวลากับนักเดินเรือในสมัยก่อนให้ทราบเวลานั้นเอง
จากปราสาทเมืองเดินลงมา จะพบกับถนน รอยัลไมล์ (Royal Miles) ซึ่งจะพาดยาวจากปราสาทเอดินบะระ ไปยังปราสาทโฮลี่รู้ด ซึ่งเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวในเวลาที่พระราชินีควีนอลิซาเบธที่ 2 เสด็จไปยังเอดินบะระนั้นเอง
St. Giles Cathedral มหาวิหารเซนต์ไจล์ โบสถ์สำคัญของเมืองเอดินบะระ ที่ตั้งอยู่กลางถนนรอยัลไมล์ ซึ่งด้านในมีความสวยงามของโบสถ์โดยมีกระจกแก้วกัดสีที่โดดเด่นตามแบบฉบับของโบสถ์อังกฤษ
ภาพโคลสอัพรายละเอียดของตึกราบ้านช่องที่ตั้งอยู่ในย่ายเมืองเก่า
เมื่อเดินมาเรื่อยๆจะเห็นว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้บ้านเรือนนั้นมีความสูงต่ำลดหลั่นกันไปในแต่ละพื้นที่ของเมือง ซึ่งดูแล้วก็ทำให้เกิดความสวยงามและสมบูรณ์แบบของเมืองอย่างบอกไม่ถูก
บ้านเรือนที่มีการประดับประดาในช่วงวันคริสต์มาสหรือเทศกาลต่างๆ ถูกวางเรียงกันอยู่เปรียบได้กับเมืองเทพนิยายก็ไม่ได้เว่อเกินไป
ในเมืองเอดินบะระ จากถนนรอยัลไมล์นั้น เมื่อเดินลงมาจากปราสาทเอดินบะระแล้ว ทางซ้ายมือส่วนมากจะถูกเจาะทะลุด้วยช่องต่างๆที่เรียกว่า Close ซึ่งมีหน้าที่ในการเชื่อมเมืองเก่าและเมืองใหม่เข้าด้วยกัน โดยตัดทะลุผ่านบ้านของผู้อื่น เป็นพื้นที่ทางลัดที่ทำให้เดินทางได้รวดเร็วยิ่งขึ้น มองทะลุช่องไปก็จะเห็นกับ Scottish Monument อยู่ที่ปลายทาง
Scottish Monument อนุสาวรีย์สก็อตทิช เป็นอนุสาวรีย์ประจำมือง
Princes St. ถนนสายหลักของเมือง ที่ประกอบไปด้วยร้านค้าต่างๆนาๆมามาย มากไปกว่านั้นถนนสายนี้ยังเป็นส่วนแบ่งของเมืองให้เกิดเป็น โซนเมืองเก่า และเมืองใหม่
Princes St. Garden สวนปริ้นส์สตรีทที่ในหน้าร้อนจะมีชาวเมืองจำนวนมากมานอนตากแดดและใช้เวลาวันหยุดในการมานั่งปิกนิกกันอย่างสนุกสนาน
ในปริ้นส์สตรีทการ์เด้นก็จะมีมุมมถ่ายรูปของนำพุและฉากหลังเป็นปราสาทเอดินบะระ ซึ่งทุกอย่าง ทั้งองค์ประกอบและตำแหน่งทำให้เกิดเป็นรูปภาพที่สวยงามได้อย่างง่ายดาย
เดินถัดมาอีกนิดนพบกับชุมทางรถไฟที่ทุกสายต้องวิ่งมาในเอดินบะระ เพื่อต่อรถ หรือเป็นจุดมุ่งหมายในการมาเที่ยวของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
เดินกลับมาอีกด้านเมื่อเดินมาจนสุดถนนปริ้นส์แล้วนั้นจะพบกับ Calton Hills ซึ่งเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเอดินบะระ ถ้ามาแล้วไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกตรงนี้ ก็จะถือว่ามาไม่ถึง แต่ถ้าใครยังมีพลังอยู่เดียวเราจะพาไปจุดชมพระอาทิตย์ตกอีกที่ที่ดีไม่แพ้กันในอีกไม่กี่รูปครับ
มีซากของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ชาวสก็อตนั้นบอกว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งความอับอายเนื่องจากในขณะเวลาที่ก่อสร้างที่แห่งนี้เกิดการโกงเงินค่าก่อสร้างทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างมาไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันนั้นกลายเป็นสถานที่ฮิจของวัยรุ่นหลายๆคนได้กระโดด ปีนป่ายละถ่ายรูปกันอย่างเมามัน
ภาพมุมสูงของ Calton Hills จากยอดหอคอยที่อยู่ตรงนั้น โดยจะมีค่าเข้าหอคอยแห่งนี้ที่ขึ้นมาชมวิว พร้อมทั้งมีประกาศนียบัตรมอบให้เป็นของที่ระลึกจากการเดินขึ้นบันไดกว่า 300 ขั้น (มันน่าดีใจมั้ยย)
ถัดจาก Calton hills เราเดินตัดเข้าเมืองเพื่อไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกของสายพลังงานล้นเหลือนั้นคือเรากำลังมุ่งหน้าสู่ Arthur's seat นั้นเอง
เดินมาถึงทางขึ้น Arthur's seat ภูเขาที่สูงและสามารถมองเห็นวิวทั้งเมืองได้ มองในรูปเหมือนกับว่ามีถนนให้ ก็ไม่น่าจะขึ้นยากแต่ต้องบอกเลยว่า ถนนมันหายไปตั้งแต่ตรงนี้ ซึ่งหมายความว่า หากใครขับรถก็จะเอารถมาจาอดได้ตรงจุดนี้เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะต้องเดินเท้าเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวต่อไป
นักท่องเที่ยวเริ่มดินขึ้น Arthur's seat กันอย่างไม่ขาดสายเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเขา
ทางเดินจะมีทั้งช่วงที่ยากและง่ายสลับกัน ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมดาที่เป็นทางตรง หรือกระทั่งทางที่ไม่มีทางและต้องเดินลัดเลาะเอาตามความถนัด แต่รางวัลของการเดินทางนี้อยู่อีกไม่ไกลเท่านั้นเอง
เมื่อเดินขึ้นมาแล้วนั้นจะพอวิวที่เราคิดว่าค่อนข้างจะคุ้มกับการเดินขึ้นยอดเขาเป็นเวลา 1-2 ชม เพื่อภาพที่สุดจะหาคำบรรยายมาเพิ่มให้มมันมากกว่านี้ เรารู้แค่ว่าเราลืมความเหนื่อยไปแล้ว และเอนจอยกับเวลาตรงนี้เท่านั้นเอง
บางที บรรยากาศมันก็จะเหงาๆหน่อย
จากยอด Arthur's seat จะสามารถมองเห็น Calton hills ได้ด้วย
มากไปกว่านั้นยังห็นทั้งชิงช้าสวรรค์และ Scottish monument ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง Princes st. (ปล.ชิงช้าสวรรค์จะมาช่วงเดือน 10 ยาวไปจนถึงปีใหม่เลยน้า)
พอแสงอาทิตย์เริ่มทอเเสง สีชมพูบอกเวลาว่าใกล้ถึงเวลาพระอาทิตย์ตก มันกลายเป็นภาพบรรยากาศอีกบรรยากาศที่เรายังจำได้จนถึงทุกวันนี้
Close up ปราสาทเอดินบะระในยามพระอาทิตย์ตกตกโดยมีปราสาทเป็นพระเอก แต่บ้านเรือนต่างๆเป็นส่วนประกอบ ทำให้ภาพถูกเติมเต็มขึ้นมา
วิวอีกข้างจาก Arthur's seat จะเห็นเป็นเมืองเอดินบะระ ย่านชายฝั่งและติดทะเล
เดินกลับมายังโซนในเมืองขอแวะถ่ายรูปบรรยากาศของเมืองที่มีชีวิตชีวาหน่อยย
ปิดท้ายด้วยภาพอีกภาพของบรรยากาศกลางคืนของเมืองเอดินบะระ
เราบอกตามตรงเลยว่าเอดินบะระเป็นเมืองที่เราตกหลุมรักเป็นอย่างมาก เราหวังเล็กๆนะว่า ทุกท่านที่ได้อ่านโพสตรงนี้ ไม่มากก็น้อยจะเกิดความคิดที่จะมีชื่อของเมืองแห่งนี้ เข้าไปอยู่เป็นตัวเลือกในการท่องเที่ยวไม่มากก็น้อย
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงจุดนี้ครับ
ปล. ขอป้ายยา ฝากเพจนิดนึงคร้าบบบ
https://web.facebook.com/gonoplans/
(Review) ตะลุยเมืองแห่งเวทมนต์ Edinburgh, Scotland เมืองที่เหมือนต้องมนต์สะกด
แต่สำหรับเรานั้น เอดินบะระ หรือ เอดินเบิร์ก คือเมืองแห่งความทรงจำ
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเรื่องนี้คือเราได้มีโอกาสไปอาศัยอยู่ในเมืองเอดินบะระ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศสก็อตแลนด์ ที่อยู่รวมเป็นเกาะเดียวกับประเทศอังกฤษ เป็นเวลาเกือบๆ 2 ปี โดยต้องบอกก่อนเลยว่า เอดินบะระ คือสุดยอดเมืองที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในทุกๆมุมของเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมืองที่ดูมีความขลัง และมีกลื่นอายของเวทมนต์ แทบทุกมุมเมือง โดยจะเรียกว่า เมืองเวทมนต์ที่มีชีวิตก็ได้อยู่
โดยเมือง Edinburgh จะมีการแบ่งสัดส่วนของเมืองไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็นเมืองเก่า (Old town) ที่ตึกราบ้านช่องยังถูกรักษาเอาไว้ให้คงสภาพเดิมทั้งหมด และเมืองใหม่ (New town) ที่เป็นตึกทีทันสมัยขึ้นมา โดยมีเส้นแบ่งตรงกลางคือ ถนนสายหลักของเมืองอย่าง Princes st. และยิ่งไปกว่านั้นคือการมีปราสาทเอดินบะระ (แรงบันดาลใจของปราสาท Hogwarts) ตั้งตระหง่านบนเนินเขาที่อยู่จุดศูนย์กลางของเมือง ทำให้บรรยากาศของเมืองนี้ค่อนข้างที่จะมีความพิเศษอย่างมาก
และต้องบอกก่อนเลยว่าสภาพอากาศของ Edinburgh ค่อนข้างจะหนาวกว่า London และบรรยากาศค่อนข้างจะอึมครึมตลอด ๆ มีฝนปรอย ๆ ตลอดทั้งปี ยิ่งทำให้ดูขลังและเหงามากขึ้นไปอีก แต่ก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของเมืองนี้เลยครับ
วิวปราสาทเอดินบะระจากหน้าปราสาทที่มีนักท่องเที่ยวมากมายมาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในปราสาทไม่กี่ที่บนโลกที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด
ประตูทางเข้าปราสาทที่ถูกประดับด้วยกำแพงสูงเพื่อป้องกันผู้บุกรุก และมีตราสัญลักษณ์โชว์เด่นเป็นสง่า
การยิงปืนใหญ่จากปราสาทเอดินบะระ จะเกิดขึ้นทุกวันในช่วงเวลาบ่ายโมง เนื่องจากเอดินบะระเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล การยิงปืนใหญ่เป็นการทำเพื่อบอกเวลากับนักเดินเรือในสมัยก่อนให้ทราบเวลานั้นเอง
จากปราสาทเมืองเดินลงมา จะพบกับถนน รอยัลไมล์ (Royal Miles) ซึ่งจะพาดยาวจากปราสาทเอดินบะระ ไปยังปราสาทโฮลี่รู้ด ซึ่งเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวในเวลาที่พระราชินีควีนอลิซาเบธที่ 2 เสด็จไปยังเอดินบะระนั้นเอง
St. Giles Cathedral มหาวิหารเซนต์ไจล์ โบสถ์สำคัญของเมืองเอดินบะระ ที่ตั้งอยู่กลางถนนรอยัลไมล์ ซึ่งด้านในมีความสวยงามของโบสถ์โดยมีกระจกแก้วกัดสีที่โดดเด่นตามแบบฉบับของโบสถ์อังกฤษ
ภาพโคลสอัพรายละเอียดของตึกราบ้านช่องที่ตั้งอยู่ในย่ายเมืองเก่า
เมื่อเดินมาเรื่อยๆจะเห็นว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาทำให้บ้านเรือนนั้นมีความสูงต่ำลดหลั่นกันไปในแต่ละพื้นที่ของเมือง ซึ่งดูแล้วก็ทำให้เกิดความสวยงามและสมบูรณ์แบบของเมืองอย่างบอกไม่ถูก
บ้านเรือนที่มีการประดับประดาในช่วงวันคริสต์มาสหรือเทศกาลต่างๆ ถูกวางเรียงกันอยู่เปรียบได้กับเมืองเทพนิยายก็ไม่ได้เว่อเกินไป
ในเมืองเอดินบะระ จากถนนรอยัลไมล์นั้น เมื่อเดินลงมาจากปราสาทเอดินบะระแล้ว ทางซ้ายมือส่วนมากจะถูกเจาะทะลุด้วยช่องต่างๆที่เรียกว่า Close ซึ่งมีหน้าที่ในการเชื่อมเมืองเก่าและเมืองใหม่เข้าด้วยกัน โดยตัดทะลุผ่านบ้านของผู้อื่น เป็นพื้นที่ทางลัดที่ทำให้เดินทางได้รวดเร็วยิ่งขึ้น มองทะลุช่องไปก็จะเห็นกับ Scottish Monument อยู่ที่ปลายทาง
Scottish Monument อนุสาวรีย์สก็อตทิช เป็นอนุสาวรีย์ประจำมือง
Princes St. ถนนสายหลักของเมือง ที่ประกอบไปด้วยร้านค้าต่างๆนาๆมามาย มากไปกว่านั้นถนนสายนี้ยังเป็นส่วนแบ่งของเมืองให้เกิดเป็น โซนเมืองเก่า และเมืองใหม่
Princes St. Garden สวนปริ้นส์สตรีทที่ในหน้าร้อนจะมีชาวเมืองจำนวนมากมานอนตากแดดและใช้เวลาวันหยุดในการมานั่งปิกนิกกันอย่างสนุกสนาน
ในปริ้นส์สตรีทการ์เด้นก็จะมีมุมมถ่ายรูปของนำพุและฉากหลังเป็นปราสาทเอดินบะระ ซึ่งทุกอย่าง ทั้งองค์ประกอบและตำแหน่งทำให้เกิดเป็นรูปภาพที่สวยงามได้อย่างง่ายดาย
เดินถัดมาอีกนิดนพบกับชุมทางรถไฟที่ทุกสายต้องวิ่งมาในเอดินบะระ เพื่อต่อรถ หรือเป็นจุดมุ่งหมายในการมาเที่ยวของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
เดินกลับมาอีกด้านเมื่อเดินมาจนสุดถนนปริ้นส์แล้วนั้นจะพบกับ Calton Hills ซึ่งเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของเอดินบะระ ถ้ามาแล้วไม่ได้มาดูพระอาทิตย์ตกตรงนี้ ก็จะถือว่ามาไม่ถึง แต่ถ้าใครยังมีพลังอยู่เดียวเราจะพาไปจุดชมพระอาทิตย์ตกอีกที่ที่ดีไม่แพ้กันในอีกไม่กี่รูปครับ
มีซากของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ชาวสก็อตนั้นบอกว่ามันคือสัญลักษณ์แห่งความอับอายเนื่องจากในขณะเวลาที่ก่อสร้างที่แห่งนี้เกิดการโกงเงินค่าก่อสร้างทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างมาไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันนั้นกลายเป็นสถานที่ฮิจของวัยรุ่นหลายๆคนได้กระโดด ปีนป่ายละถ่ายรูปกันอย่างเมามัน
ภาพมุมสูงของ Calton Hills จากยอดหอคอยที่อยู่ตรงนั้น โดยจะมีค่าเข้าหอคอยแห่งนี้ที่ขึ้นมาชมวิว พร้อมทั้งมีประกาศนียบัตรมอบให้เป็นของที่ระลึกจากการเดินขึ้นบันไดกว่า 300 ขั้น (มันน่าดีใจมั้ยย)
ถัดจาก Calton hills เราเดินตัดเข้าเมืองเพื่อไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกของสายพลังงานล้นเหลือนั้นคือเรากำลังมุ่งหน้าสู่ Arthur's seat นั้นเอง
เดินมาถึงทางขึ้น Arthur's seat ภูเขาที่สูงและสามารถมองเห็นวิวทั้งเมืองได้ มองในรูปเหมือนกับว่ามีถนนให้ ก็ไม่น่าจะขึ้นยากแต่ต้องบอกเลยว่า ถนนมันหายไปตั้งแต่ตรงนี้ ซึ่งหมายความว่า หากใครขับรถก็จะเอารถมาจาอดได้ตรงจุดนี้เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะต้องเดินเท้าเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวต่อไป
นักท่องเที่ยวเริ่มดินขึ้น Arthur's seat กันอย่างไม่ขาดสายเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกบนยอดเขา
ทางเดินจะมีทั้งช่วงที่ยากและง่ายสลับกัน ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมดาที่เป็นทางตรง หรือกระทั่งทางที่ไม่มีทางและต้องเดินลัดเลาะเอาตามความถนัด แต่รางวัลของการเดินทางนี้อยู่อีกไม่ไกลเท่านั้นเอง
เมื่อเดินขึ้นมาแล้วนั้นจะพอวิวที่เราคิดว่าค่อนข้างจะคุ้มกับการเดินขึ้นยอดเขาเป็นเวลา 1-2 ชม เพื่อภาพที่สุดจะหาคำบรรยายมาเพิ่มให้มมันมากกว่านี้ เรารู้แค่ว่าเราลืมความเหนื่อยไปแล้ว และเอนจอยกับเวลาตรงนี้เท่านั้นเอง
บางที บรรยากาศมันก็จะเหงาๆหน่อย
จากยอด Arthur's seat จะสามารถมองเห็น Calton hills ได้ด้วย
มากไปกว่านั้นยังห็นทั้งชิงช้าสวรรค์และ Scottish monument ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลาง Princes st. (ปล.ชิงช้าสวรรค์จะมาช่วงเดือน 10 ยาวไปจนถึงปีใหม่เลยน้า)
พอแสงอาทิตย์เริ่มทอเเสง สีชมพูบอกเวลาว่าใกล้ถึงเวลาพระอาทิตย์ตก มันกลายเป็นภาพบรรยากาศอีกบรรยากาศที่เรายังจำได้จนถึงทุกวันนี้
Close up ปราสาทเอดินบะระในยามพระอาทิตย์ตกตกโดยมีปราสาทเป็นพระเอก แต่บ้านเรือนต่างๆเป็นส่วนประกอบ ทำให้ภาพถูกเติมเต็มขึ้นมา
วิวอีกข้างจาก Arthur's seat จะเห็นเป็นเมืองเอดินบะระ ย่านชายฝั่งและติดทะเล
เดินกลับมายังโซนในเมืองขอแวะถ่ายรูปบรรยากาศของเมืองที่มีชีวิตชีวาหน่อยย
ปิดท้ายด้วยภาพอีกภาพของบรรยากาศกลางคืนของเมืองเอดินบะระ
เราบอกตามตรงเลยว่าเอดินบะระเป็นเมืองที่เราตกหลุมรักเป็นอย่างมาก เราหวังเล็กๆนะว่า ทุกท่านที่ได้อ่านโพสตรงนี้ ไม่มากก็น้อยจะเกิดความคิดที่จะมีชื่อของเมืองแห่งนี้ เข้าไปอยู่เป็นตัวเลือกในการท่องเที่ยวไม่มากก็น้อย
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงจุดนี้ครับ
ปล. ขอป้ายยา ฝากเพจนิดนึงคร้าบบบ https://web.facebook.com/gonoplans/