สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งหลังจากการเดินทางบน Milford Road ได้สิ้นสุดลงที่เมือง Te Anau ก็ถึงเวลาที่จะมารีวิวเที่ยว Te Anau แล้วครับ
เมือง Te Anau เป็นเมืองขนาดเล็ก มีคนอยู่อาศัยไม่ถึงสองพันคน แต่ด้วยที่ตั้งที่เป็นทางผ่านจากเมืองต่างๆเข้าสู่ Fiordland National Park เมือง Te Anau จึงเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาแวะเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสาย...
แต่ก็อย่าคิดว่ามันเป็นแค่ทางผ่านนะ เมืองนี้ก็มีของดีอยู่เยอะไม่แพ้ใคร ลองดูกันครับ
1. Lake Te Anau
ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเกาะใต้ และทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปออสเตรเลียและเอเชีย เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง ทำให้ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นแบบฟยอร์ด แถมยังเป็นทะเลสาบที่มีปริมาตรมากสุดใน New Zealand อีก (ลึกตั้ง 400m) ถ้ามองจากเมือง จะเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา กับภูเขาและป่าไม้เป็นฉากหลัง

จุดที่ชมวิวสวยก็จะเป็นแถวท่าเรือในเมือง และก็ Te Anau Downs แต่อันนี้ผมไม่ได้ไปดูครับ
รูปถ่ายตอนใกล้ค่ำ วันนี้น้ำขึ้น ท่าเรือกับโต๊ะปิ๊กนิกจมน้ำหมดเลย -_-

เจอต้นไม้เป็นนายแบบให้ถ่าย
รูปตอนเช้าๆ หมอกลงต่ำมาก บรรยากาศเพอร์เฟคต์สุดๆสำหรับการมาเดินลั้นลาริมทะเลสาบ

เครื่องบินลำนี้ ทำให้รูปดูดีขึ้นมาล้านเท่า

ชอบภูเขาน้ำแข็งข้างหลังมาก รู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง สักเรื่อง ไม่รู้ มโน
ดูกันจนเบื่อแล้วก็เตรียมไปขึ้นเรือ ไปดูสถานที่เที่ยวที่ดังที่สุดในเขตนี้กันดีกว่า
2. Te Anau Glowworm Caves
ถ้าใครเคยดูสารคดีบ่อยๆ น่าจะเคยได้ยินเรื่อง “หนอนเรืองแสง” ที่เป็นตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยอยู่ถ้ำลึกๆ แล้วก็สร้างแสงขึ้นมากเหมือนๆหิ้งห้อย เพื่อไว้ดักจับแมลงที่บินเข้ามา (ไม่เคยก็รอดูตรงนี้แหละครับ)
คราวนี้ Real Journeys ก็เป็นผู้สนับสนุนหลักที่จะพาทุกๆคนไปชมถ้ำในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยหนอนพวกนี้ ในราคาท่านละ 79 NZD ครับ55555 (ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่) โดยสามารถจองทัวร์ได้ในเว็บ ซึ่งผมจองรอบสองทุ่ม ทัวร์ใช้เวลา 2 ชม. กว่าๆ... เผื่อไว้สัก 3 นั่นแหละ
เอารูปแสงสุดท้ายของทะเลสาบให้ดู ก่อนจะไปท่าเรือ

เนื่องด้วยตอนสองทุ่มกลางทะเลสาบนั้นมืดไปหมดแล้ว แถมในถ้ำยังมีกฎห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด ผมเลยไม่มีรูปจากในถ้ำมาลงเลย ต้องขออภัยด้วยรูปจากกูเกิ้ลไปก่อนนะครับ ส่วนด้านนอกก็อาจจะมีถ่ายเองบ้างครับ
นั่งเรือประมาณ 45 นาทีจากเมือง ก็จะถึง “Cavern House” เป็นศุนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับทะเลสาบ ถ้ำ และประวัติการสำรวจ

มีคนมาบุกเบิกสำรวจมาตั้งแต่นานมากแล้ว

ปรากฏว่าถ้ำที่เรากำลังจะไปนี้มีอายุแค่หมื่นกว่าปี แถมยังเป็นถ้ำที่มีการฟอร์มตัว เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอยู่ตลอดๆอีก (ต่างจากถ้ำอายุมากๆ ที่มันสงบแล้ว)

ข้อมูลเกี่ยวกับหนอนเรืองแสง ที่จริงๆเป็นแค่ตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง ที่โตมาหน้าตาไม่ได้ดูหรูหราไปกว่ายุงรำคาญตามบ้านเลย หนอนชนิดนี้สามารถสร้างแสงสว่างได้แบบเดียวกับหิ่งห้อยแถวอัมพวาเลย
คือใช้เอนไซม์ Luciferase เป็นตัวเร่งปฏิกริยาระหว่าง Luciferin, ATP และ Oxygen ซึ่งจะทำให้เกิดการเรืองแสงขึ้น นอกจากนี้ glowworm ยังสามารถควบคุมความสว่างของแสงได้ด้วย
**ต่อไปจากนี้เป็นรูปที่ผมเอามาจากในเว็บท่องเที่ยวต่างๆนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่าภายในถ้ำไม่สามารถถ่ายรูปได้ การถ่ายรูปหรือใช้แฟลชจะทำให้หนอนตกใจ แล้วจะดับไฟหมดเลยครับ
จะมีเจ้าหน้าที่พาเราเข้าไปในถ้ำแคบๆ บนทางเดินแคบๆมืดๆ แฉะๆ เพราะในถ้ำมีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา

นั่งเรือเล็กๆในถ้ำ ต่อเข้าไปใน compartment ที่หนอนอาศัยอยู่ ที่เรียกว่า "Glowworm Grotto"

เข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะหยุดเรือ ค่อยๆไปช้าๆ ให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับ glowworm ให้นานทีสุด มันจะมืดมากๆ จะเห็นแค่แสงเล็กๆ ริบหรี่มากๆ อยู่กันเป็นกลุ่มๆ เหมือนหมู่ดาวบนฟ้า มองไม่เห็นตัวมันนะครับ มันเล็กมาก ตอนดูนี่กลั้นหายใจเลย กลัวหนอนปลิว

Glowworm Grotto จริงๆรู้สึกว่ามันไม่ได้ใหญ่มากนะ เหมือนไกด์แกจะถ่อเรือวนไปวนมาด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจ มันมืดมาก กะไม่ถูกอยู่ดี วนๆอยู่สัก 15-20 นาทีได้ แล้วก็ออกจากถ้ำ กลับไปที่ Cavern House ไปทานของว่าง ขึ้นเรือกลับ กว่าจะถึงเมืองก็สี่ทุ่มห้าทุ่มได้ครับ....
ว่าด้วยความเป็นจริง เอาตรงๆแล้ว ถามว่ามันสวยไหม ก็สวยดีนะครับ แปลกตาดี เหมือนไปอยู่ในเรื่อง Avatar แต่มันก็ไม่ได้สวยโคตรๆๆๆแบบในรูปโฆษณา อาจจะเพราะเราไม่ได้ไปในฤดูที่มันบลูมด้วย (เขาบอกว่าช่วงปีใหม่จะมีเยอะสุด) และตอนอยู่ในถ้ำมันจะมืดมากๆ และแสงจากหนอนมันก็ริบหรี่เหลือเกิน อารมณ์คล้ายๆเวลาจะไปดูทางช้างเผือก ไปดูดาวกลางป่า ที่มันก็ไม่ได้สว่างวิ้งขนาดนั้น ก็ยังต้องใช้ความพยายามของร็อดเซลล์ตามหาแสงลางๆของมันอยู่ดี
รูปนี้จะคล้ายกับที่ตาผมเห็นที่สุด...

ถ้าจะไปดูก็ต้องเลือ season ดีๆนะครับ จะได้เห็นตอนที่สวยที่สุด
ส่วนถ้ำที่เราเข้าไป เป็นถ้ำแคบๆที่มีน้ำไหลแรงผ่านตลอดเวลา มีน้ำตกหูแตกเต็มไปหมด ทางก็ค่อนข้างลื่นและเดินยากอยู่ ผมว่าอาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือเด็กที่เดินไม่ค่อยมั่นคงเท่าไรนักครับ
สรุปว่าดีไหม?? ผมชอบนะ มันแปลตาดี ส่วนถ้ำนี่ก็ adventure ดี มุดหินหลบน้ำตกล่องเรือ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ประมาณนี้ ถึงมันจะไม่เหมือนในรูปเป๊ะ แต่แค่นี้ก็โอเคละ...
[CR] Dreamlike NZ South Island, Chapter V : Te Anau, Big Sea of Blue
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งหลังจากการเดินทางบน Milford Road ได้สิ้นสุดลงที่เมือง Te Anau ก็ถึงเวลาที่จะมารีวิวเที่ยว Te Anau แล้วครับ
เมือง Te Anau เป็นเมืองขนาดเล็ก มีคนอยู่อาศัยไม่ถึงสองพันคน แต่ด้วยที่ตั้งที่เป็นทางผ่านจากเมืองต่างๆเข้าสู่ Fiordland National Park เมือง Te Anau จึงเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาแวะเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสาย...
แต่ก็อย่าคิดว่ามันเป็นแค่ทางผ่านนะ เมืองนี้ก็มีของดีอยู่เยอะไม่แพ้ใคร ลองดูกันครับ
ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเกาะใต้ และทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปออสเตรเลียและเอเชีย เกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง ทำให้ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นแบบฟยอร์ด แถมยังเป็นทะเลสาบที่มีปริมาตรมากสุดใน New Zealand อีก (ลึกตั้ง 400m) ถ้ามองจากเมือง จะเห็นผืนน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา กับภูเขาและป่าไม้เป็นฉากหลัง
จุดที่ชมวิวสวยก็จะเป็นแถวท่าเรือในเมือง และก็ Te Anau Downs แต่อันนี้ผมไม่ได้ไปดูครับ
รูปถ่ายตอนใกล้ค่ำ วันนี้น้ำขึ้น ท่าเรือกับโต๊ะปิ๊กนิกจมน้ำหมดเลย -_-
เจอต้นไม้เป็นนายแบบให้ถ่าย
รูปตอนเช้าๆ หมอกลงต่ำมาก บรรยากาศเพอร์เฟคต์สุดๆสำหรับการมาเดินลั้นลาริมทะเลสาบ
เครื่องบินลำนี้ ทำให้รูปดูดีขึ้นมาล้านเท่า
ชอบภูเขาน้ำแข็งข้างหลังมาก รู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง สักเรื่อง ไม่รู้ มโน
ดูกันจนเบื่อแล้วก็เตรียมไปขึ้นเรือ ไปดูสถานที่เที่ยวที่ดังที่สุดในเขตนี้กันดีกว่า
ถ้าใครเคยดูสารคดีบ่อยๆ น่าจะเคยได้ยินเรื่อง “หนอนเรืองแสง” ที่เป็นตัวอ่อนของแมลงที่อาศัยอยู่ถ้ำลึกๆ แล้วก็สร้างแสงขึ้นมากเหมือนๆหิ้งห้อย เพื่อไว้ดักจับแมลงที่บินเข้ามา (ไม่เคยก็รอดูตรงนี้แหละครับ)
คราวนี้ Real Journeys ก็เป็นผู้สนับสนุนหลักที่จะพาทุกๆคนไปชมถ้ำในทะเลสาบที่เต็มไปด้วยหนอนพวกนี้ ในราคาท่านละ 79 NZD ครับ55555 (ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่) โดยสามารถจองทัวร์ได้ในเว็บ ซึ่งผมจองรอบสองทุ่ม ทัวร์ใช้เวลา 2 ชม. กว่าๆ... เผื่อไว้สัก 3 นั่นแหละ
เอารูปแสงสุดท้ายของทะเลสาบให้ดู ก่อนจะไปท่าเรือ
เนื่องด้วยตอนสองทุ่มกลางทะเลสาบนั้นมืดไปหมดแล้ว แถมในถ้ำยังมีกฎห้ามถ่ายภาพโดยเด็ดขาด ผมเลยไม่มีรูปจากในถ้ำมาลงเลย ต้องขออภัยด้วยรูปจากกูเกิ้ลไปก่อนนะครับ ส่วนด้านนอกก็อาจจะมีถ่ายเองบ้างครับ
นั่งเรือประมาณ 45 นาทีจากเมือง ก็จะถึง “Cavern House” เป็นศุนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับทะเลสาบ ถ้ำ และประวัติการสำรวจ
มีคนมาบุกเบิกสำรวจมาตั้งแต่นานมากแล้ว
ปรากฏว่าถ้ำที่เรากำลังจะไปนี้มีอายุแค่หมื่นกว่าปี แถมยังเป็นถ้ำที่มีการฟอร์มตัว เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอยู่ตลอดๆอีก (ต่างจากถ้ำอายุมากๆ ที่มันสงบแล้ว)
ข้อมูลเกี่ยวกับหนอนเรืองแสง ที่จริงๆเป็นแค่ตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง ที่โตมาหน้าตาไม่ได้ดูหรูหราไปกว่ายุงรำคาญตามบ้านเลย หนอนชนิดนี้สามารถสร้างแสงสว่างได้แบบเดียวกับหิ่งห้อยแถวอัมพวาเลย
คือใช้เอนไซม์ Luciferase เป็นตัวเร่งปฏิกริยาระหว่าง Luciferin, ATP และ Oxygen ซึ่งจะทำให้เกิดการเรืองแสงขึ้น นอกจากนี้ glowworm ยังสามารถควบคุมความสว่างของแสงได้ด้วย
**ต่อไปจากนี้เป็นรูปที่ผมเอามาจากในเว็บท่องเที่ยวต่างๆนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่าภายในถ้ำไม่สามารถถ่ายรูปได้ การถ่ายรูปหรือใช้แฟลชจะทำให้หนอนตกใจ แล้วจะดับไฟหมดเลยครับ
จะมีเจ้าหน้าที่พาเราเข้าไปในถ้ำแคบๆ บนทางเดินแคบๆมืดๆ แฉะๆ เพราะในถ้ำมีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา
นั่งเรือเล็กๆในถ้ำ ต่อเข้าไปใน compartment ที่หนอนอาศัยอยู่ ที่เรียกว่า "Glowworm Grotto"
เข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะหยุดเรือ ค่อยๆไปช้าๆ ให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับ glowworm ให้นานทีสุด มันจะมืดมากๆ จะเห็นแค่แสงเล็กๆ ริบหรี่มากๆ อยู่กันเป็นกลุ่มๆ เหมือนหมู่ดาวบนฟ้า มองไม่เห็นตัวมันนะครับ มันเล็กมาก ตอนดูนี่กลั้นหายใจเลย กลัวหนอนปลิว
Glowworm Grotto จริงๆรู้สึกว่ามันไม่ได้ใหญ่มากนะ เหมือนไกด์แกจะถ่อเรือวนไปวนมาด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจ มันมืดมาก กะไม่ถูกอยู่ดี วนๆอยู่สัก 15-20 นาทีได้ แล้วก็ออกจากถ้ำ กลับไปที่ Cavern House ไปทานของว่าง ขึ้นเรือกลับ กว่าจะถึงเมืองก็สี่ทุ่มห้าทุ่มได้ครับ....
ว่าด้วยความเป็นจริง เอาตรงๆแล้ว ถามว่ามันสวยไหม ก็สวยดีนะครับ แปลกตาดี เหมือนไปอยู่ในเรื่อง Avatar แต่มันก็ไม่ได้สวยโคตรๆๆๆแบบในรูปโฆษณา อาจจะเพราะเราไม่ได้ไปในฤดูที่มันบลูมด้วย (เขาบอกว่าช่วงปีใหม่จะมีเยอะสุด) และตอนอยู่ในถ้ำมันจะมืดมากๆ และแสงจากหนอนมันก็ริบหรี่เหลือเกิน อารมณ์คล้ายๆเวลาจะไปดูทางช้างเผือก ไปดูดาวกลางป่า ที่มันก็ไม่ได้สว่างวิ้งขนาดนั้น ก็ยังต้องใช้ความพยายามของร็อดเซลล์ตามหาแสงลางๆของมันอยู่ดี
รูปนี้จะคล้ายกับที่ตาผมเห็นที่สุด...
ถ้าจะไปดูก็ต้องเลือ season ดีๆนะครับ จะได้เห็นตอนที่สวยที่สุด
ส่วนถ้ำที่เราเข้าไป เป็นถ้ำแคบๆที่มีน้ำไหลแรงผ่านตลอดเวลา มีน้ำตกหูแตกเต็มไปหมด ทางก็ค่อนข้างลื่นและเดินยากอยู่ ผมว่าอาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือเด็กที่เดินไม่ค่อยมั่นคงเท่าไรนักครับ
สรุปว่าดีไหม?? ผมชอบนะ มันแปลตาดี ส่วนถ้ำนี่ก็ adventure ดี มุดหินหลบน้ำตกล่องเรือ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ประมาณนี้ ถึงมันจะไม่เหมือนในรูปเป๊ะ แต่แค่นี้ก็โอเคละ...