บทที่ 12 หลักฐานที่เหลืออยู่
หลังจากออกจากร้านของปีเตอร์แล้ว ไซรัสขับรถกลับแมนชั่น จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับภารกิจและนั่งทบทวนคดีอีกครั้ง จากนั้นจึงวางแผนการสำรวจอย่างรอบคอบโดยมีแผนสำรองเผื่อเอาไว้ด้วยเพื่อป้องกันความผิดพลาด พอฟ้าเริ่มมืดเขาก็จัดแจงมื้อค่ำซึ่งก็คือแซนวิชที่ซื้อกลับมา ตอนแกะมันออกจากห่อ ใจของเขาก็อดหวนนึกถึงอเล็กซ์ขึ้นมาไม่ได้ สีหน้าผิดหวังตอนได้ยินคำปฏิเสธเรื่องรายละเอียดของบิ๊กฟุตยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ มันช่างเศร้าสร้อยเสียจนทำให้เขาต้องใจหายและหวิดจะหลุดปากโพล่งทุกอย่างที่รู้ออกมา ไซรัสอมยิ้มน้อยๆ อย่างนึกสมเพชตัวเอง อดีตทหารในหน่วยรีคอนผู้แข็งแกร่ง ผู้ซึ่งต่อให้ถูกทรมานจนตายก็ไม่มีวันคายข้อมูล กลับพ่ายแพ้ต่อเด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แถมเป็นผู้ชายอีกด้วย
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
เอฟบีไอหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อไล่ความคิดวุ่นวายออกจากหัวก่อนเพ่งสมาธิกลับไปที่งาน คืนนี้เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เพื่อพิสูจน์ให้พวกตำรวจเห็นว่าบิ๊กฟุตไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง
แซนวิชชิ้นโตถูกจัดการจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ล้างคอด้วยชาอุ่นๆ เสร็จแล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำรัดกุม พอนาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งเขาจึงออกเดินทางไปยังบ้านของบิ๊กฟุต จากการสำรวจในตอนกลางวันไซรัสพบว่าจากสวนสาธารณะของหมู่บ้าน มีทางเดินเล็กๆ ที่สามารถไปจนถึงหลังบ้านที่เกิดเหตุได้ เขาจึงจอดรถไว้ในจุดที่ค่อนข้างลับตาคน จากนั้นจึงใช้วิธีเดินเท้าลัดเลาะไปตามทางจนกระทั่งถึงที่หมาย โชคดีที่ประตูรั้วด้านข้างไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ พอสบโอกาสเหมาะชายหนุ่มจึงรีบเปิดเข้าไปด้านใน ดึงเครื่องมือพิเศษออกมาจัดการกับประตูครัว ไม่ถึงอึดใจล็อกก็ถูกปลดออก ไซรัสจึงกวาดสายตามองโดยรอบอีกครั้งก่อนจนแน่ใจว่าปลอดคนจึงสอดตัวผ่านเข้าไป
แสงไฟริมทางที่ลอดทะลุผ่านม่านหน้าต่างผืนบาง แม้จะไม่สว่างนักแต่ก็พอที่จะทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในบ้านได้ ไซรัสไม่ได้กังวลเรื่องตำรวจที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเพราะรู้ดีว่าแต่ละเวรจะอยู่โยงกันเพียงแค่สองคนและมักนั่งแช่อยู่ในรถเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งคืนที่มีอากาศค่อนข้างหนาวอย่างวันนี้ด้วยแล้ว ทั้งคู่จะไม่มีวันยอมละถ้วยกาแฟอุ่นๆ ออกมาเดินสู้ลมเย็นนอกรถอย่างเด็ดขาด ซึ่งหากเขาระวังเรื่องเสียงกับแสงจากไฟฉายไม่ให้เล็ดลอดออกไป ตำรวจทั้งสองนายก็จะนั่งอยู่ในรถจนกว่าจะมีคนมาเปลี่ยนเวร
การค้นหาเริ่มต้นจากครัว เนื่องจากเป็นบ้านที่ได้รับการดูแลอย่างดี ข้าวของทุกชิ้นจึงถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เป้าหมายหลักของไซรัสอยู่ตรงชั้นล่าง เขาจึงตรวจค้นอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม รวมทั้งการเคาะพื้นบ้านหรือกำแพงบางจุด เผื่อมีช่องลับแต่กลับไม่พบอะไร
ส่วนชั้นสองซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามห้อง คือห้องใหญ่ด้านหลังซึ่งเป็นของลุงกับป้า ห้องเล็กไว้เพื่อเก็บของและห้องของบิ๊กฟุตเอง ทุกห้องได้รับการดูแลอย่างดี สะอาด ไม่มีร่องรอยของความรุนแรงปรากฏให้เห็น ไซรัสเดินดูจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้วจึงย้อนกลับลงไปยังชั้นล่างอีกครั้ง เพื่อตรวจบริเวณที่พบร่างของบิ๊กฟุต
เก้าอี้ที่ชายร่างยักษ์นอนตายยังคงตั้งอยู่ที่เดิม อาจเคลื่อนจากตำแหน่งเล็กน้อยตอนเจ้าหน้าที่ขนย้ายร่าง ไซรัสเดินวนรอบเก้าอี้ตัวนั้นส่วนตาก็มองสำรวจพื้นที่อย่างถี่ถ้วน สภาพที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงอันเกิดจากการรื้อค้นราวกับคนเสียสติของนักสืบมิลเลอร์ ทำให้หลักฐานที่น่าจะพอหลงเหลืออยู่ถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดาย เอฟบีไอหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนลดสายตาลงมองเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาต้องมุ่นคิ้วเมื่อเห็นกระดาษชิ้นเล็กๆ โผล่ออกมาจากใต้ขาเก้าอี้
เพราะเวลานี้เขาสวมถุงมืออยู่แล้ว ไซรัสจึงสามารถดึงมันออกมาได้โดยตรง ยังไม่ทันได้พิจารณาว่าเจ้ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไร เสียงเคลื่อนไหวที่ดังมาจากหน้าประตูทำให้เขาต้องรีบถอยกลับไปที่ครัวเพื่อหาที่ซ่อน พอเห็นแสงจากไฟฉายของตำรวจส่องกราดเข้ามาในบ้าน เขาจึงรู้ว่าใกล้เวลาเปลี่ยนเวรและตำรวจชุดใหม่จะต้องเดินตรวจรอบๆ และอาจจะเข้ามาดูภายในบ้านนี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงควรยุติการสำรวจไว้เพียงเท่านี้ และรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว
นั่งรออีกอึดใจตำรวจทั้งสองก็ย้อนกลับไปนั่งในรถตามเดิม ไซรัสจึงรีบจรดปลายเท้าไปยังประตู และออกจากบ้านหลังนั้นเดินย้อนกลับไปที่รถ แทนที่จะขับออกจากบริเวณนั้นทันที เขากลับดึงกระดาษที่เก็บได้ขึ้นมาดู มันเป็นกระดาษชนิดโปร่งแสงที่มีไขมันติดอยู่นิดหน่อย ซึ่งพอคลี่ออกกลับพบว่ามันมีอยู่เพียงครึ่งแผ่น ทีแรกไซรัสไม่ทันฉุกคิดว่ามันคืออะไรกระทั่งจมูกสัมผัสถึงกลิ่นหอมบางอย่าง และเจ้ากลิ่นนั้นเองที่ทำให้เขานึกถึงใครบางคน
เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มร้องค้านอยู่ในใจและนึกทบทวนถึงความผิดปกติหลายของคนที่เคยพบ ก่อนยัดหลักฐานที่พบลงถุงพลาสติก จากนั้นก็นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งแสงอาทิตย์ยามเช้าปรากฏ ไซรัสจึงขับรถย้อนกลับเข้าไปในหมู่บ้านอีกครั้ง มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังที่เพิ่งเข้าไปค้นเมื่อคืน ที่ทำเช่นนั้นเพราะตอนพบศพ เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนมัวแต่ให้ความสนใจกับหลักฐานปลอมและปักใจเชื่อว่าผู้ตายคือฆาตกรวิปริต ความคิดดังกล่าวทำให้ไม่มีใครสนใจที่จะเดินไปสอบปากคำเพื่อนบ้าน และจากการกีดกันของนักสืบมิลเลอร์ทำให้เขาและทีมไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจรอให้ทางตำรวจปล่อยสถานที่เกิดเหตุและลงมือสืบสวนอย่างลับๆ หลังจากตรวจสอบบ้านหลังนั้นเสร็จแล้ว
การวนรถรอบแรก ไซรัสพบว่ารถตำรวจคันเมื่อคืนยังคงจอดที่เดิมแถมเจ้าหน้าที่สองนายยังลงมาเดินตรวจโดยรอบ เขาจึงจำต้องขับเลยขึ้นไปอีกนิดและหาที่จอดหลบอยู่พักใหญ่ รอจนกระทั่งคนในหมู่บ้านเริ่มออกไปทำงานเขาจึงวนรถย้อนกลับไปอีกครั้ง คราวนี้หน้าบ้านของบิ๊กฟุตว่างเปล่าไม่มีรถตำรวจคันใหม่มาเปลี่ยนเวร แสดงว่าเมื่อคืนเขาคิดผิด นักสืบจอมอวดดีนั่นปักใจเชื่อว่าบิ๊กฟุตคือฆาตกรตัวจริงจึงไม่คิดที่จะมาค้นอะไรเพิ่มเติม เขาจึงจอดรถ สวมสูทให้เรียบร้อบจากนั้นจึงเดินตรงไปยังบ้านหลังที่อยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของบิ๊กฟุต เคาะประตูยืนรอ พอคนข้างในเดินมาเปิดเขาก็ชูบัตรประจำตัวให้ดูทันที
“เอฟบีไอ” ชายหนุ่มกล่าวนำอย่างเคร่งขรึม และบอกชื่อของตนเองตามกฎระหว่างที่เจ้าบ้านพิจารณาบัตรประจำตัว “ไซรัส คลอฟอร์ด ผมมีเรื่องจะสอบถามอะไรคุณนิดหน่อย“
เจ้าของบ้านซึ่งเป็นแม่บ้านที่น่าจะอยู่ในวัย 25-30 ผงกศีรษะพลางเลื่อนตามองไปยังบ้านฝั่งตรงกันข้ามขณะที่เอ่ยปากพูด
“เรื่องวิลเลี่ยมใช่ไหม”
ไซรัสรู้ดีว่าวิลเลี่ยมที่เธอพูดถึงคือชื่อจริงของบิ๊กฟุต แต่การแสดงออกว่าเขารู้อยู่แล้ว หรือทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่รู้ดีไปหมดทุกอย่าง จะทำให้คู่สนทนาเกิดอาการต่อต้านไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล
“วิลเลี่ยม?” เขาทวนชื่อด้วยสีหน้างงงัน ได้ผลเพราะหญิงสาวมีท่าทางพอใจขึ้นเล็กน้อย
“มันเป็นชื่อจริงของบิ๊กฟุตค่ะ” เธอขยายความและเผยรอยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นไซรัสบันทึกข้อความของเธอลงบนสมุดเล่มเล็ก
“โอเค วิลเลี่ยม” ไซรัสกล่าวทวนก่อนเงยหน้าขึ้นสบตา ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งยิ้มให้ก่อนเริ่มตั้งคำถาม “ผมต้องขอโทษที่มารบกวนเวลามีค่าของคุณ แต่ทางเราต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม...”
“วิลเลี่ยมอาจจะดูแปลกแต่เขาเป็นคนดี” สุภาพสตรีผู้นั้นเอ่ยสวนขึ้นมาทันควันและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนเปิดประตูให้กว้างขึ้นอีกนิด “เชิญคุณเข้ามาข้างในก่อนดีกว่าค่ะ ฉันจะได้ชงกาแฟให้ดื่มระหว่างที่เราคุยกัน”
การสอบปากคำเพื่อนบ้านใช้เวลามากกว่าที่คิด และทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทั้งนี้เป็นเพราะความที่อยู่ร่วมในหมู่บ้านเดียวกันมานาน แม้ผู้ตายจะไม่ค่อยสุงสิงกับใครนักแต่อุปนิสัยอ่อนน้อม รักสงบมีน้ำใจชอบช่วยเหลือ ทำให้เขาเป็นที่รักของชุมชน และด้วยเหตุผลดังกล่าวทุกคนจึงไม่เชื่อคำของตำรวจที่ปรักปรำว่า บิ๊กฟุตคือฆาตกร
เมื่อเสร็จจากหลังสุดท้าย ไซรัสจึงเดินกลับมาที่รถ จังหวะเดียวกันนั้นเองมีรถอีกคันเข้ามาจอดเทียบข้าง ทีแรกชายหนุ่มไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นนักข่าวหรือพวกสอดรู้สอดเห็น แต่คนข้างในลดกระจกลงจนเห็นหน้า เขาต้องมุ่นคิ้วน้อยๆ และแอบระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“มาทำอะไรแถวนี้หรือครับคุณเอฟบีไอ” มิลเลอร์ชะโงกหน้าออกมาร้องถาม ไซรัสยัดสมุดบันทึกลงกระเป๋ากางเกงก่อนตอบอย่างเสียไม่ได้
“มาเดินเล่น”
“ที่พักของคุณอยู่อีกฟากของเมือง มาเดินเล่นแถวนี้มันไม่ไกลไปหน่อยหรือครับ” นักสืบหัวดื้อถามด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำให้ฟังดูนุ่มและสุภาพ แต่ดวงตาสีฟ้ากลับจ้องไซรัสเขม็งเหมือนกำลังมองศัตรูคู่แค้น เอฟบีไอหนุ่มทำทีเป็นไม่ใส่ใจกริยาดังกล่าว เขายักไหล่น้อยๆ ก่อนกวาดตามองไปรอบตัว
“ก็อยากจะลองหาที่ใหม่ๆ ดูบ้าง ว่าแต่คุณเถอะมาทำอะไรแถวนี้”
“มีคนโทร.ไปแจ้งว่าเห็นพวกสอดรู้สอดเห็นมาเดินเพ่นพ่านแถวที่เกิดเหตุ” มิลเลอร์ตอบพลางมองไซรัสอย่างจับผิด อีกฝ่ายจึงแกล้งทำเป็นตีหน้าเซ่อ
“แบบนั้นก็แย่น่ะสิ ทางตำรวจน่าจะจัดคนมาเฝ้าสักหน่อยนะครับ”
“ผมส่งมาแล้ว แต่ก็ยังมีมือดีดอดเข้ามาจนได้ สงสัยคงต้องเพิ่มคนให้มากขึ้นอีกหน่อยแถมคำสั่งด้วยว่าอย่าให้หน้าไหนเข้าใกล้บ้านหลังนี้ และถ้ามีคนไม่สนใจหรือทำตัวน่าสงสัยจะถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ให้ยิงทิ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งคำถาม”
ดวงตาที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องทำให้ไซรัสแน่ใจว่าหากมิลเลอร์ถือปืนอยู่ คงทำตามที่ตนเองพูดไปแล้ว
“ลองแบบนี้แล้วละก็ ผมคิดว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้แน่” ไซรัสโต้คำนักสืบอย่างใจเย็น อีกฝ่ายกรีดรอยยิ้มเหี้ยมและกดน้ำเสียงให้ต่ำเพื่อต้องการขู่ก่อนพูด
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” เขาหยุดแสร้งทำเป็นเลิกคิ้วและเปลี่ยนการพูดให้ดูเป็นกันเอง “ว่าแต่คุณเถอะ ถ้ามัวแต่โอ้เอ้อยู่แบบนี้เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของคู่สนทนาไม่ได้ทำให้ไซรัสสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากับเพิ่มความระวังตัวมากขึ้นเพราะรู้ดีว่าทันทีที่เขาคล้อยหลัง นักสืบมิลเลอร์จะต้องรีบบุกเข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อดูว่าเขาเจออะไรและคงสั่งให้ลูกน้องสะกดรอยตามคนของเอฟบีไอทุกฝีก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้คดีสำคัญหลุดมือ
“ผมกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แล้วขอบคุณที่เตือน” ไซรัสตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชนิดที่หากใครเห็น จะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกัน ก่อนเข้าไปนั่งในรถ พอสตาร์ทเครื่องยนต์ เขาก็กดปุ่มลดกระจกลงมาและหันไปส่งยิ้มให้นักสืบมิลเลอร์อีกครั้ง
“ลาก่อนครับนักสืบมิลเลอร์”
“ลาก่อนครับคุณเอฟบีไอ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบเดียวกับใบหน้า และกล่าวคำรามทันทีเมื่อรถของไซรัสเคลื่อน “เจอกันอีกครั้งผมจับคุณยัดเข้าคุกแน่”
เขาจ้องท้ายรถที่กำลังวิ่งห่างออกไปอย่างชิงชังจนลับตา จากนั้นจึงออกจากรถเดินตรงเข้าบ้านบิ๊กฟุตเพื่อดูว่าเอฟบีไอได้หลักฐานอะไรบ้าง แต่การสำรวจอย่างเป็นระเบียบของไซรัสทำให้ไม่เหลือร่องรอยอะไร เมื่อไม่เจอสิ่งผิดปกติมิลเลอร์จึงถอนใจออกมาอย่างผิดหวังก่อนออกมายืนตรงระเบียง กวาดมองเพื่อนบ้านที่แอบดูการกระทำของเขาตรงหน้าต่างหลังผ้าม่าน ทีแรกเขาตั้งใจจะเดินไปสอบถามตรงๆแต่พอสบกับสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากคนเหล่านั้น นักสืบจอมอวดดีจึงเปลี่ยนใจเป็นเดินกลับไปขึ้นรถ ติดเครื่องยนต์ กระแทกคันเร่งอย่างแรงเพื่อเป็นการระบายอารมณ์จนล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังเอี๊ยด พอตบเกียร์อีกครั้งรถประจำตัวก็พุ่งทะยานออกจากที่นั่นไปอย่างเร็ว
ขณะที่มิลเลอร์พาตัวเองกลับสถานีด้วยความฉุนเฉียว ไซรัสกลับขับรถอย่างใจเย็นมุ่งหน้าตรงไปยังที่ทำการเอฟบีไอ ซึ่งเมื่อไปถึงเขาพบว่าเอ็ดเวิร์ดกำลังประชุมทีมอยู่พอดี แต่พอมองเพื่อนร่วมงานที่นั่งง่วนอยู่กับข้อมูลชายหนุ่มจึงรู้ว่าหนึ่งในนั้นหายไป
สืบรักจับหัวใจเอฟบีไอ บทที่ 12 หลักฐานที่เหลืออยู่
หลังจากออกจากร้านของปีเตอร์แล้ว ไซรัสขับรถกลับแมนชั่น จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับภารกิจและนั่งทบทวนคดีอีกครั้ง จากนั้นจึงวางแผนการสำรวจอย่างรอบคอบโดยมีแผนสำรองเผื่อเอาไว้ด้วยเพื่อป้องกันความผิดพลาด พอฟ้าเริ่มมืดเขาก็จัดแจงมื้อค่ำซึ่งก็คือแซนวิชที่ซื้อกลับมา ตอนแกะมันออกจากห่อ ใจของเขาก็อดหวนนึกถึงอเล็กซ์ขึ้นมาไม่ได้ สีหน้าผิดหวังตอนได้ยินคำปฏิเสธเรื่องรายละเอียดของบิ๊กฟุตยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ มันช่างเศร้าสร้อยเสียจนทำให้เขาต้องใจหายและหวิดจะหลุดปากโพล่งทุกอย่างที่รู้ออกมา ไซรัสอมยิ้มน้อยๆ อย่างนึกสมเพชตัวเอง อดีตทหารในหน่วยรีคอนผู้แข็งแกร่ง ผู้ซึ่งต่อให้ถูกทรมานจนตายก็ไม่มีวันคายข้อมูล กลับพ่ายแพ้ต่อเด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง แถมเป็นผู้ชายอีกด้วย
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ
เอฟบีไอหนุ่มสะบัดศีรษะแรงๆ เพื่อไล่ความคิดวุ่นวายออกจากหัวก่อนเพ่งสมาธิกลับไปที่งาน คืนนี้เขายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เพื่อพิสูจน์ให้พวกตำรวจเห็นว่าบิ๊กฟุตไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง
แซนวิชชิ้นโตถูกจัดการจนหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ล้างคอด้วยชาอุ่นๆ เสร็จแล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำรัดกุม พอนาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งเขาจึงออกเดินทางไปยังบ้านของบิ๊กฟุต จากการสำรวจในตอนกลางวันไซรัสพบว่าจากสวนสาธารณะของหมู่บ้าน มีทางเดินเล็กๆ ที่สามารถไปจนถึงหลังบ้านที่เกิดเหตุได้ เขาจึงจอดรถไว้ในจุดที่ค่อนข้างลับตาคน จากนั้นจึงใช้วิธีเดินเท้าลัดเลาะไปตามทางจนกระทั่งถึงที่หมาย โชคดีที่ประตูรั้วด้านข้างไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ พอสบโอกาสเหมาะชายหนุ่มจึงรีบเปิดเข้าไปด้านใน ดึงเครื่องมือพิเศษออกมาจัดการกับประตูครัว ไม่ถึงอึดใจล็อกก็ถูกปลดออก ไซรัสจึงกวาดสายตามองโดยรอบอีกครั้งก่อนจนแน่ใจว่าปลอดคนจึงสอดตัวผ่านเข้าไป
แสงไฟริมทางที่ลอดทะลุผ่านม่านหน้าต่างผืนบาง แม้จะไม่สว่างนักแต่ก็พอที่จะทำให้สามารถมองเห็นสภาพภายในบ้านได้ ไซรัสไม่ได้กังวลเรื่องตำรวจที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเพราะรู้ดีว่าแต่ละเวรจะอยู่โยงกันเพียงแค่สองคนและมักนั่งแช่อยู่ในรถเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งคืนที่มีอากาศค่อนข้างหนาวอย่างวันนี้ด้วยแล้ว ทั้งคู่จะไม่มีวันยอมละถ้วยกาแฟอุ่นๆ ออกมาเดินสู้ลมเย็นนอกรถอย่างเด็ดขาด ซึ่งหากเขาระวังเรื่องเสียงกับแสงจากไฟฉายไม่ให้เล็ดลอดออกไป ตำรวจทั้งสองนายก็จะนั่งอยู่ในรถจนกว่าจะมีคนมาเปลี่ยนเวร
การค้นหาเริ่มต้นจากครัว เนื่องจากเป็นบ้านที่ได้รับการดูแลอย่างดี ข้าวของทุกชิ้นจึงถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ เป้าหมายหลักของไซรัสอยู่ตรงชั้นล่าง เขาจึงตรวจค้นอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม รวมทั้งการเคาะพื้นบ้านหรือกำแพงบางจุด เผื่อมีช่องลับแต่กลับไม่พบอะไร
ส่วนชั้นสองซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสามห้อง คือห้องใหญ่ด้านหลังซึ่งเป็นของลุงกับป้า ห้องเล็กไว้เพื่อเก็บของและห้องของบิ๊กฟุตเอง ทุกห้องได้รับการดูแลอย่างดี สะอาด ไม่มีร่องรอยของความรุนแรงปรากฏให้เห็น ไซรัสเดินดูจนแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้วจึงย้อนกลับลงไปยังชั้นล่างอีกครั้ง เพื่อตรวจบริเวณที่พบร่างของบิ๊กฟุต
เก้าอี้ที่ชายร่างยักษ์นอนตายยังคงตั้งอยู่ที่เดิม อาจเคลื่อนจากตำแหน่งเล็กน้อยตอนเจ้าหน้าที่ขนย้ายร่าง ไซรัสเดินวนรอบเก้าอี้ตัวนั้นส่วนตาก็มองสำรวจพื้นที่อย่างถี่ถ้วน สภาพที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงอันเกิดจากการรื้อค้นราวกับคนเสียสติของนักสืบมิลเลอร์ ทำให้หลักฐานที่น่าจะพอหลงเหลืออยู่ถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดาย เอฟบีไอหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนลดสายตาลงมองเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาต้องมุ่นคิ้วเมื่อเห็นกระดาษชิ้นเล็กๆ โผล่ออกมาจากใต้ขาเก้าอี้
เพราะเวลานี้เขาสวมถุงมืออยู่แล้ว ไซรัสจึงสามารถดึงมันออกมาได้โดยตรง ยังไม่ทันได้พิจารณาว่าเจ้ากระดาษแผ่นนั้นคืออะไร เสียงเคลื่อนไหวที่ดังมาจากหน้าประตูทำให้เขาต้องรีบถอยกลับไปที่ครัวเพื่อหาที่ซ่อน พอเห็นแสงจากไฟฉายของตำรวจส่องกราดเข้ามาในบ้าน เขาจึงรู้ว่าใกล้เวลาเปลี่ยนเวรและตำรวจชุดใหม่จะต้องเดินตรวจรอบๆ และอาจจะเข้ามาดูภายในบ้านนี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงควรยุติการสำรวจไว้เพียงเท่านี้ และรีบออกจากที่นี่โดยเร็ว
นั่งรออีกอึดใจตำรวจทั้งสองก็ย้อนกลับไปนั่งในรถตามเดิม ไซรัสจึงรีบจรดปลายเท้าไปยังประตู และออกจากบ้านหลังนั้นเดินย้อนกลับไปที่รถ แทนที่จะขับออกจากบริเวณนั้นทันที เขากลับดึงกระดาษที่เก็บได้ขึ้นมาดู มันเป็นกระดาษชนิดโปร่งแสงที่มีไขมันติดอยู่นิดหน่อย ซึ่งพอคลี่ออกกลับพบว่ามันมีอยู่เพียงครึ่งแผ่น ทีแรกไซรัสไม่ทันฉุกคิดว่ามันคืออะไรกระทั่งจมูกสัมผัสถึงกลิ่นหอมบางอย่าง และเจ้ากลิ่นนั้นเองที่ทำให้เขานึกถึงใครบางคน
เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มร้องค้านอยู่ในใจและนึกทบทวนถึงความผิดปกติหลายของคนที่เคยพบ ก่อนยัดหลักฐานที่พบลงถุงพลาสติก จากนั้นก็นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนกระทั่งแสงอาทิตย์ยามเช้าปรากฏ ไซรัสจึงขับรถย้อนกลับเข้าไปในหมู่บ้านอีกครั้ง มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังที่เพิ่งเข้าไปค้นเมื่อคืน ที่ทำเช่นนั้นเพราะตอนพบศพ เจ้าหน้าที่เกือบทุกคนมัวแต่ให้ความสนใจกับหลักฐานปลอมและปักใจเชื่อว่าผู้ตายคือฆาตกรวิปริต ความคิดดังกล่าวทำให้ไม่มีใครสนใจที่จะเดินไปสอบปากคำเพื่อนบ้าน และจากการกีดกันของนักสืบมิลเลอร์ทำให้เขาและทีมไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจรอให้ทางตำรวจปล่อยสถานที่เกิดเหตุและลงมือสืบสวนอย่างลับๆ หลังจากตรวจสอบบ้านหลังนั้นเสร็จแล้ว
การวนรถรอบแรก ไซรัสพบว่ารถตำรวจคันเมื่อคืนยังคงจอดที่เดิมแถมเจ้าหน้าที่สองนายยังลงมาเดินตรวจโดยรอบ เขาจึงจำต้องขับเลยขึ้นไปอีกนิดและหาที่จอดหลบอยู่พักใหญ่ รอจนกระทั่งคนในหมู่บ้านเริ่มออกไปทำงานเขาจึงวนรถย้อนกลับไปอีกครั้ง คราวนี้หน้าบ้านของบิ๊กฟุตว่างเปล่าไม่มีรถตำรวจคันใหม่มาเปลี่ยนเวร แสดงว่าเมื่อคืนเขาคิดผิด นักสืบจอมอวดดีนั่นปักใจเชื่อว่าบิ๊กฟุตคือฆาตกรตัวจริงจึงไม่คิดที่จะมาค้นอะไรเพิ่มเติม เขาจึงจอดรถ สวมสูทให้เรียบร้อบจากนั้นจึงเดินตรงไปยังบ้านหลังที่อยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของบิ๊กฟุต เคาะประตูยืนรอ พอคนข้างในเดินมาเปิดเขาก็ชูบัตรประจำตัวให้ดูทันที
“เอฟบีไอ” ชายหนุ่มกล่าวนำอย่างเคร่งขรึม และบอกชื่อของตนเองตามกฎระหว่างที่เจ้าบ้านพิจารณาบัตรประจำตัว “ไซรัส คลอฟอร์ด ผมมีเรื่องจะสอบถามอะไรคุณนิดหน่อย“
เจ้าของบ้านซึ่งเป็นแม่บ้านที่น่าจะอยู่ในวัย 25-30 ผงกศีรษะพลางเลื่อนตามองไปยังบ้านฝั่งตรงกันข้ามขณะที่เอ่ยปากพูด
“เรื่องวิลเลี่ยมใช่ไหม”
ไซรัสรู้ดีว่าวิลเลี่ยมที่เธอพูดถึงคือชื่อจริงของบิ๊กฟุต แต่การแสดงออกว่าเขารู้อยู่แล้ว หรือทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่รู้ดีไปหมดทุกอย่าง จะทำให้คู่สนทนาเกิดอาการต่อต้านไม่ยอมเปิดเผยข้อมูล
“วิลเลี่ยม?” เขาทวนชื่อด้วยสีหน้างงงัน ได้ผลเพราะหญิงสาวมีท่าทางพอใจขึ้นเล็กน้อย
“มันเป็นชื่อจริงของบิ๊กฟุตค่ะ” เธอขยายความและเผยรอยยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นไซรัสบันทึกข้อความของเธอลงบนสมุดเล่มเล็ก
“โอเค วิลเลี่ยม” ไซรัสกล่าวทวนก่อนเงยหน้าขึ้นสบตา ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งยิ้มให้ก่อนเริ่มตั้งคำถาม “ผมต้องขอโทษที่มารบกวนเวลามีค่าของคุณ แต่ทางเราต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม...”
“วิลเลี่ยมอาจจะดูแปลกแต่เขาเป็นคนดี” สุภาพสตรีผู้นั้นเอ่ยสวนขึ้นมาทันควันและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นก่อนเปิดประตูให้กว้างขึ้นอีกนิด “เชิญคุณเข้ามาข้างในก่อนดีกว่าค่ะ ฉันจะได้ชงกาแฟให้ดื่มระหว่างที่เราคุยกัน”
การสอบปากคำเพื่อนบ้านใช้เวลามากกว่าที่คิด และทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทั้งนี้เป็นเพราะความที่อยู่ร่วมในหมู่บ้านเดียวกันมานาน แม้ผู้ตายจะไม่ค่อยสุงสิงกับใครนักแต่อุปนิสัยอ่อนน้อม รักสงบมีน้ำใจชอบช่วยเหลือ ทำให้เขาเป็นที่รักของชุมชน และด้วยเหตุผลดังกล่าวทุกคนจึงไม่เชื่อคำของตำรวจที่ปรักปรำว่า บิ๊กฟุตคือฆาตกร
เมื่อเสร็จจากหลังสุดท้าย ไซรัสจึงเดินกลับมาที่รถ จังหวะเดียวกันนั้นเองมีรถอีกคันเข้ามาจอดเทียบข้าง ทีแรกชายหนุ่มไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นนักข่าวหรือพวกสอดรู้สอดเห็น แต่คนข้างในลดกระจกลงจนเห็นหน้า เขาต้องมุ่นคิ้วน้อยๆ และแอบระบายลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“มาทำอะไรแถวนี้หรือครับคุณเอฟบีไอ” มิลเลอร์ชะโงกหน้าออกมาร้องถาม ไซรัสยัดสมุดบันทึกลงกระเป๋ากางเกงก่อนตอบอย่างเสียไม่ได้
“มาเดินเล่น”
“ที่พักของคุณอยู่อีกฟากของเมือง มาเดินเล่นแถวนี้มันไม่ไกลไปหน่อยหรือครับ” นักสืบหัวดื้อถามด้วยน้ำเสียงที่แกล้งทำให้ฟังดูนุ่มและสุภาพ แต่ดวงตาสีฟ้ากลับจ้องไซรัสเขม็งเหมือนกำลังมองศัตรูคู่แค้น เอฟบีไอหนุ่มทำทีเป็นไม่ใส่ใจกริยาดังกล่าว เขายักไหล่น้อยๆ ก่อนกวาดตามองไปรอบตัว
“ก็อยากจะลองหาที่ใหม่ๆ ดูบ้าง ว่าแต่คุณเถอะมาทำอะไรแถวนี้”
“มีคนโทร.ไปแจ้งว่าเห็นพวกสอดรู้สอดเห็นมาเดินเพ่นพ่านแถวที่เกิดเหตุ” มิลเลอร์ตอบพลางมองไซรัสอย่างจับผิด อีกฝ่ายจึงแกล้งทำเป็นตีหน้าเซ่อ
“แบบนั้นก็แย่น่ะสิ ทางตำรวจน่าจะจัดคนมาเฝ้าสักหน่อยนะครับ”
“ผมส่งมาแล้ว แต่ก็ยังมีมือดีดอดเข้ามาจนได้ สงสัยคงต้องเพิ่มคนให้มากขึ้นอีกหน่อยแถมคำสั่งด้วยว่าอย่าให้หน้าไหนเข้าใกล้บ้านหลังนี้ และถ้ามีคนไม่สนใจหรือทำตัวน่าสงสัยจะถือว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ให้ยิงทิ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องตั้งคำถาม”
ดวงตาที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องทำให้ไซรัสแน่ใจว่าหากมิลเลอร์ถือปืนอยู่ คงทำตามที่ตนเองพูดไปแล้ว
“ลองแบบนี้แล้วละก็ ผมคิดว่าคงไม่มีใครกล้าเข้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้แน่” ไซรัสโต้คำนักสืบอย่างใจเย็น อีกฝ่ายกรีดรอยยิ้มเหี้ยมและกดน้ำเสียงให้ต่ำเพื่อต้องการขู่ก่อนพูด
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” เขาหยุดแสร้งทำเป็นเลิกคิ้วและเปลี่ยนการพูดให้ดูเป็นกันเอง “ว่าแต่คุณเถอะ ถ้ามัวแต่โอ้เอ้อยู่แบบนี้เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”
ท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของคู่สนทนาไม่ได้ทำให้ไซรัสสบายใจขึ้นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากับเพิ่มความระวังตัวมากขึ้นเพราะรู้ดีว่าทันทีที่เขาคล้อยหลัง นักสืบมิลเลอร์จะต้องรีบบุกเข้าไปในที่เกิดเหตุเพื่อดูว่าเขาเจออะไรและคงสั่งให้ลูกน้องสะกดรอยตามคนของเอฟบีไอทุกฝีก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้คดีสำคัญหลุดมือ
“ผมกำลังจะไปเดี๋ยวนี้แล้วขอบคุณที่เตือน” ไซรัสตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชนิดที่หากใครเห็น จะต้องเข้าใจผิดคิดว่าเขาทั้งคู่เป็นเพื่อนรักกัน ก่อนเข้าไปนั่งในรถ พอสตาร์ทเครื่องยนต์ เขาก็กดปุ่มลดกระจกลงมาและหันไปส่งยิ้มให้นักสืบมิลเลอร์อีกครั้ง
“ลาก่อนครับนักสืบมิลเลอร์”
“ลาก่อนครับคุณเอฟบีไอ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแบบเดียวกับใบหน้า และกล่าวคำรามทันทีเมื่อรถของไซรัสเคลื่อน “เจอกันอีกครั้งผมจับคุณยัดเข้าคุกแน่”
เขาจ้องท้ายรถที่กำลังวิ่งห่างออกไปอย่างชิงชังจนลับตา จากนั้นจึงออกจากรถเดินตรงเข้าบ้านบิ๊กฟุตเพื่อดูว่าเอฟบีไอได้หลักฐานอะไรบ้าง แต่การสำรวจอย่างเป็นระเบียบของไซรัสทำให้ไม่เหลือร่องรอยอะไร เมื่อไม่เจอสิ่งผิดปกติมิลเลอร์จึงถอนใจออกมาอย่างผิดหวังก่อนออกมายืนตรงระเบียง กวาดมองเพื่อนบ้านที่แอบดูการกระทำของเขาตรงหน้าต่างหลังผ้าม่าน ทีแรกเขาตั้งใจจะเดินไปสอบถามตรงๆแต่พอสบกับสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากคนเหล่านั้น นักสืบจอมอวดดีจึงเปลี่ยนใจเป็นเดินกลับไปขึ้นรถ ติดเครื่องยนต์ กระแทกคันเร่งอย่างแรงเพื่อเป็นการระบายอารมณ์จนล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังเอี๊ยด พอตบเกียร์อีกครั้งรถประจำตัวก็พุ่งทะยานออกจากที่นั่นไปอย่างเร็ว
ขณะที่มิลเลอร์พาตัวเองกลับสถานีด้วยความฉุนเฉียว ไซรัสกลับขับรถอย่างใจเย็นมุ่งหน้าตรงไปยังที่ทำการเอฟบีไอ ซึ่งเมื่อไปถึงเขาพบว่าเอ็ดเวิร์ดกำลังประชุมทีมอยู่พอดี แต่พอมองเพื่อนร่วมงานที่นั่งง่วนอยู่กับข้อมูลชายหนุ่มจึงรู้ว่าหนึ่งในนั้นหายไป