ก่อนหน้านี้ ผู้จัดการทีมของแมนยูมีอำนาจสิทธิขาดในการเลือกนักเตะเข้าทีม และมีส่วนในการตัดสินใจว่า เอาหรือไม่เอาใคร
หลังจากที่ลิเวอร์พูลก็ได้เปลี่ยนแปลง ตอนที่ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ออกไป การตัดสินใจซื้อนักเตะเลยขึ้นอยู่กับคล็อปแทบจะ 100% และหลังจาก เอ็ดเวิร์ดส์ กลับมาอีกรอบ เหมือนว่า คล็อปจะถือโอกาสนี้วางมือพอดี ซึ่งที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยรู้ว่าระบบนี้ทำให้ผู้จัดการทีมกับหลังบ้านเกิดความขัดแย้งกันหรือไม่
แต่ตอนนี้เซอร์จิมของแมนยูก็ปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบหลังบ้านแบบนี้แล้วหลังจากที่เทนฮาก ออกไป
ผู้จัดการทีมที่จะเข้ามาหลังจากนี้ก็ต้องยอมรับบทบาทตรงนี้ได้ จึงจะยอมรับงานคุมทีมแมนยู
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้จัดการทีมระดับบิ๊กเนมจะชอบเลือกนักเตะด้วยตัวเอง (อาจจะสัมพันธ์ส่วนตัวหรือความชอบส่วนตัวด้วย)
มากกว่าค่าสถิติต่างๆ ที่ทีมงานจัดมาให้
ยกตัวอย่าง เช่น ทูเคิ้ล ที่เคยปฏิเสธแมนยูด้วยเหตุผลในเรื่องนี้ หรือไปถามความเห็นมูริญโญ่ก็เคยให้ความเห็นแนวๆ นี้เหมือนกันครับ
คนพวกนี้ชอบที่จะมีบทบาทและอิทธพลกับนักเตะมากกว่าครับ จึงต้องการอิสระในเรื่องของการเลือกนักเตะด้วยตัวเอง
การเปลี่ยนแปลงระบบหลังบ้านของแมนยู อาจจะไม่ได้ผู้จัดการทีม เกรด A+
หลังจากที่ลิเวอร์พูลก็ได้เปลี่ยนแปลง ตอนที่ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ดส์ออกไป การตัดสินใจซื้อนักเตะเลยขึ้นอยู่กับคล็อปแทบจะ 100% และหลังจาก เอ็ดเวิร์ดส์ กลับมาอีกรอบ เหมือนว่า คล็อปจะถือโอกาสนี้วางมือพอดี ซึ่งที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยรู้ว่าระบบนี้ทำให้ผู้จัดการทีมกับหลังบ้านเกิดความขัดแย้งกันหรือไม่
แต่ตอนนี้เซอร์จิมของแมนยูก็ปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบหลังบ้านแบบนี้แล้วหลังจากที่เทนฮาก ออกไป
ผู้จัดการทีมที่จะเข้ามาหลังจากนี้ก็ต้องยอมรับบทบาทตรงนี้ได้ จึงจะยอมรับงานคุมทีมแมนยู
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้จัดการทีมระดับบิ๊กเนมจะชอบเลือกนักเตะด้วยตัวเอง (อาจจะสัมพันธ์ส่วนตัวหรือความชอบส่วนตัวด้วย)
มากกว่าค่าสถิติต่างๆ ที่ทีมงานจัดมาให้
ยกตัวอย่าง เช่น ทูเคิ้ล ที่เคยปฏิเสธแมนยูด้วยเหตุผลในเรื่องนี้ หรือไปถามความเห็นมูริญโญ่ก็เคยให้ความเห็นแนวๆ นี้เหมือนกันครับ
คนพวกนี้ชอบที่จะมีบทบาทและอิทธพลกับนักเตะมากกว่าครับ จึงต้องการอิสระในเรื่องของการเลือกนักเตะด้วยตัวเอง