" ชาล้นถ้วย " นิทานเซนอีกเรื่อง ที่ควรอ่านและเรียนรู้

กระทู้คำถาม
เข้ามาอ่านทู้วันนี้ เห็นมีทู้คุณมาลาริน ที่กล่าวเรื่องไก่ขัน  ได้เห็นหัวข้อทู ก็พอรู้นัยยะว่าเธอกำลังเอ่ย และ
เปรียบเทียบกับสิ่งใด หรือใคร ก็ตามอ่าน เพราะอยากจะจับประเด็นและความคิดว่า ตกลงนิทานเรื่องนี้
ถ้า เอามาเปรียบเทียบทางการเมืองแล้ว มันจะออกมาหน้าไหน บริบทแบบไหน มีใครเข้าใจเซน อย่างลึกซึ้งหรือไม่
โดยเฉพาะ เข้าของกระทู้คือคุณมาลาริน ที่เหมือนจะเอาธรรมมะ มาโยงการเมือง ให้คนอ่านคิดตาม คล้อยตาม หรือเห็นต่าง

และตัวข้าพเจ้ากลับพบว่า นิทานของคุณมาลาริน ก็สร้างความบันเทิงได้ไม่น้อย และต่อยอดจากความคิดของเธอ
ข้าพเจ้าจึงนึกถึงนิยายเซน อีกเรื่อง คือ เรื่อง " ชาล้นถ้วย " ที่ท่านอาจารย์ พุทธทาสเคยเอามาเขียนไว้

ตอนไปวัดชลประทาน ได้อ่านมาบ้างจาก หนังสือที่วัด  ซึ่งอ่านแล้วทึ่งมากในหลักคิดของเซนที่อุปมาได้เห็นภาพ และยิ่งลึกซึ้ง
เมื่อท่านพุทธทาส เอามาจำแนก ออกเป็นการสอน เรื่องตัวกู ของกู โดยเอาสถานะจิต มาเปรียบเทียบ

หากใครไม่เคยอ่าน หรือต้องการอ่าน ตามลิงค์ข้างล่างไปเลยค่ะ


ขอบคุณท่านเจ้าของบล๊อค ด้วยค่ะ พาพันขอบคุณ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส่วนอันนี้เป็น คห ของข้าพเจ้า ที่ได้จากการอ่านเรื่องนี้นะ เป็น คห คิดเห็นส่วนตัว ผิดถูกอย่างไร
ข้าพเจ้ายินดี น้อมรับคำชี้แนะ ทุกกรณีค่ะ

และออกตัวก่อน ข้าพเจ้ามิได้เป็นผู้รู้ซึ้งมากมาย ทางธรรมะ  นะะคะ แต่เพียงเป็นคนหนึ่งที่แสวงหาการอ่าน
จนพอรู้มาบ้าง และอาจยังขาดความรู้อีกเยอะ แต่การสนทนา ก็เป็นอีกอีกทางที่จะเพิ่มความรู้และมุมมองใหม่ค่ะ



ถ้าเราอ่านเรื่องนี้ เราจะพบว่า ท่านอาจารย์น่ำอิน จะใช้วิธี เทชาเพื่อสอนคนที่แสวงหาผลบุญ และคำตอบในพุทธศาสนา
แต่ด้วยสัมมาทิฐิ ที่มีอยู่ใน จิตมนุษย์ โดยทั่วไป การสอน ด้วยวิธี บรรยาย ธรรม ย่อมเข้าใจยาก กว่าวิธี แสดงธรรม
และเมื่อท่าน อ น่ำอิน เทชาไปเท่าไหร่ ชาก็จะล้นถ้วย ออกมามากเท่านั้น  คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะเกิกความสงสัย และโมโห

ในส่วนนี้ หากเรามองให้ลึกซึ้ง ถ้วยชาก็เปรียบดังจิต ที่ว่าง หากเมื่อเติมอะไรลงไป เราก็รับเอาสิ่งนั้นไว้
และในทางธรรมเราถือว่า น้ำชา  คือสิ่งปรุงแต่งนั่นเอง

มีคำถามมากมายที่เคยสงสัยว่า แล้วทำไม เราต้องเอาจิต ไปเปรียบกับถ้วยน้ำชา นั่นเพราะ จิตเรามักไม่หยุดนิ่ง ที่จะค้นหา
จิตเราจึงมีสิ่งปรุงแต่ง มาเติมเต็มอยู่เรื่อยๆ และเมื่อจิตเราไม่เปิดรับ ความคิดใหม่ สิ่งปรุงแต่งใหม่ จิตเราก็จะกำหนด อยู่ที่เดิม
ปรุงแต่งแต่เรื่องเดิมๆ และ เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า " มิจฉาทิฎฐิ  " นั่นเอง

มิจฉาาทิฎฐิ คืออะไร สัมมาทิฎฐิ คือ กิเลส ที่ปรุงแต่ง และเกาะใจเรา อาจเป็นความคิดที่เอาแต่ใจตน การยกตน การเกลียดชัง
การปิดกั้นความคิดที่จะยอมรับความคิดคนอื่น และอาจรวมไปถึง อคติที่เกิดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง  กิเลสนี้จะไม่มีวันหลุด ออกไป
หากจิตเรายังยิดมั่นถือมั่นจิตจึงมัวหมอง  ในหลักธรรมะเราถือว่าคนที่มีสัมมาทิฎฐิ จะไม่ใช่ " จิตแท้ "

จิตแท้ จะไม่มีวันล้น เพราะจิตแท้ จะเปิดรับความคิดใหม่ตลอดเวลา ไม่ว่าสิ่งปรุงแต่งใดจะมา จิตจะไม่ยึดเหนี่ยว และเกาะไว้จนเต็ม
ดังนั้นทุกควรควรฝึกจิตให้ว่าง และปล่อยวาง เพื่อจะไม่ได้เป็นคนประเภท " ชาล้นแก้ว " คือไม่รับรู้อันใด เพราะกิเลสหนานั่นเอง

หากจิตบางคน ติดอยู่กับ ตัวกู - ของกู  แล้ว จิตจะไม่มีความว่าง ตัวกิเลส ที่เป็นทั้งอคติ เป็นทั้งความอิจฉา ถือดี อวดเก่ง
มักจะเข้ามาแทน (มันคือสิ่งปรุงแต่งนั่นเอง  ) และถ้ามันเกาะกุมใจเรามากขึ้น เราก็จะขาดหลักคิดทางจริยธรรม ได้ได้โดยปริยาย

หากอยากทำตนเป็น นำช้าที่เติมไม่เต็ม ต้องหมั่นฝึกจิตให้ว่าง ปล่อยวาง และแม้สิ่งปรุงแต่งใดมาเติม มันก็จะไม่มีวันเต็ม

ทู้นี้ตั้งมาเพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดใหลักธรรม หากใครมีข้อเสนอแนะ หรือเป็นผู้รู้ทางใด นิกายใด
ข้าพเจ้ายินดีที่จะรับฟังและแลกเปลี่ยน สนทนา ความรู้ เพื่อแบ่งปันกันนะคะ อมยิ้ม17
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่