สืบรักจับหัวใจเอฟบีไอ บทที่ 13 การแฝงตัวของไซรัส

กระทู้สนทนา
บทที่ 12 https://ppantip.com/topic/35902877
บทที่ 13 การแฝงตัวของไซรัส

                                  ความทันสมัยของสมาร์ตโฟนกับแผนที่กูเกิ้ล ทำให้การค้นหาคลินิกภายในเมืองไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความลำบากอยู่ตรงจะทำยังไงให้แพทย์กับเจ้าหน้าที่ยอมสารภาพความจริง หากเป็นยีนกับทักเกอร์คงต้องเปิดตำรางัดวิธีสารพัดจนหัวหมุนเพื่อหว่านล้อม แต่ไม่สำหรับไซรัส เขาเดินเข้าคลินิก ตรงไปหาแพทย์ประจำด้วยมาดนิ่ง ใช้คำพูดสุภาพขณะเดียวกันก็ข่มขู่อยู่ในที ผนวกกับสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ออกกับนัยน์ตาดุชนิดสามารถสยบเสือให้กลายเป็นลูกแมว ทำให้ทั้งเจ้าหน้าที่ พยาบาลและหมอใจฝ่อ ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมไม่นานเขาก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจ

                                  แพทย์ได้ให้การว่า ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่ต้องการใช้ยาขยายหลอดเลือดเพียงแค่สามราย สองในนั้นได้ลาโลกไปแล้ว คนเดียวที่เหลืออยู่ก็เป็นคนพิการและการจ่ายยาครั้งล่าสุดคือเมื่อสองอาทิตย์ก่อนซึ่งเป็นการร้องขอซ้ำถึงสองครั้งภายในวันเดียวกัน ไซรัสจึงขอที่อยู่และเดินทางไปสอบถามจึงได้ความกระจ่างว่าผู้ที่ไปติดต่อคือบุตรชาย เขาได้อธิบายถึงเหตุผลที่ต้องไปขอยาตัวเดิมอีกครั้งเพราะตอนแวะซื้อของก่อนกลับบ้าน ถุงยาที่วางไว้ถูกมือดีฉกไป ซึ่งเขาเองก็จำไม่ได้ว่าช่วงไหน ระหว่างที่พูดคุยกัน ไซรัสลอบสังเกตพฤติกรรมของเด็กหนุ่มคนนั้นไปด้วย เมื่อสอบถามจนเป็นที่พอใจแล้วเขาจึงลากลับ โดยไม่ลืมกล่าวอวยพรให้คนป่วยแข็งแรงในเร็ววัน พอขึ้นรถไซรัสจึงลองค้นข้อมูลเกี่ยวกับการจำหน่ายไนโตรกลีเซอรีนภายในเมืองนี้อีกครั้ง แต่ไม่พบความผิดปกติ เมื่อไม่มีอะไรเพิ่มเติมเขาจึงตัดสินใจกลับศูนย์บัญชาการเพื่อรายงานเอ็ดเวิร์ด ระหว่างนั้นยีนกับทักเกอร์กลับมาพอดี เช่นเดียวกันกับไซรัสคือทั้งคู่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย

                                  “เป็นไปได้ยังไง ยาแบบนี้ใช่ว่าจะหาซื้อกันริมถนนเหมือนฮอทด็อก” เอ็ดเวิร์ดบ่นออกมาลักษณะอาการของคนที่เริ่มหงุดหงิด ทำให้ไซรัสต้องเลิกคิ้วเพราะไม่ค่อยได้เห็นท่าทางแบบนั้นจากเพื่อนบ่อยนัก แสดงว่านอกจากความงี่เง่ากั๊กข้อมูลของพวกตำรวจแล้ว ทางเบื้องบนคงเริ่มกดดันการสืบสวนดีไม่ดีอาจกำหนดเส้นตายมาให้ด้วยซ้ำ

                                  “ฉันคิดว่าบางทีคนร้ายอาจซื้อมาจากตลาดมืด” เขาเสนอแนวทาง แต่เอ็ดเวิร์ดกลับส่ายหน้า

                                  “แคลร์สอบถามจากพวกคนจรจัดมาแล้ว ไม่มีการซื้อขายของที่ว่าในเมืองนี้มานานมาก เลยพอจะสรุปได้ว่า คนร้ายน่าจะได้มาจากเมืองอื่นซึ่งกว่าพวกเราจะค้นเจอ คงมีคนตายเพิ่มขึ้นอีกนับไม่ถ้วน”

                                  “แบบนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราต้องยอมรับเรื่องบิ๊กฟุตเป็นฆาตกร” ยีนพูดพลางใช้กำปั้นทุบโต๊ะเบาๆ แทนการระบายความโกรธ ไซรัสเหลือบมองอีกฝ่ายทางหางตาก่อนเบนกลับไปที่เอ็ดเวิร์ดอีกครั้ง

                                  “ในเมื่อสืบหาจากยาไม่ได้ เราก็คงต้องเล่นไปตามที่พวกตำรวจต้องการ”

                                  “นายหมายถึงให้ยอมรับเรื่องการประกาศว่าบิ๊กฟุตคือฆาตกร” เอ็ดเวิร์ดย้อนด้วยความแปลกใจเพราะนึกไม่ถึงว่าคนอย่างไซรัสจะยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ แต่พอสบกับดวงตาคมที่กำลังฉายความคิดอะไรบางอย่าง เขาจึงผงกศีรษะ “เข้าใจแล้ว”

                                  “เอ๋!” ยีนกับทักเกอร์ร้องออกมาพร้อมกันและมองเอ็ดเวิร์ดกับไซรัสสลับไปมา “แต่บิ๊กฟุตไม่ใช่ฆาตกร ทำแบบนั้นก็เท่ากับยัดข้อหาให้กับคนตายนะครับ”

                                  ยีนโวยลั่นเพราะไม่เห็นด้วย ทักเกอร์เองก็เช่นเดียวกัน หากไหวพริบที่เหนือกว่าเพื่อนทำให้เขาชะงักคำพูดโต้แย้งเมื่อเห็นประกายบางอย่างจากดวงตาของหัวหน้าทีม มือข้างหนึ่งยื่นไปกระตุกแขนเสื้อของคนข้างตัว ยีนหันขวับมาถลึงตาใส่เพราะคิดว่าคู่หูพยายามห้ามไม่ให้เขาโต้แย้งกับเอ็ดเวิร์ด แต่พอเห็นสีหน้าของเพื่อน เขาก็นึกเอะใจ

                                  มันเป็นแผน ?

                                  เหมือนคำพูดของทักเกอร์ดังขึ้นในหัว ยีนจึงหุบปากก่อนทิ้งตัวไปกับพนักเก้าอี้ เมื่อเห็นลูกน้องเข้าใจถึงสิ่งที่เขากำลังสื่อแล้ว เอ็ดเวิร์ดจึงกำชับอีกครั้ง

                                  “เมื่อทุกคนเข้าใจดีแล้ว ก็ขอให้แยกย้ายกันกลับที่พัก ทำทีเหมือนพวกเราวางมือจากคดีนี้แล้ว จะไปสังเกตการณ์ที่ไหนแจ้งให้ผมทราบก่อนและลงมืออย่างระวังที่สุด อย่าให้พวกตำรวจรู้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราอาจถูกเรียกตัวกลับสำนักงานใหญ่”

                                  “เราควรเริ่มต้นที่ไหนก่อนหรือครับ” ยีนเอ่ยถามเพราะหลังจากเจอทางตันเรื่องยาก เขาก็เริ่มตื้อจนคิดอะไรไม่ออก เอ็ดเวิร์ดผลักแฟ้มข้อมูลของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่คาดว่าอาจตกเป็นเป้าหมายส่งให้

                                  “ทำตามแผนเดิม แต่ครั้งนี้ผมขอให้พวกคุณโยนเสื้อนอก เชิ้ตกับเนกไททิ้ง หายีนกับเสื้อยืด จะเพิ่มแจ็คเก๊ตอีกตัวก็ได้มาใส่แทน”

                                   ยีนรับคำเบาๆ ก่อนเดินตามทักเกอร์ออกจากห้อง ไซรัสซึ่งยังคงนั่งอยู่กับที่มองตามจนทั้งสองไปไกลแล้วจึงหันกลับมาทางเอ็ดเวิร์ด

                                  “แล้วแคลร์ล่ะ?” เขาถาม เพราะทุกครั้งที่เรียกการประชุม ต่อให้สายยังไง เอฟบีไอสาวจอมเพี้ยนก็ไม่เคยพลาด เอ็ดเวิร์ดละสายตาจากรายงานขึ้นมาสบตาเพื่อนก่อนตอบ

                                  “อยู่ในแล็ป” พอเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจเลยสาธยายต่ออีกนิด “เธอบอกว่าเจออะไรบางอย่างที่น่าสนใจเลยอยากค้นต่อ”

                                  “เกี่ยวกับคดีนี้น่ะหรือ” ไซรัสถามเพราะครั้งล่าสุดเขาแน่ใจว่าแคลร์นำผลการชันสูตรของบิ๊กฟุตมารายงานครบทุกอย่างแล้ว จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ยังมีอะไรตกค้าง ส่วนเหยื่อห้ารายในห้องชันสูตร นักวิทยาศาสตร์สาวสติเฟื่องได้ทำการชำแหละดูอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ไม่น่าที่จะมีอะไรมาเพิ่มเติม แสดงว่ามีบางอย่างที่แคลร์ยังไม่ได้บอก หรือถ้าบอกก็คงจะมีแค่เอ็ดเวิร์ดเท่านั้นที่รู้

                                  แต่ช่างเถอะ เพราะเขาเองก็เจออะไรบางอย่างในบ้านของบิ๊กฟุต และยังไม่ได้บอกเอ็ดเวิร์ดเช่นเดียวกัน

                                  “ก็ทำนองนั้น” เอ็ดเวิร์ดพูดเบาๆ ก่อนลดตาลงมองข้อมูลบนรายงาน ท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาทำให้ไซรัสนึกสังหรณ์ใจ

                                  “มีสายด่วนเข้ามาใช่หรือเปล่า” ถามขึ้นมาลอยๆ เหมือนเหวี่ยงแหจับปลา ถ้าได้รับคำตอบก็ถือเป็นข่าวใหม่แต่ถ้าอีกฝ่ายเงียบ เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ เอ็ดเวิร์ดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนย้อนคำถามกลับ

                                  “พูดเรื่องอะไรของนาย”

                                  “อย่ามาทำเป็นตีหน้าเซ่อ ท่าทางของนายเห็นก็รู้แล้วว่าโดนข้างบนกดดันมา” อดีตหน่วยรีคอนพูดพลางส่งสายตากดดันคู่สนทนา ซึ่งได้ผล เอ็ดเวิร์ดระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนทิ้งตัวไปข้างหลัง

                                  “ก็นิดหน่อย” เขาตอบด้วยน้ำเสียงของคนอ่อนล้า “ฉันรายงานไปที่ว่ากำลังสืบหาคนร้ายแต่มันดันไปสวนทางกับข้อมูลของทางตำรวจเรื่องบิ๊กฟุต ทางควอนติโกเลยขอให้เราส่งข้อมูลที่ชัดเจนกลับไป”

                                  “แล้วนายตอบไปว่าไง” ไซรัสซักด้วยอยากรู้ขึ้นมาบ้างนิดหน่อย เอ็ดเวิร์ดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางเคาะปากกาในมือกับแฟ้ม

                                  “ก็บอกไปตามความจริง เลยโดนกำหนดเส้นตายว่า จะต้องจับฆาตกรตัวจริงให้ได้ภายในเจ็ดวัน”

                                  คำตอบของเพื่อนและหัวหน้าทำให้ไซรัสรู้สึกว่าอากาศในห้องเหม็นเปรี้ยวขึ้นมาอย่างฉับพลัน คิ้วขมวดมุ่นจนหน้าผากย่น อันเกิดจากความไม่พอใจ พวกผู้ใหญ่มักแก้ปัญหาหรือหลีกเลี่ยงคำถามของสื่อมวลชนด้วยการโยนภาระให้ทีมสืบสวนอย่างพวกเขาแบบนี้เสมอ ขั้นแรกคือโทรศัพท์มากดดัน ต่อมาก็เป็นการกำหนดเส้นตาย ซึ่งหากทำสำเร็จพวกตำแหน่งสูงก็ได้หน้า แถลงข่าวแยกเขี้ยวยิ้มอวดฟัน 32 ซี่ใส่กล้อง แต่ถ้าพลาด ตัวเล็กๆ ก็จะถูกย้ายไปนั่งในห้องเก็บเอกสาร ความจริงแล้วเขาสามารถถอนตัวหรือหาข้ออ้างมาโต้แย้งได้ หากด้วยวิสัยของทหารซึ่งต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด ซึ่งถึงแม้ไซรัสจะเป็นพวกแหกคอกอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่หลุดจากวงจรเช่นนี้ เมื่อได้ยินประกาศิตของเบื้องบน เอฟบีไอหนุ่มจึงไม่กล่าวคำพูดรุนแรงออกมานอกจากพยักหน้าและย้อนถาม

                                  “นายแน่ใจหรือว่าจะทำได้”

                                  “แล้วนายล่ะ?” นอกจากจะไม่ตอบให้ตรงคำถามแล้วยังจะย้อนคำพูดเดียวกันกลับ ไซรัสหัวเราะหึในลำคอก่อนลุกขึ้น

                                  “ภารกิจของฉันไม่เคยล้มเหลว” พูดแค่นั้นก่อนหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้องแต่กลับหยุดชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเอี้ยวศีรษะหันกลับไปยังเพื่อนอีกครั้ง “อย่าลืมบอกแคลร์เรื่องการประชุมวันนี้ด้วย”

                                  เตือนแค่นั้นก่อนทิ้งเอ็ดเวิร์ดให้อยู่ตามลำพัง เดินตรงไปที่รถ ขับออกจากสำนักงาน แต่แทนที่จะกลับแมนชั่น ไซรัสกลับมุ่งหน้าตรงไปยังร้านไวท์บราวนี่ด้วยจุดประสงค์สามข้อคือ หนึ่งตรวจหาข้อสะกิดใจบางอย่าง สองหาอะไรรองท้องและข้อสามซึ่งเป็นข้อสุดท้ายที่สำคัญมาก

                                  ได้เห็นหน้าอเล็กซ์

                                  มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงใบหน้าเกลี้ยงเกลาของนักศึกษาหนุ่ม แต่พอไปถึงไซรัสต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเห็นปีเตอร์กำลังทำอะไรง่วนอยู่ในร้านเพียงคนเดียว ชายหนุ่มถอนใจออกมาเบาๆก่อนดับเครื่องยนต์ เดินตรงไปที่ประตู เสียงกริ่งที่ติดไว้ด้านบนทำให้คนในร้านเงยหน้าขึ้นมอง ไซรัสสังเกตเห็นรอยย่นบนหน้าผากของปีเตอร์ปรากฏขึ้นแวบหนึ่งเหมือนเจ้าตัวชักสีหน้า แต่แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เพราะอึดใจต่อมาเขาก็เห็นรอยยิ้มของพ่อค้าผุดขึ้นมาแทน

                                  “สวัสดีครับคุณไซรัส” เขาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงสุภาพผิดจากคืนวันก่อนขณะกุลีกุจอหยิบเมนูมาวาง “วันนี้มาคนเดียวหรือครับ”

                                  ไซรัสผงกศีรษะรับแทนการตอบ มือพลิกแผ่นกระดาษเคลือบพลาสติกที่มีภาพกับชื่อของอาหาร และเครื่องดื่ม ส่วนตาชำเลืองไปรอบร้านเหมือนมองหาใครบางคน แต่พอเลื่อนขึ้นสบกับดวงตาของปีเตอร์ที่จ้องตรงมายังเขา ชายหนุ่มจึงคลี่ยิ้มบาง

                                  “วันนี้ไม่ค่อยมีคนเลยนะครับ”

                                  “ตอนบ่ายก็แบบนี้แหละครับ” ปีเตอร์ตอบด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมก่อนมองโต๊ะที่มีลูกค้าเพียงแค่ไม่กี่คน “ถ้าเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็นคนจะแน่นกว่านี้เยอะ”

                                  “งั้นผมก็คิดถูกแล้วที่มาเวลานี้” ไซรัสพูดโดยพยายามรักษากริยาไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่ากำลังถูกลอบสังเกตพฤติกรรม “วันนี้มีอะไรพอจะแนะนำผมได้บ้าง”

                                  ที่จริงแล้วพอไม่เจอคนที่แสนคิดถึง ไซรัสก็แทบจะหมดความอยากอาหาร แต่ด้วยสะกิดใจกับอะไรบางอย่างกับกลิ่นหวานปนเปรี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของซอส เรียกน้ำย่อยในกระเพาะ บีบบังคับให้ชายหนุ่มเผลอหลุดปากถาม ปีเตอร์เปิดยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ

                                  “ถ้าเป็นอาหาร เรามีสปาเก็ตตี้มีทบอลเป็นเมนูพิเศษ ส่วนของหวาน วันนี้ผมเพิ่งหัดทำขนมญี่ปุ่นชื่อดันโก คุณจะลองชิมดูสักชิ้นไหมครับ”

                                  ชื่อแรกเรียกความสนใจได้มากพอดูแต่ไซรัสกลับนึกขำกับชื่อของขนม ความต่างของภาษาทำให้ปีเตอร์ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการออกเสียงให้ถูก ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเพี้ยนจนคนได้ยินต้องยิ้มมุมปากเพื่อกลั้นหัวเราะก่อนบอกอย่างสุภาพ  

                                  “เขาเรียกดังโงะครับ” ลูกครึ่งเชื้อสายญี่ปุ่นกล่าวแก้ พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเจื่อนเขาก็รีบโบกมือ “จะเรียกดันโกก็ได้ไม่เป็นไรหรอกครับ สะดวกคนซื้อด้วย ว่าแต่นึกยังไงถึงทำขนมแบบนี้ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือครับ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่